ด้วยวาจาคล้ายข่มขู่ของชื่อเหยียนและความน่าเกรงขามของชื่อฉินอวี้โม่ก็ทำให้มู่ซือยอมมอบของกำนัล ‘ชิ้นโต’ ให้คุณหนูตระกูลฉินก่อนจะรีบเดินจากไปพร้อมเหล่าทหารรับจ้างในกลุ่ม
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่รับเอาของกำนัลของมู่ซือเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม และยอมให้อีกฝ่ายกลับไปโดยไม่คิดหาความอีก
ครั้งนี้กลุ่มทหารรับจ้างสนธยาเพียงแต่ยั่วยุนางเท่านั้น พวกเขายังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดร้ายแรง อีกทั้งนางก็ไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองพวกเขามากนัก ได้รับบทเรียนเพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เมื่อได้เห็นกลุ่มทหารรับจ้างที่น่ารังเกียจต้องรีบหนีคล้ายสุนัขหนีตายหางจุกก้น พี่น้องตระกูลสือก็พากันหัวเราะร่วนอย่างขบขัน
…
ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพงานอันยิ่งใหญ่และจัดขึ้นเป็นเวลา นครเมฆาจึงจัดเตรียมที่พักสำหรับทุกขุมกำลังไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้ฉินอวี้โม่ได้พบคนคุ้นหน้ามากมาย และได้สนทนากับพวกเขาไปพร้อม ๆ กับการเดินเที่ยวชมบรรยากาศภายในนคร
บัดนี้ยังเหลือเวลาอีกกว่าเจ็ดวัน ก่อนจะเริ่มงานชุมนุม ผู้ร่วมงานจากทั้งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและจักรวรรดิชิงเฟิงทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย ขณะที่คนจากอารามและวิหารแห่งความมืดนั้นยังไม่ปรากฏตัวแม้แต่คนเดียว ตามหลักแล้ว สำหรับงานชุมนุมจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่สองขุมกำลังอันลึกลับจะไม่เข้าร่วม
โดยปกติ งานชุมนุมเมฆาในหลายศตวรรษที่ผ่าน ๆ มา แทบจะไม่มีคนจากดินแดนหนเหนือเข้าร่วมเลย ทว่าครั้งนี้ในบรรดาผู้ที่เข้ามาร่วมงานมีคนแปลกหน้าที่มีกลิ่นอายของพลังอันแตกต่างแฝงเข้ามาด้วยเป็นจำนวนไม่น้อย เป็นที่คาดเดากันอย่างลับ ๆ ว่าคนเหล่านั้นน่าจะเป็นคนจากดินแดนหนเหนือที่แฝงตัวเข้ามาพร้อมกับขุมกำลังที่ได้รับเชิญ
“ถ้าดูจากเวลา ท่านปู่กับผู้อาวุโสในตระกูลฉินคงจะใกล้มาถึงกันแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้น ขณะที่นางและเหล่าสหายกำลังนั่งทานอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยมใหญ่แห่งหนึ่ง
ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงห้าวันงานชุมนุมเมฆาก็จะเริ่มขึ้นแล้ว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดทุกขุมกำลังก็สมควรจะมาถึงนครเมฆาล่วงหน้าสักหนึ่งถึงสองวันเป็นอย่างช้า
“ใช่ดูเหมือนใกล้จะมากันแล้วล่ะ”
เยว่ชิงเฉิงพยักหน้า ในตอนนี้พวกนางยังไม่เห็นสมาชิกในตระกูลของตัวเองหรือคนอื่น ๆ จากนครไป๋อวิ๋นปรากฏตัวเลย เรื่องนี้ทำให้คนทั้งกลุ่มรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง
“เร็วเข้าไปดูเรื่องสนุก ๆ กันเถอะ ตอนนี้ที่นอกเมืองมีคนจากจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและจักรวรรดิชิงเฟิงกำลังเปิดศึกกับคนของอาราม”
ทันใดนั้นเอง เสียงอันตื่นเต้นของคนผู้หนึ่งก็ดังเข้าหูฉินอวี้โม่และเหล่าสหาย ประโยคอันน่าตกใจดังกล่าวทำให้เหล่าสหายอวี้โม่ชะงักค้าง
พริบตาต่อมา ทุกคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างไม่ลังเลก่อนจะผลุนผลันออกไปจากโรงเตี๊ยม มุ่งตรงไปที่นอกเมืองในทันที
ขณะนี้ พื้นที่ด้านนอกของกำแพงนครเมฆาเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
กลุ่มคนสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ และต่างฝ่ายต่างก็มีสีหน้าโกรธจัด บรรยากาศในตอนนี้ดูเคร่งเครียดและกดดันจนไม่อาจหายใจได้สะดวก
“เหอะ ! ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามาเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาจริง ๆ ครั้งก่อนข้าไม่ได้ถอนรากถอนโคนพวกเจ้าให้สิ้นซาก วันนี้ข้าขอคิดบัญชีกับพวกเจ้าให้หมดสิ้นกันไป”
หลิงซานผู้ดำรงตำแหน่งจ้าวอารามมองมู่อวิ๋นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด
ครั้งก่อนอารามของพวกเขาล้มเหลวในการยึดครองนครไป๋อวิ๋นอย่างสิ้นท่า พวกเขาจำต้องกลับไปอย่างคนแพ้ นี่ทำให้หลิงซานโกรธมาก อารามของพวกเขาต้องเสียหน้าใหญ่ นับเป็นความอับอายที่ร้ายแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ที่สำคัญเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฐานอำนาจของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นขยายตัวขึ้นและบดเบียดความน่าเกรงขามของอารามจนเสมือนกลายเป็นเพียงฝูงแกะ ในตอนนี้ขุมกำลังทั้งหลายต่างก็แทบไม่เกรงกลัวหรือเห็นหัวอารามของพวกเขาเลย หลิงซานที่เป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดของอารามไว้จึงแทบจะนั่งไม่ติดที่
ผู้คนทั้งหลายล้วนทราบดีว่าที่ผ่านมาอารามนับเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บารมีของพวกเขากว้างไกลไปทั่วทั้งดินแดนหวนหลิง หลิงซานในฐานะที่เป็นจ้าวอารามจึงมีสถานะอันสูงส่งเหนือผู้ใด
อย่างไรก็ตามหลังจากที่พ่ายแพ้ให้ฉินอวี้โม่ ไม่เพียงแต่อารามเท่านั้นที่เสื่อมเกียรติและเสียอำนาจ แต่ตัวเขาเองก็แทบจะไม่มีหน้าไปพบผู้ใด
แม้ว่าจะโกรธแค้นและร้อนรนจนไม่อาจอยู่เฉย แต่จ้าวอารามก็ไม่กล้าจะเคลื่อนไหวด้วยเพราะหวั่นเกรงในบารมีของอวี๋จวินซาน นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดสำหรับเขามากมายนัก
ดังนั้นในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา หลิงซานจึงเก็บตัวฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง โดยได้คนจากดินแดนหนเหนือคอยช่วยชี้แนะ และบัดนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็ทะยานขึ้นไปอีกระดับแล้ว
สำหรับงานชุมนุมเมฆาครั้งนี้ จุดประสงค์อันแท้จริงที่หลิงซานตอบรับคำเชิญมาเข้าร่วมด้วยก็เพื่อจะคิดบัญชีกับคนจากนครไป๋อวิ๋น
“หึ ๆ ท่านจ้าวอาราม ไม่เห็นจำเป็นต้องเคียดแค้นถึงเพียงนั้นเลย การแพ้ชนะถือเป็นเรื่องธรรมดาของสงครามและการต่อสู้ เหตุใดถึงได้ผูกใจเจ็บไม่คิดปล่อยวาง”
มู่อวิ๋นเทศนากลับไปราวกับว่าเขามองเรื่องนี้เป็นเพียงปัญหาเล็ก ๆ
เมื่อได้ยินวาจาคล้ายจะสั่งสอนของมู่อวิ๋น ใบหน้าของหลิงซานก็บิดเบี้ยวและดูน่าเกลียดเป็นอย่างมาก
“มู่อวิ๋น เจ้าอย่าคิดว่าข้าเหมือนเมื่อสามเดือนก่อน ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า !”
หลิงซานตวาดลั่น สิ้นวาจานั้นแรงกดดันอันมหาศาลก็ทะลักทลายออกมาจากร่างกายเขา ในตอนนี้ทุกคนที่อยู่โดยรอบทั้งหมดต่างก็รู้สึกอึดอัดจนแทบไม่อาจหายใจได้
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและแรงกดดันของหลิงซาน มู่อวิ๋นก็ขมวดคิ้วแน่น
ในระยะเวลาเพียงสามเดือน หลิงซานถึงกับก้าวข้ามขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ขึ้นไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นได้ เห็นทีว่าคนจากดินแดนหนเหนือที่ให้ความช่วยเหลือเขาจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
มู่อวิ๋นนั้นทราบดีว่าขุมกำลังระดับแนวหน้าของดินแดนหนเหนือมีวิธีการพิเศษที่สามารถกระตุ้นความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ทว่าจะเป็นวิธีเช่นไร ตัวเขาเองก็ไม่อาจจินตนาการได้
อย่างไรก็ตามนั่นจะต้องเป็นวิธีการที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อยเป็นแน่ หากคาดเดาไม่ผิดผู้ที่ให้การช่วยเหลือหลิงซานก็คงจะเป็นสามพี่น้องตระกูลเหยาจากอารามโชติช่วง
อารามแห่งหวนหลิงนั้นเป็นเพียงขุมกำลังสาขาของอารามโชติช่วง การที่พวกเขาจะให้ความช่วยเหลือหลิงซานก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด
แต่กระนั้น ในตอนนี้ใบหน้าของอธิการโรงเรียนราชสำนักก็ไม่ได้แสดงออกถึงความกลัวให้เห็น เขายังคงยิ้มได้ อีกทั้งยังปลดปล่อยแรงกดดันที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงซานโต้กลับไป
เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของมู่อวิ๋น หลิงซานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
ไม่คิดเลยว่าแม้ตอนนี้เขาจะอยู่เหนือขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ไปแล้วแต่กลับยังด้อยกว่ามู่อวิ๋นอยู่เล็กน้อยอยู่ดี อธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักถือเป็นสัตว์ประหลาดแห่งหวนหลิงโดยแท้ สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นยอดฝีมือในแถวหน้าสุดของแผ่นดินนี้
“เหอะ !”
หลงจื้อที่อยู่ข้างกายจ้าวอารามแค่นเสียง *เหอะ* อย่างเย็นชา ก่อนที่จะปลดปล่อยสภาวะพลังของตัวเองเข้ากดดันมู่อวิ๋นเช่นกัน
ภายใต้สภาวะพลังของสองจอมยุทธ์ที่กดดันเข้ามาพร้อมกันทำให้มู่อวิ๋นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
ทว่าในอึดใจต่อมาก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น ในตอนนั้นเองที่มู่อวิ๋นสัมผัสได้ทันทีว่าแรงกดดันที่ตนได้รับเบาบางลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“ขออภัยที่ข้ามาสาย”
เจ้าของเสียงก็คือยอดฝีมือหลินเหยียนบิดาของหลินซิวหยา
เขาเป็นจอมยุทธ์ที่ท่องไปทั่วดินแดนหวนหลิง หลังจากได้ประมือกับคนจากดินแดนหนเหนือเมื่อครั้งเข้าร่วมสงครามกับไป๋อวิ๋น หลินเหยียนก็ตระหนักได้ถึงแรงกดดันจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งนั่นทำให้เขาเร่งเก็บตัวฝึกฝนและตั้งใจว่าจะไปค้นหาประสบการณ์ในดินแดนหนเหนือ
ทว่าก่อนที่จะไปเยือนดินแดนอันเต็มไปด้วยยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่า จอมยุทธ์ผู้ชื่นชอบการพเนจรอยากเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ของนครเมฆาสักครั้ง
“ขอบคุณจอมยุทธ์หลิน”
มู่อวิ๋นยิ้มบางพลางเอ่ยคำขอบคุณ
หลินเหยียนยิ้มตอบกลับโดยไม่กล่าวสิ่งใด
“เหอะ ! ครั้งก่อนพวกเราพี่น้องพ่ายแพ้ให้กับพวกเจ้าทั้งสอง มาวันนี้พวกเราต้องการคำชี้แนะอีกครั้ง หวังว่าจอมยุทธ์หลินเหยียนและอธิการมู่อวิ๋นจะกล้าพอที่จะต่อกรกับเรา !”
เหยาปิงกล่าวท้าทาย
ในสงครามครานั้น พวกเขาสามพี่น้องร่วมมือกันแต่กลับยังพ่ายแพ้ให้กับมู่อวิ๋นและหลินเหยียนที่มีจำนวนน้อยกว่า เรื่องนี้ทำให้พวกเขาผู้มาจากดินแดนที่สูงส่งกว่าเสียหน้าอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะระดับพลังของพวกเขาถูกความลึกลับของดินแดนแปลกประหลาดนี่กดข่มเอาไว้ บุรุษสองคนตรงหน้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับพวกเขา
หลังจากฝึกปรืออยู่ภายในดินแดนหวนหลิงระยะหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็ค่อย ๆ ดึงพลังดั้งเดิมของตัวเองกลับมาได้ทีละน้อย และยิ่งได้ความคุ้นเคยกับบรรยากาศของดินแดนแห่งนี้แล้วก็ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะเอาชนะหลินเหยียนและมู่อวิ๋นได้
“เหตุใด พวกเราถึงไม่กล้าเล่า !”
หลินเหยียนไม่หวั่นแม้แต่น้อย คนอย่างเขาไม่เคยกลัวใครหน้าไหน ต้องทราบก่อนว่าหลินเหยียนนั้นก็มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันเข้มข้นไม่แพ้หลินซิวหยาผู้เป็นบุตรชาย หรือบางทีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ครั้งก่อนพวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา ถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่ใช่ หากอยากจะลองดูพวกเราก็จะเมตตาสงเคราะห์พวกเจ้าเสียหน่อย”
มู่อวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“แล้วเจ้าหานโม่ฉือนั่นเล่า เหตุใดไม่เห็นปรากฏตัว ?”
หลิงจื้อกวาดตามองศัตรูทั้งกลุ่มแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของบุรุษแซ่หานจึงอดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้
มู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ จากนครไป๋อวิ๋นล้วนแต่ไม่ทราบว่าหานโม่ฉืออยู่ที่ใด ทว่าทุกคนต่างก็มั่นใจว่าเขาต้องมาเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาอย่างแน่นอน
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือเองก็คงจะพัฒนาไปไม่น้อย บุรุษน้ำแข็งผู้นั้นเป็นตัวตนที่ลึกลับเกินจะหยั่งถึง แต่ไม่ว่าอย่างไร สำหรับเรื่องของศิษย์ผู้นี้มู่อวิ๋นไม่เคยกังวล
“มันคงจะกลัวจนไม่กล้ามาแล้วแน่ ๆ!”
หลิงซานเปล่งเสียงเสียดสีดังก้อง กิริยาของเขาราวกับเป็นการประกาศศักดาว่าอีกฝ่ายกำลังเกรงกลัวจนไม่กล้าเผชิญหน้ากับตน
“หลิงซาน เจ้าเคยได้ยินด้วยหรือว่า มีคนกลัวผู้ที่เคยพ่ายแพ้ให้กับตัวเองมาก่อน?”
ทันใดนั้นเอง เสียงอันเย็นชาที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลังก็ดังเข้าหูคนทั้งหมด พร้อมกันนั้นเองร่างของสองบุรุษหนุ่มแสนหล่อเหลาก็ปรากฏขึ้นต่อทุกสายตา
บุรุษคนหนึ่งสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลา เรียกได้ว่ามีรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ทว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างของเขากลับดูลึกลับชวนขนลุกจนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
บุรุษอีกคนมาในชุดสีแดงร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง ทว่าใบหน้ากลับดูภูมิฐานสง่างามและดูมีเสน่ห์อย่างเหลือล้น
บุรุษสองคนที่เพิ่งมาถึงมิใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือ
“หานโม่ฉือไม่คิดว่าครั้งนี้เจ้าจะมาเร็วได้”
อธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักกล่าวทักทายอดีตศิษย์เอกของตนด้วยวาจาคล้ายหยอกล้อ โดยปกติแล้วคนผู้นี้จะชอบปรากฏตัวตอนท้ายเสมอ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาก่อนวันเริ่มงานตั้งหลายวันเช่นนี้
หานโม่ฉือตอบกลับด้วยรอยยิ้มอ่อนก่อนจะเดินไปอยู่เคียงข้างผู้เป็นอาจารย์ สายตาคมแสนเย็นเฉียบจับจ้องอยู่ที่หลิงซานราวกับจะแช่แข็งฝ่ายตรงข้าม
“เหอะ ! ครั้งก่อนเป็นเพราะระดับพลังของข้าถูกกดเอาไว้ทำให้สู้เจ้าไม่ได้ แต่ครั้งนี้เจ้าคงพอรู้แล้วสินะว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
หลงจื้อสาดวาจา ก่อนหน้านี้ที่เขาพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายเป็นเพราะยังไม่ชินกับบรรยากาศของดินแดนนี้กอปรกับไม่สามารถใช้พลังเดิมได้อย่างเต็มที่ แต่ในตอนนี้ต่างออกไป เขาสามารถจัดการปัญหาเหล่านั้นได้ส่วนหนึ่งแล้ว คนจากอารามโชติช่วงคิดว่าครานี้ตนจะไม่ใช่ฝ่ายพ่ายแพ้อีกแน่
“น่าขำ คนจากดินแดนหนเหนือไร้สมองเหมือนกับเจ้ากันถึงหมดเลยงั้นรึ เจ้าไม่รู้หรือว่าในสายตาข้าเห็นเจ้าเป็นแค่ตัวตลกผู้หนึ่งเท่านั้น ถ้าเจ้าแข็งแกร่งพอต่อให้ถูกกดระดับพลังไว้อย่างไรก็ต้องเอาชนะได้ แต่นี่อย่างไร ในเมื่อพ่ายแพ้แล้วก็สมควรต้องยอมรับอย่างลูกผู้ชาย มิใช่หาข้ออ้างโทษลมโทษฟ้าเช่นนี้”
หลินจิ้งหงกล่าววาจาเย้ยหยัน
เมื่อได้ยินถ้อยคำเสียดสีของหลินจิ้งหง สีหน้าของหลงจื้อก็เปลี่ยนในไปทันที บุรุษจากดินแดนหนเหนือมีใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับกลืนยาขม ทว่าเขาก็ไม่สามารถโต้ตอบสิ่งใดกลับไปได้
“หึ ๆ ๆ ไม่คิดว่าที่นี่จะครึกครื้นถึงเพียงนี้”
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนอีกกลุ่มปรากฏตัวขึ้น
พวกเขามีกันอยู่ประมาณสิบกว่าคน แต่ละคนสวมชุดสีดำสนิททั้งตัว ร่างกายปลดปล่อยกลิ่นอายแปลกประหลาด ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุดเป็นบุรุษรูปร่างผอมบางทว่าหล่อเหลาสง่างาม แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่แววตาดูเย็นชาจนทำให้ผู้อื่นหนาวสั่น และชัดเจนว่าคนผู้นี้คือผู้นำกลุ่ม
“คนจากวิหารแห่งความมืด !”
เมื่อเห็นคนกลุ่มใหม่ปรากฏตัว หลิงซานก็ขมวดคิ้วแน่นรังสีแห่งความชิงชังปะทุขึ้นจากร่างของเขาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะวิหารแห่งความมืดและอารามถือเป็นศัตรูกันมาอย่างช้านาน
อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีมานี้วิหารแห่งความมืดเอาแต่เก็บตัวเงียบแทบจะไร้การเคลื่อนไหว การที่พวกเขาไม่ปรากฏตัวเป็นเวลานานนั้นทำให้ผู้คนในแผ่นดินใหญ่เกือบจะลืมเลือนความน่ากลัวของพวกเขาไปแล้ว
“หึ ๆ ๆ ไม่คิดว่าท่านจ้าวอารามจะจดจำพวกเราได้”
บุรุษผอมบางใบหน้าหล่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปหามู่อวิ๋นและคนจากนครไป๋อวิ๋น
“ข้าผู้เยาว์ยินดีที่ได้พบอธิการมู่อวิ๋น จอมยุทธ์พเนจรหลินเหยียนและยอดฝีมือท่านอื่น ๆ”
“ท่านก็คือประมุขวิหารแห่งความมืด*–อ้านเยี่ย* อย่างนั้นรึ ?”
หลินเหยียนเอ่ยถามขึ้นทันที ดูเหมือนว่าเขาพอจะได้รับรู้เรื่องภายในของวิหารแห่งความมืดมาบ้าง
“สมแล้วที่เป็นจอมยุทธ์หลิน ถูกต้องแล้ว ข้าก็คืออ้านเยี่ยประมุขวิหารแห่งความมืด”
บุรุษนามอ้านเยี่ยไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้าพลางกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
ดูจากการวางตัวแล้ว ประมุขของขุมกำลังแสนลึกลับนี้ดูจะสุภาพอยู่ไม่น้อย นี่ทำให้ทางฝ่ายไป๋อวิ๋นเกิดทัศนคติและมุมมองที่ดีต่อวิหารแห่งความมืดขึ้นมาเล็กน้อย
“ที่ข้ารู้เรื่องนี้เป็นแค่ความบังเอิญ ก่อนหน้านี้ตัวข้าเคยมีโอกาสได้ติดต่อกับท่านประมุขคนก่อนอยู่บ้าง”
หลินเหยียนกล่าวตอบตรงไปตรงมา ตัวเขากับอดีตประมุขของวิหารแห่งความมืดนับเป็นคนรู้จัก พวกเขาทั้งสองเคยติดต่อกันหลายครั้ง
แท้จริงแล้ว วิหารแห่งความมืดนี้ แม้จะมีนามอันน่ากลัวและมืดมนแต่สาวกทุกคนแห่งขุมกำลังลึกลับนี้กลับมิใช่คนเลวร้าย พวกเขาไม่เคยรังแกผู้อ่อนแอกว่าหรือคิดเล่นงานใครลับหลัง
ดังนั้นแล้วหลินเหยียนจึงมีความรู้สึกที่ดีต่อวิหารแห่งความมืด
“เหอะ ! ไม่คิดว่าคนจากวิหารแห่งความมืดจะโผล่หัวมาที่งานชุมนุมเมฆาในครั้งนี้ด้วย มิใช่หายสาบสูญไปแล้วหรอกรึ ?”
ในตอนนี้สีหน้าของหลิงซานเปลี่ยนไปแล้ว เขากล่าววาจาเย็นชาปนเหยียดหยามออกไป
“ในเมื่อท่านจ้าวอารามยังมาได้ แล้วเหตุใดเราจะมาไม่ได้ พวกเราเก็บตัวกันเพียงไม่กี่ปี ไม่คิดเลยว่าอารามจะเพิ่มความน่ารังเกียจได้มากถึงเพียงนี้ นับถือ ๆ”
อ้านเยี่ยตอบกลับไปอย่างเผ็ดร้อนเช่นกัน ทำให้บรรยากาศในตอนนี้ดูอัดอึดมากขึ้นไปอีกหลายเท่า
.