โม่ถิงไม่ได้ตอบอะไรออกมาสักคำ นี่เป็นข้อตกลงเงียบๆ ว่าเขาจะไม่เข้าไปยุ่ง
เขารู้ว่าถังหนิงนึกถึงความรู้สึกของเขาเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นที่เธอบอกว่าจะไม่ไปเจอหน้าหันซิวเช่อไม่ใช่เพราะเธอประเมินอีกฝ่ายสูง แต่เพราะไม่ต้องการให้โม่ถิงไม่สบายใจต่างหาก ต่อให้หันซิวเช่อจะเทียบเขาไม่ได้สักนิดก็ตาม
จากนั้นถังหนิงจึงบอกหลงเจี่ย “แอบเชิญผู้จัดการของหม่าเวยเวยมาดื่มชาสักหน่อยสิ ฉันมั่นใจว่าเราต้องได้ข้อมูลจากเธอบ้างแน่ ถ้าหันซิวเช่อตั้งใจจะแย่งจู้ซิงมีเดียไปให้หม่าเวยเวยจริง เขาต้องไปพบกับเธอบ้างแหละ”
“แต่ผู้จัดการของหม่าเวยเวยอาจจะไม่ให้ความร่วมมือกับเราก็ได้นะคะ! ”
“ฉันจะบอกเธอเองว่าต้องพูดยังไงเอง” ถังหนิงเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
เพื่อความอยู่รอดในวงการนี้ ทักษะการเจรจาเป็นสิ่งที่จำเป็น นี่เป็นสิ่งที่หลงเจี่ยรู้มานานแล้ว
“รับทราบแล้วค่ะ”
ระหว่างหันซิวเช่อกับหม่าเวยเวย จุดที่จะพลาดได้มากที่สุดคือผู้จัดการของหม่าเวยเวย ถังหนิงจึงบอกให้หลงเจี่ยติดต่ออีกฝ่ายให้เร็วที่สุด
ทว่าตอนนี้ทั้งสื่อและคนภายนอกกำลังคาดเดากันว่าถังหนิงกลับปักกิ่งจริงหรือไม่ และถังหนิงวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างที่หันซิวเช่อพูดหรือไม่
ในขณะที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น หลงเจี่ยได้ช่องทางติดต่อผู้จัดการของหม่าเวยเวยจากคนรู้จักของเธอก่อนติดต่ออีกฝ่ายไปอย่างเงียบๆ
หลงเจี่ยติดต่อไปอย่างนี้จะรู้สึกอย่างไรกันนะ
แม้ว่าผู้จัดการของหม่าเวยเวยจะดูซื่อบื้อ แต่เธอก็รู้ความสัมพันธ์ระหว่างหลงเจี่ย ถังหนิง และไห่รุ่ยดี เธอไม่รู้ว่าหลงเจี่ยกำลังทำอะไร แต่ในฐานะที่เป็นแค่ผู้จัดการ เธอจะไปมีปัญญาต่อกรกับคนใหญ่คนโตแบบนั้นได้อย่างไรกัน
ดังนั้นเธอจึงไปพบกับหลงเจี่ยเพียงลำพังโดยไม่ให้หม่าเวยเวยรู้
หญิงสาวทั้งสองเจอกันที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งที่หม่าเวยเวยสั่งอาหารกลางวันบ่อยๆ ก่อนหลงเจี่ยจะปลอมตัวมาถึงโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ต่อให้ผู้จัดการของหม่าเวยเวยเห็นเธอก็ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะจำเธอได้
“หลงเจี่ย ตอนนี้สถานการณ์ไปกันใหญ่แล้วนะ เรามาเจอกันอย่างนี้จะดีเหรอ”
“ไม่มีอะไรที่ไม่ดีหรอกค่ะ” หลงเจี่ยหัวเราะ “ฉันจะพูดเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ ก่อนหน้านี้หันซิวเช่อกับหม่าเวยเวยเคยพบกันหรือเปล่าคะ”
ผู้จัดการหม่าเวยเวยนึกไม่ถึงว่าหลงเจี่ยจะถามตรงๆ ขนาดนี้ เธอไม่แม้แต่พูดเกริ่นก่อนแม้แต่น้อย ผู้จัดการจึงเอาแต่นิ่งเงียบและไม่ปริปากออกมาสักคำ
ทว่าหลงเจี่ยจับสังเกตได้ทันที…
“ฉันมั่นใจว่าคุณรู้ว่าหม่าเวยเวยคงอยู่ได้ไม่นาน พอเวลาผ่านไปเธอก็จะถูกแทนที่
“แล้วไห่รุ่ยก็ไม่ได้ออกมาตอบโต้เพราะถังหนิงยืนกรานว่าจะจัดการหม่าเวยเวยด้วยตัวเอง ความจริงแล้วเธอตั้งใจว่าจะไม่ออมมือเลยด้วยซ้ำ ถ้าคุณฉลาดพอก็น่าจะรู้จักประเมินสถานการณ์ตอนนี้บ้างนะคะ วงการบันเทิงนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ฉันมั่นใจว่าคุณรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีกับตัวเองที่สุด”
ผู้จัดการของหม่าเวยเวยรู้ว่าหลงเจี่ยพยายามจะสื่ออะไร
“ฉันรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะขอให้คุณเปิดโปงเรื่องทุกอย่าง ดังนั้นคุณไม่ต้องให้หลักฐานกับฉันมาก็ได้ค่ะ แค่บอกฉันมาว่าพวกเขาไปเจอกันที่ไหนและเมื่อไหร่แค่นั้น ฉันจะทำให้เป็นเรื่องบังเอิญให้แนบเนียนที่สุดเองค่ะ…” หลงเจี่ยพยายามหลอกล่อผู้จัดการ “ฉันรู้นะคะว่าคุณรู้ความจริง
“หันซิวเช่อลากพวกคุณมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันว่าคุณเองก็อยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี ใช่ไหมล่ะคะ”
“พูดตามตรงนะคะ ฉันเองก็ตกที่นั่งลำบากมากนะคะ” ผู้จัดการสาวสลัดท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวก่อนจุดบุหรี่ “แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าผู้จัดการทำตัวฉลาดเกินไปกับศิลปินของพวกเขา พวกเขาก็มักจะถูกรังแก มันน่าเอือมระอามากเลยนะคะ
“เรื่องจู้ซิงมีเดียฉันเองก็ดีใจที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ยังไงเราเองก็อยู่คนละฝ่ายกัน ก็ไม่แปลกที่ฉันจะรู้สึกอย่างนี้หรอกค่ะ แต่คำพูดของคุณก็ดูเข้าท่าดีเหมือนกัน”
ผู้จัดการหวาดกลัวถังหนิงอยู่ลึกๆ
“เพื่อไม่เป็นการหักหลังหม่าเวยเวยจนเกินไป ฉันจะให้คำใบ้กับคุณสักหน่อยแล้วกันนะคะ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะคะ” เธอว่า “ไม่ว่าคุณจะหาอะไรเจอหรือเปล่า ฉันจะช่วยคุณแค่ครั้งนี้เท่านั้น! ”
หลงเจี่ยมองหน้าผู้จัดการของหม่าเวยเวยก่อนพยักหน้าให้
“อีกอย่างถ้าคุณขอหลักฐานได้จริงๆ คุณห้ามใช้มันทำร้ายหม่าเวยเวยนะคะ คุณต้องรับปากฉันนะคะ! ”
“ตราบใดที่หม่าเวยเวยไม่ทำเกินไปมากกว่านี้นะคะ อย่าลืมว่าแค่ทุกอย่างที่เธอทำมาตั้งแต่เข้าวงการก็เพียงพอให้ไห่รุ่ยขึ้นบัญชีดำเธอได้เป็นร้อยรอบแล้วล่ะค่ะ แต่เธอก็ยังอยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ” หลงเจี่ยถามกลับ
อีกฝ่ายสบตามองหลงเจี่ย “แล้วเราทั้งคู่ก็ต้องลืมเรื่องที่เคยเจอกันวันนี้ด้วยนะคะ”
หลงเจี่ยไม่ได้จะให้ผลประโยชน์กับผู้จัดการจริงๆ หรอก แต่เธอคิดว่าการช่วยเหลือหลงเจี่ยครั้งนี้จะทำให้เธอได้บางอย่างเป็นสิ่งตอบแทนบ้าง
คนที่ติดค้างเธออยู่ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหลงเจี่ย
ต่อให้หม่าเวยเวยถูกทำลายในท้ายที่สุด ผู้จัดการก็เชื่อว่าตัวเองจะรอดตัวไปได้ อย่างไรการช่วยหลงเจี่ยก็เป็นเหมือนการขอละเว้นโทษตายของเธอ
จากนั้นหลงเจี่ยจึงเอาข้อมูลมาจากผู้จัดการของหม่าเวยเวยก่อนติดต่อใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ สถานที่ที่หันซิวเช่อกับหม่าเวยเวยนัดพบกัน เผื่อว่าพวกเขาจะพอมีหลักฐานที่จับภาพเอาไว้ได้
ที่อยู่ส่วนตัวอาจเป็นไปได้ยาก หากแต่ร้านค้าเล็กๆ นั้นแตกต่างออกไป
แม้จะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ ในที่สุดหลงเจี่ยก็พบหลักฐานบางอย่าง
หันซิวเช่อยังจะปฏิเสธความสัมพันธ์กับหม่าเวยเวยอีกหรือ
มันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอีกแล้วเพราะมีหลักฐานที่จะใช้ตบหน้าเขาได้อย่างแน่นอน
และหลักฐานชิ้นที่สองก็คือตัวของหลงเจี่ยเอง
เมื่อครั้งที่เขาแนะนำเอสเอเจให้เธอ เขารู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขามีประวัติเสพยา และเขายังใช้เรื่องนี้ในการข่มขู่เธออีก
นี่เป็นเรื่องที่หันซิวเช่อไม่อาจลบล้างได้ ตราบใดที่เขาเป็นคนทำย่อมมีหลักฐานอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนที่หลงเจี่ยจะโจมตีเขา เธอต้องยืนหยัดให้มั่นคงเสียก่อน
ทว่าจุดอ่อนที่สุดของหันซิวเช่อคือสภาพจิตใจที่แปรปรวน
ด้วยขาดความรักจากแม่ เขาจึงเติบโตมาด้วยจิตใจที่บิดเบี้ยวและมีมุมมองต่อต้านผู้หญิง
ต่อให้ถังหนิงไม่ได้ต้องการโจมตีด้วยวิธีที่รุนแรงขนาดนี้ เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะมีความเป็นมนุษย์มากพอที่คู่ควรแก่การให้เกียรติ
หันซิวเช่ออยากให้สื่อรู้ว่าเธอกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการจู่โจมของถังหนิงคือเธอไม่เคยปฏิเสธและพยายามปิดบังบางอย่างที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด เธอวางแผนมาอย่างแยบยลโดยอิงมาจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเพราะมันเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะต้านทานกับข้อกังขาได้
หากเธอไม่ทำเช่นนั้นใครบางคนต้องค้นพบความลับที่ซ่อนอยู่ในเงามืด อย่างไรเสียวงการบันเทิงก็มีคนจับจ้องอยู่มากมาย
หากมันเกิดขึ้นจริงคงเป็นการตบหน้าที่เจ็บแสบยิ่งกว่าเดิม
ระหว่างที่ทุกอย่างดำเนินไป โม่ถิงพลันเอ่ยกับถังหนิง “ตอนที่คุณปิดเครื่อง โจนส์ติดต่อผมมาครับ เขาว่าจะแวะมาที่ปักกิ่งกับภรรยา ในฐานะลูกศิษย์ที่กตัญญู คุณน่าจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่นะครับ เขาหยุดทำงานหลังเกษียณทั้งที อย่าปล่อยให้เขารู้สึกว่าตัดสินใจผิดเลยนะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่ถิง ถังหนิงมองเขาด้วยท่าทีจริงจัง “ประธานโม่คะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคุณเป็นคนติดต่อโจนส์ไปเองล่ะคะ”