“เหอะ ที่แท้ก็เป็นเจ้านั่นเอง !”
เสียงที่ฟังดูเย็นชาและแฝงด้วยความเคียดแค้นดังเข้ามาในหูของฉินอวี้โม่
เมื่อหันไปตามทิศทางของเสียงนั้น คุณหนูตระกูลฉินและเหล่าสหายก็พบว่าเจ้าของวาจาคือบุรุษที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้มีจำนวนกว่าสิบคน พวกเขาทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดคล้ายคลึงกัน
“หลิวเหนิง !”
สือซานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่อุทานออกมาพลางจ้องมองผู้เอ่ยวาจานั้นด้วยใบหน้าโกรธแค้น
คนเหล่านี้มิใช่ใครอื่น แต่เป็นกลุ่มคนที่ฉินอวี้โม่เคยเจอในดินแดนต้องห้ามเมื่อครั้งสอบเข้าโรงเรียนราชสำนัก ในตอนนั้นคนกลุ่มนี้กำลังกระทำเรื่องชั่วช้า รุมรังแกสือซานและพี่น้อง ทว่าโชคไม่เข้าข้างคนอันธพาลเมื่อฉินอวี้โม่จะผ่านมาพบเข้า
เวลานั้นฉินอวี้โม่ชิงแผ่นป้ายของคนตรงหน้าและพรรคพวกมาทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้คนเลวทรามเข้าไปในโรงเรียนราชสำนักได้ ไม่คิดเลยว่าคนกลุ่มนี้ก็ถูกเชิญมาร่วมงานชุมนุมเมฆาในครั้งนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรองดูจนถี่ถ้วน นางก็พบว่านี่นับเป็นเรื่องปกติ
ครานั้นคนกลุ่มนี้เคยบอกว่าพวกตนสังกัดอยู่ที่กองทหารรับจ้างสนธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนหวนหลิงจะเป็นรองก็เพียงกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนเท่านั้น การที่พวกเขาได้รับเชิญมาจึงเป็นเรื่องปกติ
“หัวหน้า สตรีผู้นั้นก็คือคนที่ช่วยสือซานและชิงแผ่นป้ายของเราไปตอนสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักนี่ นางคือผู้ที่ทำให้พวกเราสอบตก !”
หลิวเหนิงมองไปยังบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหน้ากลุ่ม ก่อนจะกล่าวฟ้องเรื่องที่เคยเกิดขึ้นด้วยความโกรธแค้น
“จริงรึ ?!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวเหนิงบอก บุรุษที่ถูกเรียกขานว่าหัวหน้าก็หันมาจับจ้องฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตปนดูแคลนก่อนจะเอ่ยวาจา
“อย่างเจ้าน่ะรึ !?”
หลิวเหนิงและคนอื่น ๆ ไม่รู้จักนามของฉินอวี้โม่ หากไม่นับตอนสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักหลิวเหนิงก็ไม่เคยเห็นนางมาก่อนเลยสักครั้ง
ด้วยเหตุนี้เมื่อเจอฉินอวี้โม่ในวันนี้ พวกเขาจึงไม่รู้สถานะและตัวตนของนาง รู้เพียงนางคือผู้ที่สร้างความเจ็บแค้นให้เท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ พรสวรรค์ของเจ้าใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่คิดว่าจะพัฒนาไปได้เพียงเท่านี้ หากเทียบกับพวกสือซานแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับดินเลย”
ฉินอวี้โม่หัวเราะ นางไม่คิดปฏิเสธ อีกทั้งยังกล่าววาจาเย้ยหยันอีกฝ่ายกลับไปแทน
ทันทีที่ได้ยินวาจาเหยียดหยามจากสตรีน่าตายตรงหน้า ใบหน้าของหลิวเหนิงและพวกพ้องก็เปลี่ยนไปทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะสตรีผู้นี้พวกเขาก็คงได้อยู่ในโรงเรียนราชสำนักไปแล้ว
หากได้เข้าไปในโรงเรียนราชสำนัก พวกเขาจะมีทรัพยากรมากมายและมีสถานที่ดีเลิศสำหรับใช้ในการฝึกฝน ซึ่งก็จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้เมื่อได้มาเห็นว่าเหล่าพี่น้องแซ่สือที่แสนอ่อนแอก้าวหน้าไปมาก หลิวเหนิงก็กำหมัดด้วยความเคืองแค้น หากตัวเขาได้เข้าไปในโรงเรียนราชสำนัก เขาเชื่อว่าเขาต้องได้ดีกว่าคนตรงหน้าหลายเท่า ไม่มีทางที่คนน่าสมเพชเหล่านี้จะมายืนเหยียดหยามเขาอย่างวันนี้ได้
เมื่อได้คิดเช่นนี้ หลิวเหนิงก็มองฉินอวี้โม่ด้วยสายที่เดือดดาลยิ่งขึ้น เขาคั่งแค้นสตรีตรงหน้าจนแทบควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้องโทษว่าสตรีน่าตายผู้นี้เป็นต้นเหตุ หากไม่มีนางมีหรือที่พวกเขาจะสอบตก และพวกเขาก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้พี่น้องตระกูลสือแน่นอน
“หึ ๆ ๆ กล้ามากที่มาหยามคนของข้า พวกเจ้ามาอยู่รวมกันเช่นนี้ก็ดี เรื่องมันจะได้ง่าย พวกเจ้าทำให้คนของข้าหมดโอกาสเข้าโรงเรียนราชสำนัก ฉะนั้นพวกเจ้าต้องชดใช้ให้พวกเรา”
หัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างสนธยามีนามว่ามู่ซือ ความแข็งแกร่งของเขามิใช่ธรรมดา จากที่ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตราชันทูตสวรรค์แล้ว
อย่างไรก็ตามแววตาอันขุ่นมัวและดูชั่วร้ายของมู่ซือทำให้ผู้คนไม่อยากเข้าใกล้ หลายคนที่เห็นเขาล้วนแต่อดคิดไม่ได้ว่าผู้นี้ต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
ทว่า ไม่ต้องเห็นใบหน้าของผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างนี้ ผู้คนมากมายก็พอจะทราบถึงชื่อเสียงเลวร้ายของกลุ่มทหารรับจ้างสนธยาเป็นอย่างดี แม้จะยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน แต่คนกลุ่มนี้ก็กระทำเรื่องเลวทรามเอาไว้มากทำให้หลายต่อหลายคนไม่นึกชมชอบพวกเขา
และเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะการบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของมู่ซือผู้นี้
“แต่ไหน ๆ ที่เรามาในวันนี้ก็เพื่องานชุมนุมเมฆาที่ร้อยปีจะมีสักครั้ง ข้าเองก็ไม่อยากจะทำอะไรที่เป็นการตัดโอกาสพวกเจ้า เหตุใดพวกเจ้าไม่กล่าวขอขมาข้าและคนของข้าแล้วส่งมอบสิ่งของปลอบขวัญอีกเล็กน้อยเพื่อเป็นการชดเชยเสียเล่า หากเจ้าทำเช่นนั้นข้าก็จะไม่เอาความและปล่อยให้พวกเจ้าได้ร่วมงานอย่างสบายใจตามที่พวกเจ้าต้องการ”
มู่ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ ในใจเขาคิดว่าฉินอวี้โม่และสือซานต้องยอมรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน
ถึงอย่างไร ในสายตาของมู่ซือสตรีตรงหน้าก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างสนธยาไม่เชื่อว่านางจะแข็งแกร่งกว่าเขาไปได้
“หัวหน้ามู่ซือ ที่ท่านพูดมาแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะกล่าวกลับไปอย่างนุ่มนวล
มู่ซือผู้นี้เป็นคนไร้สมองโดยแท้ ที่นี่คือนครเมฆา การข่มขู่นางที่นี่ก็ไม่ต่างจากการหาเรื่องใส่ตัว
ฉินอวี้โม่ไม่อยากคิดเลยว่าหากวาจาของคนผู้นี้ได้ยินไปถึงหูท่านจ้าวนครผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หากว่าท่านปู่อารมณ์ไม่ดีกลุ่มทหารรับจ้างสนธยาก็อาจจบสิ้นไปเลยก็ได้
“ตามหลักแล้วพวกเจ้าก็ควรจะชดใช้พวกเรา ในเมื่อเจ้าทำร้ายคนของข้าและยังชิงของของพวกเขาไป เจ้าก็ควรจะส่งสิ่งชดเชยกลับคืนมา สาวน้อย เจ้าอย่าบีบบังคับให้ข้าต้องใช้กำลังจะดีกว่า ข้าเองก็ไม่อยากจะเลือกทางนั้น”
มู่ซือยิ้มพลางมองดูเหล่าผู้เยาว์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเหนือกว่า ไม่มีเจตนาอื่นใดในคำพูดของเขาอีกแล้ว คนผู้นี้อย่างไรก็จะให้ฉินอวี้โม่ยอมขอโทษและส่งสิ่งของชดเชยกลับมาให้ได้
ด้วยการที่มีหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างที่ยิ่งใหญ่คอยสนับสนุนทำให้หลิวเหนิงและพรรคพวกนึกลำพอง
“หึ ๆ ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำกับเรา ตอนนี้เห็นหรือยังเล่าว่าข้าพูดไม่ผิดสักนิด !”
หลิวเหนิงมองฉินอวี้โม่ด้วยสายเหยียดหยาม
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าหัวหน้าของเจ้าจะสนับสนุนเจ้าได้ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนพลางเอ่ยวาจาตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว
อีกฝ่ายเป็นเพียงกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และที่นี่ก็คือนครเมฆา นครายิ่งใหญ่เหนือขุมกำลังใด ๆ ในหวนหลิง นางสงสัยจริง ๆ ว่า เหตุใดมู่ซือผู้นี้จึงมั่นใจหนักหนาว่าตนเองจะกระทำต่ำช้าในนครเมฆาด้วยการก่อเรื่องวุ่นวายรังแกผู้คนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กล้ามาข่มขู่หลานสาวของจ้าวผู้ครองนครเช่นนี้ นี่ถือเป็นเรื่องตลกโดยแท้
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ หลิวเหนิงก็ชะงักไป
“หลิวเหนิงเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีนามว่าอะไร ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางแล้วเอ่ยถามอย่างนิ่มนวล
หลิวเหนิงส่ายศีรษะทันที เพราะจนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่รู้จักชื่อของนางเลย
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพอจะเคยได้ยินชื่อ*‘ฉินอวี้โม่’*บ้างรึเปล่า ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกล่าว
“ฉินอวี้โม่ ?”
หลิวเหนิงผงะไป สายตาที่เคยกรุ่นโกรธเริ่มฉายแววแห่งความสับสน
เขาจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ได้อย่างไร ?
ในตอนนี้สตรีนามฉินอวี้โม่กลายเป็นที่กล่าวถึงกันทั่วทั้งแผ่นดิน แม้แต่จ้าวอารามก็ยังพ่ายแพ้ให้กับนาง ฉะนั้น ไม่ต้องนับกลุ่มทหารรับจ้างสนธยาของพวกเขาเลย ถ้าหากต้องเผชิญหน้าสตรีผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น พวกเขาคงไม่ต่างจากมดปลวกที่รอให้นางบดขยี้
ที่สำคัญฉินอวี้โม่ยังเป็นหลานสาวสุดที่รักของจ้าวนครเมฆา นอกจากความแข็งแกร่งเหนือผู้ใดแล้ว สถานะของนางยังสูงส่งเป็นอย่างมากด้วย
เหล่าสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างสนธยาต่างก็รู้ดีว่า *‘พวกเขาจะมีเรื่องกับผู้ใดก็ได้ แต่ต้องไม่ใช้ฉินอวี้โม่’*หากคิดสั้นไปยั่วยุนาง เกรงว่ากลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาคงจะได้สิ้นชื่อเป็นแน่
ความน่ากลัวของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ทำให้ทุกขุมกำลังในดินแดนหวนหลิงพากันเกรงขามและไม่กล้ารังควานหรือกระทำเรื่องให้เป็นที่ขุ่นเคืองของตระกูลฉิน เหตุผลหนึ่งก็เพราะกลัวว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย อีกเหตุผลก็เพราะกลัวว่าจะมีแต่เสียไม่มีได้
“อย่าบอกข้านะว่าเจ้าคือฉินอวี้โม่ ?”
หลิวเหนิงหน้านิ่วคิ้วขมวดมองดูฉินอวี้โม่
อันที่จริง เขาไม่เคยทราบชื่อของสตรีตรงหน้ามาก่อน ทว่าเมื่อลองคิดดูดี ๆ พรสวรรค์ที่นางแสดงออกมาต่อหน้าพวกเขาในดินแดนต้องห้ามก็ถือว่าน่าตกใจมาก หากนางคือฉินอวี้โม่จริง นั่นก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก ในตอนนี้ใบหน้าของหลิวเหนิงตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันคอของเขาเริ่มแห้งผากลงเรื่อย ๆ แล้ว
“ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครได้อีก”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับ น้ำเสียงที่นางใช้ยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม ยิ่งกว่านั้นยังเจือแววขบขันอยู่หลายส่วน
คุณหนูสี่ตระกูลฉินยอมรับตัวตนออกไปตรง ๆ
สิ้นวาจาของสตรีตรงหน้า ใบหน้าของหลิวเหนิงก็บิดเบี้ยวราวกับกลืนยาขม
อีกด้านหนึ่ง มู่ซือที่วางท่าสูงส่งมาตั้งแต่ต้นก็มีใบหน้าดำคล้ำพร้อมกันนั้นเม็ดเหงื่อจำนวนมากก็ผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า
ถ้าสตรีตรงหน้าของพวกเขาคือฉินอวี้โม่จริง ๆ เช่นนั้นวันนี้เกรงว่าพวกเขาคงจะเดือดร้อนเสียแล้ว
“หัวหน้ามู่ซือ ไม่เจอเจ้าไม่ทันไร กลุ่มทหารรับจ้างสนธยาของเจ้าเหิมเกริมขึ้นถึงเพียงนี้เชียวรึ ?”
ทันใดนั้นน้ำเสียงซื่อตรงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัด ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะเห็นบุรุษวัยกลางผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้
บุรุษผู้นี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับชื่อเซียวถึงเจ็ดแปดส่วน หากฉินอวี้โม่คาดเดาไม่ผิดเขาน่าจะเป็นบิดาของชื่อเซียวผู้นำของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน*—ชื่อเหยียน*
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ มีรูปร่างกำยำสมส่วน สีหน้าท่าทางดูเป็นมิตร ดูแล้วก็เป็นผู้ที่น่าจะเข้าถึงได้ง่าย ที่สำคัญเขาดูซื่อตรงน่าคบหาไม่ต่างจากชื่อเซียว
“ชื่อเหยียน !”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาสีหน้าของมู่ซือก็เปลี่ยนไปในทันที
กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนนี้มักจะมีเรื่องขัดแย้งกับพวกเขาเสมอ และก็เป็นเพียงกลุ่มทหารรับจ้างเดียวที่มีพลังอำนาจเหนือพวกเขา
แม้มู่ซือจะเป็นคนหยิ่งยโส แต่เขาก็หวั่นเกรงบารมีของกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียน
“เจ้าก็คือเสี่ยวอวี้โม่ที่เซียวเอ๋อร์ถูกถึงบ่อย ๆ สินะ”
ชื่อเหยียนไม่สนใจมู่ซือ ผู้นำของกลุ่มทหารรับจ้างอันดับหนึ่งหันไปมองฉินอวี้โม่แล้วกล่าวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ยินดีที่ได้พบท่านลุงชื่อเหยียน”
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างเป็นเด็กสาวที่ดียิ่งนัก ไม่แปลกเลยว่าเหตุใด เซียวเอ๋อร์ถึงพูดถึงเจ้าอยู่บ่อยครั้ง”
ชื่อเหยียนยิ้มแย้มอย่างเป็นกันเอง เขาแสดงท่าทีชื่นชอบฉินอวี้โม่ออกไปตรง ๆ ไม่คิดปกปิด
ตัวเขาเข้าใจบุตรชายของตัวเองดี ชื่อเซียวเป็นคนที่ไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ฉะนั้นเมื่อเกิดความประทับใจในตัวสตรีใดแล้ว เขาจึงไม่มีวันลืม
เมื่อได้ยินนามที่ชื่อเหยียนใช้เรียกสตรีที่พวกเขากำลัง *‘หาความ’*แล้ว มู่ซือและหลิวเหนิงก็มั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าก็คือฉินอวี้โม่ผู้นั้นจริง ๆ ตอนนี้ใบหน้าของคนทั้งสองเปลี่ยนเป็นปั้นยากถึงขีดสุด
“หึ น่าสนใจจริง ๆ แม้แต่ในนครเมฆาก็ยังมีคนกล้าข่มขู่ฉินอวี้โม่ หากจ้าวนครเมฆารู้เรื่องนี้เข้า พวกเจ้าก็คิดเอาเองแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ชื่อเหยียนยิ้มพลางเอ่ยวาจาเสียดสี
ในหัวของมู่ซือและสมาชิกทหารรับจ้างของเขา เห็นทีว่าอาจจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสมองอยู่เลย มิฉะนั้นแล้วไฉนเลยที่พวกเขาจะกล้าข่มขู่ฉินอวี้โม่ถึงที่นี่ได้
เพราะไม่ว่าผู้ใดในแผ่นดินล้วนทราบว่าการข่มขู่หลานสาวสุดที่รักของจ้าวนครเมฆาจะต้องไม่มีจุดจบที่ดี
มู่ซือและหลิวเหนิงหน้าถอดสี พวกเขาไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก พลันหันหลังแล้วเตรียมจะจากไปในทันที
“ฮ่า ๆ ๆ นี่คิดจะไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้ม คุณหนูผู้มีวิญญาณของอดีตนักฆ่าไม่คิดจะยอมปล่อยคนพวกนี้ไปโดยง่าย
ในโลกมายาแห่งนี้หรือแม้แต่โลกยุคศตวรรษที่ 21 ที่จากมา คนที่กล้าหาเรื่อง *‘เธอ’*ก่อน ไม่ค่อยมีจุดจบที่ดีนัก
แท้จริงแล้ว ฉินอวี้โม่ลืมเลือนกลุ่มทหารรับจ้างสนธยานี้ไปแล้ว แต่เพราะวันนี้ถูกอีกฝ่ายรังควาน นางจึงจดจำเรื่องนี้ขึ้นมาได้
ในเมื่อพวกเขาอยากจะ ‘ได้เรื่อง’ กันเสียขนาดนั้น แล้วจะไม่ให้นางสงเคราะห์พวกเขาได้อย่างไร ในเมื่อมา *‘เอาเรื่อง’*ถึงที่เช่นนี้ หากยอมปล่อยไปโดยง่ายก็คงไม่ใช่ฉินอวี้โม่เป็นแน่
.