ตอนที่ 172.3 ตำหนักซานชิง กับ การปกป้องภรรยา (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“พระชายาฉินอ๋อง พูดจาพล่อยๆ ไม่ได้นะ” รัชทายาทสยบสถานการณ์ เห็นได้ชัดว่าเขายังต้องการที่จะฟังความหลังจากนี้อีก “การจลาจลแห่งเยี่ยนหยางเกิดจากความพยายามร่วมกันของประชาชนหัวรุนแรงและกลุ่มโจรภูเขา จะเกี่ยวข้องกับการกบฏได้อย่างไร” 

 

 

อวิ๋นหว่านหัวหน้าเข้าหาบัลลังก์ “ในเมื่อแม้แต่มเหสีรองยังบอกว่าหม่อมฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโจรโพกผ้าเหลือง หม่อมฉันก็ไม่กลัวที่จะพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แถมยังมีพยานบุคคลอีก หลี่ว์ปาผู้นำของโจรโพกผ้าเหลืองเคยบอกหม่อมฉันว่า เขารับรู้จากซานอิงว่า กองโจรในเขตฉังชวนเกิดจากความเฉยเมยของขุนนาง ปล่อยปละละเลยกองโจร นอกจากนี้ยังเป็นเพราะมีบุคคลลึกลับผู้เป็นคนใหญ่คนโตที่กุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ไว้อยู่” 

 

 

“พะ พูดจาซี้ซั้ว!” ผู้ตรวจราชการเหลียงนั่งตัวตรงด้วยความตกใจ และในที่สุดก็รู้เหตุผลว่าทำไมพระชายาฉินอ๋องจึงปล่อยให้ขุนนางอยู่ต่อ นี่คือการเปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณะชน! 

 

 

“ซานอิงหรือหัวโจกกองโจรที่ใหญ่ที่สุดในเขตฉังชวนน่ะหรือ เขาเป็นเพียงแค่โจรกระจอกคนหนึ่ง ไฉนถึงได้รู้เรื่องของขุนนางระดับสูงเล่า” รัชทายาทสงสัยเป็นอย่างมาก 

 

 

ด้านหลังม่านเหลือง สีหน้าของมเหสีเหวยพลันแปรเปลี่ยน ไม่ได้สบายใจเฉกเช่นก่อนหน้านี้แล้ว 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสายตาอนุญาตของรัชทายาท น้ำเสียงอ่อนโยน มุมปากยกยิ้ม “นั่นน่ะสิเพคะ เขาเป็นเพียงโจรคนหนึ่ง ปกติก็หมกตัวอยู่ในรังโจรบนภูเขา มองไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน เหมือนกับแมลงและหนูที่เติบโตในท่อระบายน้ำอันอับชื้น โจรไม่เคยพบทหาร นับประสาอะไรกับการติดต่อราชการ จะรู้ความลับทางการได้อย่างไร” 

 

 

รัชทายาทได้ฟังแค่เสี้ยวเดียวก็เข้าใจแล้ว ใบหน้าแข็งเกร็ง “พระชายาฉินหมายความว่า ซานอิงกับขุนนางเขตฉังชวนสมคบคิดกันอย่างนั้นหรือ” 

 

 

สีหน้าผู้ตรวจราชการเหลียงพลันซีดเผือด ยืดตัวตรง ก่อนจะคุกเข่าลงไป “นี่อาจโทษมหันต์เลยนะพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ในหัวของมเหสีเหวยอื้ออึง รู้สึกลนลาน ทว่ายังคงไม่กระโตกกระตาก เคาะที่เท้าแขนของเก้าอี้อย่างแรง ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัด “นี่พูดนอกประเด็นไปมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พระชายาฉินอ๋องกำลังพยายามเปลี่ยนทิศทางลม ลดทอนบทลงโทษของตนเองหรือ” 

 

 

ทว่ากลับเห็นด้านนอกผ้าม่าน มีร่างอ้อนช้อนและสง่างามอยู่ “หม่อมฉันจะถูกลงโทษในข้อหาที่ออกจากเยี่ยจิงโดยไม่ได้รับอนุญาต รอให้ทวงคืนความยุติธรรมให้กับเรื่องใหญ่พรรค์นี้ก่อน จะลงโทษอย่างไรก็ลงโทษได้เลย มเหสีรองไม่ต้องกลัวว่าหม่อมฉันจะหนีไปหรอกเพคะ” 

 

 

“เจ้า…” มเหสีรองเหวยกัดฟันกรอด แต่นางผู้หญิงโสมมผู้นี้ได้อยู่ต่อหน้ารัชทายาทและขุนนาง อยากจะไปห้ามก็ห้ามไม่ได้แล้ว 

 

 

รัชทายาทกำลังครุ่นคิด “ถึงอย่างนั้น อย่างมากก็เป็นแค่ขุนนางสมรู้ร่วมคิดกับโจร ไฉนถึงเกี่ยวข้องกับการกบฏได้เล่า” 

 

 

“รัชทายาท” ด้านหลังโต๊ะใหญ่ ทุกคนได้ยินเสียงทุ้มของฉินอ๋องเอ่ยขึ้น “ถ้าขุนนางธรรมดาและโจรสมรู้ร่วมคิดกัน ไม่ถือเป็นการก่อกบฏ แต่เหตุจลาจลแห่งเยี่ยนหยางครานี้นั้นซับซ้อน จากการสอบปากคำโจรในคุกบนภูเขาหม่าโถว ซานอิงต้องการใช้ประโยชน์จากหลี่ว์ปา ถือโอกาสนี้ในการเริ่มต้นการจลาจลในเมือง หากข้าใช้กองทัพไปปราบปราม หรือแม่ทัพเฉินรีบมุ่งเข้าไปในตอนนั้น ซานอิงก็สามารถเผชิญหน้ากับราชสำนักด้วยข้ออ้างในการต่อต้านการสังหารหมู่ของขุนนางและทหารได้พอดี นี่เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดสำหรับการจลาจลมาแต่ไหนแต่ไร และเยี่ยนหยาง ได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์แรกของพวกเขา เขตฉังชวนเป็นถิ่นทุรกันดารล้อมรอบด้วยอำเภอเพ่ยและเมืองเล็กๆ กำลังทหารไม่เพียงพอที่จะต้านทานได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะรับสมัครทหารหรือซื้อม้าพวกเขาก็ได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกันก็ควบคุมเมืองใกล้เคียงไปด้วย หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเขาจะตีเข้าใกล้เมืองหลวง ก็อาจจะเป็นไปได้ เหตุการณ์เหล่านี้ เดิมทีข้าจะรายงานต่อวังหลวงหลังจากนี้” 

 

 

ทุกคนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ 

 

 

“บังอาจยิ่งนัก! เป็นเพียงแค่โจรกระจอก ริอ่านจะมาล้มราชวงศ์!” รัชทายาทโมโห 

 

 

“โจรคนหนึ่ง ต่อให้มีความทะเยอทะยานเพียงใด ก็ยากที่จะมีแผนการอันแยบยลเช่นนี้ การก่อกบฏไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก” ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยเบาๆ “ต่อให้ยึดครองเยี่ยนหยางได้ หากต้องการออกไปโจมตีเมืองต่างๆ อีกครั้ง ก็ต้องรู้ว่าเมืองใดอ่อนแอและเมืองใดมีอาวุธหนัก โจมตีที่ใดก่อนและจะต่อสู้ที่ไหนในภายหลัง ลำพังแค่ความสามารถของโจร ไม่สามารถรู้รายละเอียดเรื่องเหล่านี้ได้” 

 

 

เหล่าขุนนางมองหน้ากัน อวิ๋นหว่านฉั่งสังเกตุการณ์อยู่นาน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะถูกฉินอ๋องและอวิ๋นหว่านชิ่นดึงกลับมา เขาโล่งใจและเลือกข้างทันที พลางเอ่ยต่อ “ฉินอ๋องหมายความว่า ขุนนางและกลุ่มโจรเขตฉังชวนติดต่อกันลับๆ มานานแล้ว เบื้องหลังการก่อจลาจลของเยี่ยนหยาง อันที่จริงเป็นการให้ท้ายของขุนนางท้องถิ่นหรือ” 

 

 

ภายในตำหนักซานชิง เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความตกตะลึง เสมือนคลื่นยักษ์ลูกใหญ่ 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงเหงื่อออกหลัง แขนขาเย็นเฉียบ อกสั่นขวัญแขวน “ต่อให้กระหม่อมจะกล้าหาญเพียงใดก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับโจร นับประสาอะไรกับต่อกรกับราชสำนัก!” 

 

 

“ผู้ตรวจราชการเหลียงอาจไม่กล้า แต่ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เหนือหัวของผู้ตรวจราชการเหลียงอาจมีอำนาจนี้ก็เป็นไปได้” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย 

 

 

หลังจากม่านเหลือง มเหสีรองเหวยกำลังจะเป็นลม โมโหจนหายใจไม่ออก กระทืบเท้าลงบนพรมแล้วหวีดร้องขึ้น “พอแล้ว! การที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อเปิดโปงความผิดของพระชายาฉินอ๋องที่ไม่ทำตามกฏ ไม่ได้มาฟังเรื่องวุ่นวายพรรค์นี้!” 

 

 

พอแล้วหรือ ขอโทษที อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่พอ 

 

 

ตอนนี้เสียใจ อยากจะถอยทัพกลางคันแล้วหรือ ฝันไปเถอะ ยิงธนูออกไปแล้ว มันจะย้อนกลับได้อย่างไร! 

 

 

“เป็นคนของใครกันแน่” น้ำเสียงของรัชทายาทเผยความเข้มงวดอันหาได้ยาก ผิดแปลกไปจากน้ำเสียงอ่อนโยนในเวลาปกติ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองเงาอันสั่นเทาจากแรงโกรธเคืองในม่านเหลืองแวบหนึ่ง “คนผู้นั้นคือเหวยกั๋วจิ้ว[1]” 

 

 

มเหสีรองเหวยแขนขาอ่อนแรง แทบทรุดคาเก้าอี้ โชคดีที่อิ๋นเอ๋อร์มาช่วยพยุงไว้ 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงเหงื่อไหลพลั่กดั่งฟ้าฝนไหลหลาก 

 

 

เหวยเซ่าฮุยน่ะหรือ บรรดาขุนนางต่างผงะ ประมวลผลในใจอย่างรวดเร็ว ตระกูลเหวยมีอำนาจมหาศาล ได้เป็นขุนนางใหญ่ทั้งตระกูล โดยเฉพาะมเหสีรองที่เป็นที่โปรดปรานมาหลายปี ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ตราจราชการเหลียงแห่งเขตฉังชวนและคนอื่นๆ ต่างก็เป็นเบี้ยล่างของตระกูลเหวย 

 

 

หากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังขุนนางเขตฉังชวนคือเหวยเซ่าฮุยจริงๆ เช่นนั้นตามที่ฉินอ๋องบอก ก็พอสมเหตุสมผล แม้โจรภูเขาจะมีความกล้าแค่ไหน ก็ไร้สมองไว้วางแผน หรือตระกูลเหวยอยู่เบื้องหลังแผนการณ์จริงๆ  

 

 

เมื่อตระกูลเหวยเป็นกบฏ ก็ยากที่ราชสำนักจะต้านทานได้! หากซานอิงยึดครองเยี่ยนหยางได้จริงๆ หากขุนนางประจำพื้นที่ในเมืองที่ผ่านไปนั้นเป็นคนสนิทของตระกูลเหวย ก็สามารถเปิดประตูต้อนรับโจรและมอบตราพยัคฆ์ให้ด้วยตัวเองก็เป็นไปได้! 

 

 

ทว่าเหวยเซ่าฮุย ใช้โจรเพื่อวางแผนก่อกบฏ โดยตนชักใยอยู่เบื้องหลัง หากใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว ตระกูลเหวยจะออกมารับหน้า หากไม่สำเร็จ ก็จะเป็นการก่อกบฏของโจร ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อยนิด 

 

 

ต่อให้ซานอิงจะถูกจับได้ เขาก็ไม่กลัวสักนิด ตามเครือข่ายของเขาในวงราชสำนัก เมื่อพวกโจรก่อกบฏล้มเหลว เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ปากคำของซานอิงหลุดมาให้ราชสำนักพิจารณาคดีแน่นอน! 

 

 

เกิดความเงียบสนิทภายในตำหนัก แม้ว่าพวกเขาจะตีฆ้องร้องป่าวอยู่ในใจ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ 

 

 

ผ่านไปชั่วครู่ รัชทายาทเอ่ยขึ้น “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทราบ ก่อนตัดสินใจอีกครั้ง” หันหน้ามองฉินอ๋อง เสียงดังขึ้นอย่างรวดเร็วและก้องอยู่ในตำหนัก “คำพูดของพระชายาเพียงอย่างเดียว ใช้เป็นข้ออ้างอิงในการสอบสวนเท่านั้น แต่ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ มีข้อพิสูจน์อื่นว่านี่เป็นความจริงอีกหรือไม่” 

 

 

คนที่เข้าถึงได้ง่ายในอดีต ท่าทีที่ไม่สนเรื่องภายนอก กลับกลายเป็นผู้สูงส่งในท่าทางที่เหนือว่า รายละเอียดเล็กน้อยก็ไม่อาจปล่อยไป ทั้งไม่ปล่อยโอกาสในการโจมตีตระกูลเหวยให้หลุดลอย และไม่ยอมตกเป็นขี้ปากใคร ให้คนอื่นมาว่าว่าตนนั้นประมาทเลินเล่อ และลงโทษขุนนางผู้ครองอำนาจอย่างสะเพร่า 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองชายหนุ่มรูปงามที่ยังแสดงละคร ทำเป็นเถียงกับตนก่อนหน้านี้ไม่นาน และขอให้นางแต่งหน้าให้เขาในงานมหรศพอยู่เลย ฉินอ๋องพูดถูก รัชทายาทไม่ได้ใสซื่ออย่างที่ตนคิด 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ย “ตอนนั้นข้ารู้มาว่าพวกโจรกำลังวางแผนก่อกบฏ ยังสงสัยอยู่ว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ได้ค้นหาหลักฐานอย่างลับๆ แล้ว แต่หลักฐานยังไม่ครบสมบูรณ์ หากหาหลักฐานมาได้แล้วจะส่งเจ้าหน้าที่ไปยังกรมยุติธรรมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] เหวยกั๋วจิ้ว พระมาตุลาเหวย พี่ชายของพระมเหสีรองเหวย