“วันนี้เป็นวันที่สำนักศึกษาในเมืองหลวงรับเปิดรับคนเข้าอยู่นะ”

“เจ้าสามารถลงชื่อสมัครเข้าสำนึกถ้ามีอายุสิบหกปีเต็ม มีข่าวลือว่าอีกสี่สำนักใหญ่เองก็เตรียมที่จะเปิดรับศิษย์ในปีนี้เช่นเดียวกันนา”

เมื่อเข้าเมืองเทียนหลันไปแล้ว กลุ่มคนมากมายได้พูดคุยกันจนเรื่องนี้เข้าหูเจียงหยวนมา

เจียงหยวนที่รับรู้ว่าวันนี้มีการเปิดรับศิษย์ แถมยังมีเรื่องราวของสี่สำนักใหญ่ในเมืองเทียนหลัน ที่มีชื่อเสียงในแต่ละด้านแตกต่างกันไป สำนักอัคคีสรรพยา(ดั๋นฮัว)มีชื่อเสียงในการเล่นแร่แปรธาตุ สำนักฟ้ากระจ่าง(หวู่เทียน)มีชื่อเรื่องทักษะยุทธ สำนักวารีลึกลับ(โด๋วฮุน)มีชื่อเสียงการใช้ศาสตร์ลึกลับ และสำนักจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่รับคนเพียงน้อยนิดในแต่ละปี

เจียงหยวนเองก็ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะเข้าหนึ่งในสี่สำนักนี้เช่นเดียวกัน แม้เขาจะมีระบบที่คอยช่วยเหลือ แต่สถานที่อย่างสำนักศึกษาเองก็เป็นแหล่งรวมทรัพยากรบ่มเพาะแห่งเมืองเทียนหลันแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

เจียงหยวนได้เดินตรงไปยังคู่ชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่คุยเรื่องนี้ ทั้งสองอยู่ในชุดประดับเครื่องหยกและผ้าไหมเต็มตัวจนดูเฉิดฉายที่สุดในที่นี้เลยทีเดียว

“ขอโทษที ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าสถานที่เปิดรับศิษย์ของแต่ละสำนักนี่อยู่ที่ใด”

“เฮ้ ไอ้หัวฟักทองนี่มาจากไหนเนี่ย อย่างเจ้าเนี่ยนะอยากจะเข้าสี่สำนักใหญ่กับเขาด้วยน่ะ เมืองเทียนหลันของพวกเรายังมีสำนักเล็กๆอยุ่อีกมากมาย ทำไมเจ้าไม่ไปเข้าสำนักพวกนั้นแทนเล่า”

ชายหนุ่มผิวขาวกระจ่างพูดออกมาอย่างดูถูกและสายตาจับจ้องไปที่เจียงหยานที่อยู่ในชุดซอมซ่ออย่างดูแคลน

กับเรื่องนี้ก็ไม่แปลกอันใด เพราะเจียงหยวนได้วิ่งมาตลอดทางนับจากออกจากเมืองเทียนหยาง เสื้อผ้าของเขาเองจึงไม่แปลกที่จะมอมแมม แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ชายหนุ่มคนนี้จะเอาเรื่องนี้มาตัดสินเจียงหยวนด้วยเช่นกัน

นี่ทำให้เจียงหยวนยิ้มกริ่มออกมาอย่างเย็นยะเยียบก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก “ข้าล่ะสงสัยนักว่าคนอย่างเจ้าเองก็จะเข้าสี่สำนึกใหญ่ด้วยอย่างนั้นรึ”

“สามหาว นายน้อยของพวกเราคือนายน้อยตระกูลลี่แห่งเมืองไม้หิน(ชีมุย) เขาเป็นผู้ฝึกยุทธด้วยอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ไอ้หัวฟักทองอย่างเจ้าจะไปเทียบกับนายน้อยของข้าได้เยี่ยงไร”

เมื่อไดยินแบบนี้แล้ว คนในตระกูลของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง พร้อมกับสาวใช้ของหญิงสาวที่คอยเดินติดตามต่างก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแปล่งๆในทันที

เจียงหยวนที่เห็นก็อดที่จะหัวเราะร่าไม่ได้จนพูดออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า หมายังไงก็ยังเป็นหมาอยู่วันยังค่ำ หมานิสัยยังไง เจ้านายก็นิสัยอย่างนั้น เฮ้อ ผู้ฝึกยุทธรึ ข้าล่ะสงสัยนักว่าสี่สำนักใหญ่ต้องการรับแค่คนแบบนี้เข้าสำนึกรึไงกัน”

โดยที่เจียงหยวนไม่ได้พูดอะไรต่อ คนที่อยู่ข้างๆเขาได้หัวเราะลั่นแล้วพูดออกมา “สี่สำนักใหญ่ หนึ่งหาผู้มีความสามารถด้านการหลอมยา หนึ่งหาผู้มีความสามารถด้านวิชายุทธที่มีอายุสิบหกปี หนึ่งหาผู้มีชีพจรยุทธที่เลิศล้ำ”

“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้านั้นสนใจสำนักใด”

เจียงหยวนเมื่อได้ยินก็อดที่จะนึกเยาะเย้ยอยู่ในใจไม่ได้

“ข้า…”

เมื่อได้ยินแบบนี้ นายน้อยตระกูลลี่ก็รื้อสึกหน้าตึงขึ้นมา แม้จะอ้าปากราวกับจะเอ่ยคำ แต่ก็ไม่มีคำใดที่หลุดออกมา

เป็นตอนนี้ที่สาวใช้ได้เร่งตะโกนออกมาในทันที “นายน้อย ท่านจะต้องคิดอะไรอีกคะ ท่านเองเป็นถึงนักรบสามดาวด้วยวัยสิบหกปี แล้วท่านจะต้องกลัวคนเหล่านี้ไปทำไม”

“อาเปีย หุบปาก”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว นายน้อยตระกูลลี่คนนี้ก็มีหน้าแดงกล่ำราวกับตับหมูขึ้นมา พร้อมกับความคิดที่จะหาที่ซุกหัวลงไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็แค่เศษขยะแล้วคิดริอาจจะเข้าสี่สำนักใหญ่แห่งเมืองเทียนหลาน น่าขันนัก”

“เจ้าเองกล้ามาพูดว่ากล่าวคนอื่น แล้วเจ้าล่ะ อยู่แค่ระดับใดกัน”

“สาวใช้คนนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ ไม่ใช่ว่าแม้แต่ระดับขั้นยุทธเองมีการแบ่งแยกแตกต่างก็ยังไม่รู้เลยล่ะมั้งเนี่ย”

“บอกคนอื่นว่าหัวฟักทอง แต่สำหรับข้า เจ้าสองคนต่างหากที่เป็นหัวฟักทอง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่าผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็หัวเราะดังลั่นในทันที

“ไอ้เวรตะไล แล้วเจ้าล่ะ อย่างเจ้าจะเหมาะกับสำนักใด”

เมื่อนายน้อยตระกูลหลี่ที่ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนโดยรอบก็ได้สติแตก และเร่งกลับไปหาเรื่องเจียงหยวนในทันที

“ข้ารึ ก็คงได้ทั้งสามทางล่ะนะ ข้ามีชีพจรสวรรค์ นับแต่เกิดมา ข้าเองก็เกือบจะไปถึงระดับยอดยุทธเมื่อตอนอายุสิบห้ามาแล้ว และข้าเองก็ยังกลั่นยารวมพลังระดับสูงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร”

นี่เป็นเพียงสิ่งที่เจียงหยวงพูดออกมาอย่างดังก้องในใจก็เท่านั้น เพราะในตอนนี้ เขาต้องการจะทำตัวอ่อนด้อยเข้าไว้

“ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า”