“นี่คือ…”
หลิวเฟิงที่สงสัยว่าของในถุงเก็บของคืออะไรก็ได้เปิดมันออกดู และนี่ทำให้เขาต้องนิ่งอึ้งไปในทันที
ในถุงเก็บของนี้เต็มไปด้วยก้อนสีน้ำตาลขนาดเม็ดถั่ว และพวกมันก็คือเม็ดยารวมพลังที่ลวดลายอักขระสามเส้นอยู่บนพวกมันแต่ละเม็ด
หากว่าเรื่องที่ว่าถุงนี้เต็มไปด้วยยาเม็ดรวมพลังหลุดออกไปล่ะก็ เขาเองก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีระดับระชันย์ยุทธมากมายขนาดไหนที่จะมายื้อแย่งถุงนี้ไปกับเขา
“ไอ้ฉิบ เม็ดยารวมพลังระดับสูงสุดหนึ่งร้อยเม็ด หัวหน้าช่างร่ำรวยิ่งนัก”
หลังจากพูดจบ หลิวเฟิงรีบปิดปากถุงก่อนจะส่งคืนให้กับเจียงหยวน
เม็ดยารวมพลังระดับสูงสุดเหล่านี้มีค่าเกินไปสำหับเขา และด้วยมูลค่าของเม็ดยาทั้งร้อยเม็ดนี้ จะทำให้เขาชุบเลี้ยงทุกตระกูลในเมืองเทียนหยางแห่งนี้ไปได้หนึ่งปีเป็นอย่างน้อยเลยด้วยซ้ำ
เจียงหยวนส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ข้าต้องการให้เจ้าคอยช่วยเหลือตระกูลเจียงด้วยกำลังทั้งหมดของเจ้า ค่าจ้างของข้าที่มอบให้นี้อย่าทำให้ข้าผิดหวังซะล่ะ”
เจียงหยวนในตอนนี้เชื่อใจหลิวเฟิงขึ้นมาในระดับหนึ่ง นั่นก็เพราะ เมื่อวานนี้ตอนที่บรรพบุรุษตระกูลหม่าไปถึงหน้าทางเข้าตระกูลเจียง หลิวเฟิงเป็นคนแรกที่เข้าไปรับหน้าโดยที่เขาไม่ได้เอ่ยกล่าว นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีความภักดีต่อเจียงหยวนอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ถึงกับเชื่อใจซะทีเดียว แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้เขาไม่ใช้คนเหล่านี้
เมื่อเห็นว่าเจียงหยวนไม่ได้พูดเล่น หลิวเฟิงก็ไม่คิดปฏิเสธอีก เขาได้คว้าจับที่ถุงเก็บของนี้อย่างแน่นขนัดแล้วพูดออกมา “หัวหน้า ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ”
…
พระอาทิตย์ได้สาดส่อง รุ่งอรุณได้มาถึง
เจียงเหวิ่นได้มองเด็กชายตรงหน้าของเขาที่ในตอนนี้สูงเทียบเท่าเขาแล้ว เขาตอนนี้รู้สึกภูมิใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “จะไปแล้วรึ”
เจียงหยวนพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี “ใช่แล้วท่านพ่อ ท่านพ่อเองก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะหากมีอะไรเกิดขึ้น ท่านส่งคนไปหากลุ่มหัวเสือก็แล้วกัน พวกเขาคือคนของข้าเอง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วงน่า เจ้าอยู่ที่นี่เองมาตั้งหลายปีเคยเห็นที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึไง อย่างมากก็แค่สัตว์ปีศาจกลุ่มเล็กๆที่มาโจมตีเมืองนั่นแหล่ะ”
เจียงเหวิ่นส่ายหน้าไปมาราวกับคำพูดของลูกชายของตนไร้สาระ แต่ที่หางตาของเขาในตอนนี้มีบางสิ่งที่เปล่งประกายไปคลออยู่ที่นั่น
“ลูกคนนี้ชื่อเสียงไม่สู้ดีนัก ดังนั้นข้าจะไปยังเมืองเทียนหลันเพื่อสร้างชื่อเสียงของตนขึ้นมา หลังจากได้รับชื่อเสียงแล้ว ข้าจะกลับมาหาท่านพ่ออย่างแน่นอน”
เมื่อพูดจบ เจียงหยวนได้ยกมือขึ้นป้องตรงหน้า ก่อนจะโน้มตัวลงไปให้กับคนเพียงไม่กี่คนที่เขาจะก้มหัวให้ในชีวิตของเขา พ่อแม่ของเขา
“หยวนเอ๋อร์ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่นี่หรอก นี่ไม่ใช่โลกของเจ้า โลกกว้างนั่นต่างหากที่จะเป็นที่ของเจ้า”
เจียงเหวิ่นพูดพลางเข้ารับการคารวะของเจียงหยวนและให้เขาตั้งตัวตรงขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ข้าไปก่อนล่ะ”
ไม่มีคำอวยพรหรือหันหลังกลับ เจียงหยวนเพียงแค่เดินจากไปทั้งแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวแต่อย่างใด เขากลับรู้สึกมีชีวิตชีวา เช่นเดียวกับคลื่นพลังที่มักพวยพุ่งขึ้นฟ้าอยู่เสมอ
ก้อนทองไม่ใช่สิ่งที่พบเจอตามบ่อบึงฉันใด เจียงหยวนย่อมกลายเป็นมังกรเมื่อพบเมฆหมอกที่คู่ควรฉันนั้น
เป็นไปอย่างที่เจียงเหวิ่นได้กล่าวเอาไว้ หลังจากที่ออกจากเมืองเทียนหยางแล้ว โลกกว้างที่เหลืออยู่ล้วนแล้วแต่เป็นโลกของเจียงหยวน
…
สวนตระกูลหม่า
ผู้นำตระกูลหม่าได้นั่งอยู่บนโต๊ะ พลางจ้องมองไปที่รอยสลักที่ปรากฎขึ้นมาเมื่อไหร่ตอนไหนเขาเองก็ไม่รู้อย่างหวาดกลัวจนสื่อออกมาบนใบหน้า
“ถึงพ่อคนนี้จะไม่อยู่บ้าน แต่ก็ใช่ว่าตระกูลหม่าจะสามารถทำอะไรก็ได้ ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องตระกูลเจียงเมื่อไหร่ ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน พ่อคนนี้จะมาล้างผลาญทุกชีวิตของตระกูลเจ้าให้หมดสิ้น”
ถึงแม้นี่จะเป็นการกดขี่ข่มเหงกันอย่างที่สุดสำหรับตระกูลหม่า แต่เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของเจียงหยวนแล้ว ไม่มีใครในตระกูลหม่าเลยที่กล้าจะพูดอะไรออกมา
“ท่านผู้อาวุโส…”
เมื่อเห็นรอยสลักบนโต๊ะ ผู้นำตระกูลหม่าเองที่เห็นก็ถึงกับเหงื่อกายแตกพล่าน ราวกับว่าในตอนนี้มีใบมีดลอยจ่ออยู่ที่หัวของตน
นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเกรงกลัวผู้แกะสลักคำเหล่านี้ราวกับพบเจอผู้วิเศษที่เรียกลมเรียกฝนได้หมายเอาชีวิต
แม้บรรพบุรุษตระกูลหม่าจะรู้ว่าเจ้าตัวคนแกะสลักจะออกจากเมืองเทียนหยางไปแล้ว แต่อย่างมาก ก็ทำได้เพียงจ้องมองไปที่หัวหน้าตระกูลของตนอย่างไม่อาจทำอะไรได้อีก
เจียงหยวนที่สามารถแกะสลักคำเหล่านี้ลงบนโต๊ะที่อยู่กลางตระกูลโดยไม่มีใครได้รับรู้ หากเขาต้องการจะลงมือ จะมีสักกี่คนที่ได้มาเห็นถ้อยคำเหล่านี้
เมื่อบรรพบุรุษตระกูลหม่านึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อวันวานก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ก่อนจะออกคำสั่งออกไปด้วยเสียงอันสั่นเทา “รีบสั่งการออกไป ทุกสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลเจียง ให้มอบให้ตระกูลเจียงให้หมด”
และด้วยคำพูดนี้ เจียงหยวนก็ได้ออกไปจากเมืองด้วยความสบายใจ และมุ่งตรงไปยังเมืองเทียนหลัน