บทที่ 112 ศิลปะแห่งการอำนวยเพลง

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายคือดนตรีไม่ได้เริ่มบรรเลงทันทีที่ลูเซียนโบกไม้บาตอง ขณะยืนอยู่หน้าเวที เขาชูสองมือขึ้นสูง ทั้งร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับมีมวลพลังมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขา

ก่อนที่ผู้ชมจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ลูเซียนแกว่งแขนกลับหลังและยกไม้บาตองขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มาพร้อมกับเพลงเซเรเนด จีเมเจอร์ บรรเลงโดยเครื่องสาย

เพลงแรกมีทำนองกระชับและได้ใจความ โน้ตดนตรีกระชากหัวใจผู้ฟังทุกคน ความสับสนและความกังวลของผู้ชมหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผู้ชมตกอยู่ในภวังค์แห่งความหฤหรรษ์จากเซเรเนด บทเพลงบรรยายความรักใคร่

ลูเซียนกำลังยิ้ม ตัวเขาโยกไปตามจังหวะดนตรีอย่างรื่นรมย์ ความปิติที่ถ่ายทอดให้กับผู้ชมผู้ฟังเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้เมื่อหลายคนพยักหน้าและโยกตัวไปพร้อมกับแต่ละการก้าวเดินของเพลง

คริสโตเฟอร์และนาตาซาไม่เคยมีโอกาสชมการซ้อมของลูเซียนมาก่อน ตอนนี้ ทั้งคู่ต่างประหลาดใจกับแนวทาง ‘การอำนวยเพลง’ แบบใหม่ของลูเซียน ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบเดิมๆ โดยสิ้นเชิง

โดยทั่วไปการทำหน้าที่วาทยกรที่ผ่านๆ มา เนื่องจากแนวเพลงอนุรักษนิยม เป็นไปเพื่อกำกับการแสดงดนตรีให้เป็นไปตามการเข้าห้องเพลงให้ถูกจังหวะจะโคนจากสมาชิกคณะนักแสดงหลากหลายชิ้นเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการแสดงอารมณ์ของผู้ประพันธ์เพลงหรืออารมณ์ที่วาทยกรต้องการถ่ายทอด ตัวอย่างเช่น แม้ว่าช่วงแนวทางกระบวนเพลงของทั้งวิกเตอร์และคริสโตเฟอร์ขณะทำหน้าที่วาทยกรจะมีระยะกว้าง แต่ทั้งสองไม่ได้แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาเพื่อสื่อสารกับสมาชิกคณะออร์เคสตราหรือเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชมจริงๆ ขนาดนี้

หลังจากการพัฒนาเพลงหลักสำหรับการแสดงดนตรีครั้งนี้ ลูเซียนก็เปลี่ยนแนวทางการอำนวยเพลงให้เหมาะกับแนวเพลงที่กำลังเปลี่ยนจากแนวคลาสสิกสู่แนวโรแมนติก ลูเซียนใช้เวลามากมายเรียนรู้จากวาทยกรผู้ปราดเปรื่องในโลกเดิมของเขา เช่น อาร์ตูโร ตอสกานีนี และแฮร์แบร์ท ฟอน คารายัน เพื่อหาแนวทางสร้างรูปแบบการอำนวยเพลงของตัวเอง

ภายใต้การกำกับดนตรีของลูเซียน คณะออร์เคสตราบรรเลงกระบวนแรกของเซเรเนดถ่ายทอดความปิติ ความมีชีวิตชีวา และอารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบ

ต่อมา การวาดไม้บาตองลูเซียนก็นุ่มนวลขึ้น เมื่อเพลงเซเรเนดเข้าสู่กระบวนที่สอง ท่วงทำนองดำเนินไปราวกับความฝันอันสดใสที่ต้องซ่อนเร้นไว้ล่องลอยอยู่ในอากาศ และค่อยๆ ร่วงหล่นลงประทับใจของผู้ชมผู้ฟังทุกคน

ความฝันถึงความรักและจินตนาการเกี่ยวกับสาวสวยและหนุ่มหล่อ เกี่ยวกับท้องทุ่งดอกไม้ไกลสุดลูกหูลูกตา และลมเย็นๆ ในฤดูร้อน เกี่ยวกับความเยาว์วัย และช่วงเวลาที่หวานชื่นที่สุดในชีวิตของแต่ละคน

เมื่อมีการเปลี่ยนจังหวะอย่างราบรื่น คีตลักษณ์รอนโดของกระบวนที่สามทำให้ผู้ฟังหลายๆ คนอยากลุกขึ้นเต้น บางคนถึงขนาดอยากให้เป็นงานเลี้ยงฉลองมากกว่าจะเป็นการจัดแสดงดนตรีอย่างทางการแบบนี้ คีตลักษณ์รอนโดเป็นรูปแบบที่มีแนวทำนองหลักและแนวทำนองอื่นอีกหลายส่วน ซึ่งแนวทำนองหลักจะวนกลับมาขั้นแนวทำนองแต่ละส่วน

ในท่อนจบของเพลงแรก ดนตรีของลูเซียนกลับมามีชีวิตชีวา เยาว์วัย และครึกครื้นอีกครั้ง เมื่อเขาทำหน้าที่ ‘วาทยกร’ จบและหันกลับมา ผู้ชมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะปรบมือเกรียวกราวในช่วงพักสั้นๆ เมื่อรู้ตัวว่าเซเรเนดเพลงแรกจบลงแล้ว

“เพลงเซเรเนดในซาล์มฮอล!” ปิโอลาอุทานกับเพื่อนๆ ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง

ในอดีต เซเรเนดถือเป็นแนวดนตรีที่ไม่เป็นทางการ และถูกมองว่าไม่มีสุนทรียภาพทางคีตศิลป์มากพอที่จะแสดงบนเวทีดนตรีอันยิ่งใหญ่และสง่างาม แต่การบรรเลงเพลงเซเรเนดในโอกาสแบบนี้มีน้อยครั้งมากในอดีต และไม่มีใครนิยมทำกัน แต่วันนี้ ลูเซียนทลายกรอบความคิดเดิมๆ และทำให้เพลงเซเรเนดสร้างความน่าประทับใจไม่ต่างจากซิมโฟนี

“งดงามและยอดเยี่ยม อ่อนช้อยแต่ลงตัว” ชารอนแสดงความเห็น แม้จะบรรเลงจบไปแล้วแต่เซเรเนดก็ยังคงความประทับใจอยู่

ในห้องชมการแสดง คริสโตเฟอร์ยิ้มและสนทนากับแกรนด์ดยุกและพระคาร์ดินัลหลวง “อีกแล้ว ลูเซียนทำเรื่องคาดไม่ถึงอีกแล้ว”

แกรนด์ดยุกพยักหน้า “การอำนวยเพลงของเขาเป็นของแถมจากเซเรเนดเพลงนี้”

ก่อนการแสดงดนตรีจะเริ่ม แม้นาตาซาจะดูมั่นใจมาก นางก็ยังกังวลแทนลูเซียนอยู่บ้าง ณ ตอนนี้ นางหมดความกังวล เอนหลังพิงพนักที่นั่งและฟังบิดาและพระคาร์ดินัลหลวงสนทนากันถึงแนวทางอำนวยเพลงแบบใหม่ของลูเซียน นางอยากรู้แล้วว่าจะมีอะไรที่คาดไม่ถึงจากลูเซียนอีก ไม่ต่างจากผู้ชมผู้ฟังทุกคน

หลังจากพักช่วงสั้นๆ ลูเซียนกลับขึ้นมาบนเวทีและเดินผ่านสมาชิกคณะออร์เคสตรา ไรน์ยิ้มและพูดกับเขาเสียงแผ่วเบา “ดูเหมือนวิธีอำนวยเพลงของเจ้าจะได้กระแสตอบรับดีทีเดียวนะ ข้าเชื่อว่า ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ ต้องทำพวกเขาหัวใจวายทีเดียว”

ลูเซียนยิ้มและพยักหน้าให้ไรน์ ดูท่าทางค่อนข้างมั่นใจ แล้วเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าคณะออร์เคสตราและหลับตาลง

ทั้งโรงละครซาล์มฮอลและทั้งจัตุรัสพากันเงียบกริบ

ลูเซียนก้มศีรษะลงเล็กน้อยและยกแขนขึ้นอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้โบกมือที่ถือไม้บาตองในทันที

ผู้ชมกลั้นหายใจ เฝ้ารอ

ยืนนิ่งเหมือนกับรูปปั้นหลับตา ลูเซียนคิดถึงหน้าพ่อแม่ ใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ช่างห่างไกลจากเขาเสียเหลือเกิน วันธรรมดาๆ ในโลกเดิมหวนกลับมาหา แต่โชคร้ายลูเซียนไม่ได้เห็นคุณค่าของวันเหล่านั้นและไม่ได้ใช้เวลาที่นั่นให้คุ้มค่า

ณ เวลานี้ เขาอยู่ที่นี่ ในโลกประหลาด ตัวคนเดียว เขาต้องเสี่ยงชีวิตแทบทุกวัน เขาอาจตายโง่ๆ เพราะความฝันที่จะศึกษาเวทมนตร์ ใบหน้าของพวกอันธพาล ผู้พิทักษ์ราตรี และพวกนอกรีตผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของลูเซียน เย้ยหยัน ข่มขู่ และพูดกรอกหูเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกขีดไว้แล้วด้วย ‘ชะตาชีวิต’

เขาต้องยอมรับชะตาชีวิตอย่างนั้นหรือ?

เขาต้องยอมเป็นคนขี้แพ้อย่างนั้นหรือ?

เขาต้องละทิ้งเป้าหมายและยอมสยบต่อความยากลำบากอย่างนั้นหรือ?

ไม่! ไม่มีวัน!

เขาจะสู้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ชะตาชีวิต’ ตราบลมหายใจสุดท้าย!

หน้าของลูเซียนบิดเบี้ยวและเต็มเปี่ยมด้วยปณิธานอันแรงกล้า เขาขบฟันและสะบัดมือลงทั้งสองข้างอย่างหนักหน่วง

ท่อนเปิดเพลง ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ ที่คุ้นหูกระชากหัวใจของผู้ฟังทุกคนอีกครั้ง

เหมือนลูเซียนเกือบเสียการทรงตัวจากการสะบัดแขนอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อทุกมัดในตัวลูเซียนสั่นเกร็งไปด้วยความฮึกเหิมอันแรงกล้า!

ราวกับว่าหัวใจของผู้ชมถูกบีบด้วยมือขนาดใหญ่และทรงพลัง ผู้ฟังหลายคนรู้สึกหายใจไม่ออก

แม้แต่ซาร์ดก็ตาเบิกโพลง เขากำลังมองลูเซียนที่อำนวยเพลงให้คณะออร์เคสตราด้วยท่าทางที่เกือบจะบ้าคลั่ง

ด้วยไม้บาตองในมือขวา มือซ้ายของลูเซียนกำหมัดแน่นในบางจังหวะ และบางครั้งก็หนักหน่วงราวกับกงเล็บนกอินทรี แขนของเขาบางครั้งกางออกกว้างและบางครั้งแนบชิดข้างลำตัว

ใบหน้าของลูเซียนบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวและเคืองแค้น ราวกับเขากำลังกัดกินเนื้อศัตรูทั้งเป็น บางจังหวะ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายลง แต่ชั่วขณะก็กลับดูบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม ราวกับเขาอาจหัวใจวายได้ตลอดเวลา

เมื่อเปรียบเทียบกับการอำนวย ‘เพลงซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ ของวิกเตอร์ ฉบับของลูเซียนกระแทกใจและหนักหน่วงกว่ามาก สมาชิกทุกคนในคณะออร์เคสตราถูกลูเซียนกระตุ้นและปลุกเร้า และออร์เคสตราทั้งคณะดูเหมือนจะบ้าและบ้าหนักไปตามๆ กัน

พลังและอิทธิพลของซิมโฟนีเพลงนี้ไม่เคยถึงรุนแรงขั้นนี้มาก่อน!

นาตาซากำที่พักแขนของที่นั่งแน่น หลังของนางเหยียดตรงนิ่ง ขณะที่ขุนนางชนชั้นสูงคนอื่นๆ ดูเหมือนกำลังอาจหมดสติได้ตลอดเวลาจากความตึงเครียดของบทเพลง

ในที่สุด ด้วยพลังทั้งกายและใจ ลูเซียนนำพาผู้ชมมาถึงกระบวนสุดท้ายของ ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ ความยินดีปรีดาแห่งชัยชนะและการกลับมาจากสมรภูมิอย่างภาคภูมิก็พลันระเบิดและปลุกทุกคนในทันตา

เมื่อซิมโฟนีบรรเลงจบ แม้จะมีพลังจาก ‘พร’ ที่ถูกปลุก ลูเซียนเองยังรู้สึกค่อนข้างเหนื่อย

ทั้งโรงละครซาล์มฮอลเงียบสงัด

เมื่อลูเซียนหันกลับมาโค้งคำนับให้ผู้ชม ทันทีที่เขายืดตัวตรง ลูเซียนก็ได้ยินเสียงปรบมือที่ดังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาในชีวิต

ทั้งเมืองกำลังปรบมือให้เขายกย่อง ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ ยกย่อง ‘ศิลปะแห่งการอำนวยเพลง’ ของลูเซียน

……………………………………….