ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 44 เกาะฝูอวี้ (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ทั้งสองหลบอยู่หลังต้นไม้ ไม่กล้าหายใจดัง

 

จริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยากจะทำตัวเหมือนพวกกินปูนร้อนท้องเช่นนี้ แต่ไม่รู้ทำไม พอคิดถึงว่าตนเองรู้ความลับของสาวงามตรงหน้านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้าอย่างไม่รู้เหตุผล กลัวนางพบเข้า

 

บางทีที่พวกเขากลัวยิ่งกว่าก็คือต้องมาพบกับเรื่องงามหน้าของนางกับพ่อบ้านเป็นครั้งที่สองที่นี่ แต่ดูอยู่เป็นนาน ที่นี่ราวกับมีนางเพียงคนเดียว มองไม่เห็นใครอื่น นางกำลังตกในภวังค์

 

“พวกเราไปกันเถอะ” เสวียนจีส่งเสียงขึ้นเบาๆ ทำสัญญาณมือให้ถอย นางกลัวความยุ่งยาก

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “เดี๋ยวก่อน…ดูว่านางจะทำอะไร” เขาคิดรวบรวมหลักฐานสักหน่อย ป้องกันไว้ถึงตอนเกิดเรื่อง ทั้งสองถูกนางแว้งกัด จะดูย่ำแย่ยิ่ง

 

สาวงามผู้นั้นมองดอกไม้ร่วงโปรยปรายเงียบๆ พลันลอบถอนหายใจเบาๆ เสียงนั้นอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าขลุ่ยหยกในน้ำ เสียงราวกับแฝงความเจ็บปวดคับแค้นมากมายนับไม่ถ้วน ฟังแล้วได้แต่ขนลุก หวังอยากจะได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อนางบ้าง จะได้ทำให้สาวงามเบิกบานแย้มยิ้มอีกครา

 

“เหมือนนางกำลังร้องเพลงอยู่…” เสวียนจีตั้งใจฟัง เสียงลมทะเลแทรกเข้ามาเป็นระยะ เสียงร้องนางงดงามกระจ่างราวกับนางเงือกแห่งท้องทะเลลึก บางคราพลิ้วแผ่ว บางคราหนักแน่น เสียงไพเราะเสนาะหูดังแว่วมา

 

“มองดูความงามลำน้ำฉี ต้นไผ่เขียวขจี ชายวิญญูชนผู้หนึ่ง มุ่งมั่นสลักชิ้นงาน บรรจงสลักหยก สูงส่งเช่นนั้น สง่างามเช่นนั้น ชายวิญญูชนผู้นี้ ข้ามิมีวันลืมเลือน”

 

น้ำเสียงค่อยๆ เบาลง สาวงามอิงแอบต้นไม้เล่นอยู่กับกลีบดอกไม้ ไม่ส่งเสียงอันใดอีก

 

นางร้องอันใด เสวียนจีมองอวี่ซือเฟิ่ง เดิมคิดว่าเขาต้องรู้คำตอบ

 

อวี่ซือเฟิ่งกระซิบว่า “นางขับร้องถึงวิญญูชนผู้หนึ่ง งามราวหยกสลัก ชมว่าเขาสง่าผ่าเผยอย่างไร สูงส่งอย่างไร ดังนั้นนางไม่อาจไม่คิดคำนึงถึงเขา”

 

“เพลงรัก!” เสวียนจีตกใจมาก ที่แท้นี่ก็คือเพลงรักในตำนาน! นางได้ยินเป็นครั้งแรก

 

“ไพเราะจริง หากนางร้องอีกสักสองวรรคก็คงดี” นางทอดถอนใจ

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบกล่าวว่า “ฟังดูแล้วนางจริงใจกับพ่อบ้านนั่นมาก เพียงแต่ไม่รู้เหตุใดเรื่องราวพลิกผันมาแต่งกับเจ้าเกาะตงฟางได้ ดังนั้นจึงทนไม่ได้ต้องเล่นกับไฟ ก็ไม่รู้พ่อบ้านนั่นจริงใจกับนางหรือไม่…”

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมหรือ หรือว่าเจ้าคิดช่วยเหลือพวกเขาให้ได้อยู่ด้วยกัน”

 

เขาส่ายหน้า “ได้อย่างไร แต่งงานเป็นเรื่องชั่วชีวิต ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น ในเมื่อวันนั้นนางกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าเกาะตงฟางแล้ว ก็ย่อมไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว”

 

“เช่นนั้นเมื่อครู่ที่เจ้าพูด…” หมายความว่าอย่างไร เสวียนจีถูกเขาทำเอางงไปหมดแล้ว

 

“ข้าจะบอกว่า…” เขาหรี่ตามอง เผยสีหน้าสงสารเห็นใจ “หากพ่อบ้านนั่นจริงใจจริง อย่างน้อยนางคงไม่เสียแรงเปล่าที่ต้องมาคิดคร่ำครวญคำนึงหาเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่ถูกผู้อื่นล้อเล่นกับความรู้สึกเช่นนี้ก็มักจะน่าสงสารมาก”

 

กล่าวได้มีเหตุผล เสวียนจีพยักหน้า ตาชั่งในใจอดเอนไปทางฮูหยินตงฟางไม่ได้

 

ฮูหยินตงฟางเงียบไปครู่หนึ่ง ร้องอีกสองสามประโยค ยังคงเป็นบทชมวิญญูชนผู้นั้น นางจมลงสู่ห้วงความคิดตน เสวียนจีรู้สึกเพียงท่วงทำนองของนางโศกเศร้าสิ้นหวัง ราวกับสุขีขีดสุด จากนั้นความสุขีนั้นกลับกลายเป็นความเศร้าระทมจมลึก หรือว่าการรักใครสักคนก็จะกลายเป็นความทุกข์ได้เช่นนี้ นางนึกถึงครั้งก่อนที่ไม่ตั้งใจได้ยินท่านแม่กับหลิงหลงแอบคุยกัน พวกนางกำลังพูดถึงจงหมิ่นเหยียน ท่านแม่ถามหลิงหลงว่าชอบเขาใช่ไหม หลิงหลงหน้าแดง กลั้นใจอยู่เป็นนานจึงได้กล่าวว่า พอได้เห็นเขา ในใจก็ดีใจอย่างไม่อาจระงับ แต่พอไม่เห็นเขา ก็รู้สึกทุกข์ใจยากบรรยาย ดังนั้นท่านแม่พยักหน้า กล่าวว่าการชอบใครสักคน ก็คือความรู้สึกเหมือนได้เหมือนสูญเสียเช่นนี้ ที่เรียกว่ารักกัน ก็ล้วนเป็นความทุกข์ระทมผสมความหอมหวาน

 

แต่ไรมานางไม่อาจเข้าใจอะไรที่เรียกว่า ความทุกข์ระทมผสมความหอมหวาน คิดอยากอยู่กับใครสักคน ได้อยู่กับเขาก็ย่อมเบิกบานใจมาก จะมีความทุกข์ระทมอันใดกัน หากรู้สึกเจ็บปวด เช่นนี้ก็อย่าได้พบเขาอีก เหตุใดพบอีกคราก็เบิกบานใจอีกเล่า

 

ยามนี้ได้ฟังเสียงเพลงท่วงทำนองเศร้ารันทดของฮูหยินตงฟางเช่นนี้ นางพลันราวกับเบื้อใบ้ในทันที คิดถึงเรื่องราวสาวน้อยพวกนั้น ราวกับกลายเป็นความทรงจำที่แสนไกล ราวกับแพรไหมละมุน เป็นสายใย ตัดไม่ขาด ยังพันผูกยุ่งเหยิง เมื่อวานต่างๆ นานา วันนี้ผุดลอยขึ้นเบื้องหน้าใหม่อีกครา ที่เรียกว่าเดี๋ยวกังวลเดี๋ยวคลายกังวล ความหอมหวานกับความทุกข์ระทมพันผูกเกี่ยวรัด นางถึงกับเหมือนเข้าใจบ้างแล้ว

 

“พวกเราไปกันเถอะ อย่าดูต่อเลย”

 

อวี่ซือเฟิ่งพลันกระตุกแขนเสื้อนาง เสวียนจีพลันได้สติคืนมา รีบพยักหน้า ทั้งสองย่องอ้อมหลังต้นไม้ไป ออกมาให้ไกลจากพื้นที่เสื่อมนั่น

 

เสวียนจีก้มหน้าเดินตามหลังอวี่ซือเฟิ่ง ไม่รู้คิดอันใด ทั้งสองต่างไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่ง นางพลันกล่าวเบาๆ ว่า “ซือเฟิ่ง เจ้ายังคิดพูดเรื่องนั้นกับท่านอาตงฟางให้กระจ่างไหม”

 

แผนเดิมพวกเขาคือเล่าความจริงเผยให้ตงฟางชิงฉีรู้อ้อมๆ ให้บรรดาศิษย์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้กลับมา แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ผู้ใดกล้าเปิดโปงกัน

 

อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจยาว กระซิบว่า “ล้วนเป็นคนน่าสงสาร ล้วนไม่อาจตัดใจทำร้ายได้ เอาเถอะ ตอนอาหารค่ำค่อยดูว่าพ่อบ้านนั่นเป็นคนเช่นไร แล้วค่อยว่ากันเถอะ”

 

เสวียนจีพยักหน้า ทั้งสองอ้อมไปมาบนเกาะฝูอวี้ เสียแรงไปมากกว่าจะมาถึงจุดเดิมได้ ต่างคนต่างกลับห้องพักตน

 

ดังคาด ตอนอาหารค่ำ ตงฟางชิงฉีส่งคนมาเชิญ ยังคงต้องเดินลัดเลาะมาตามต้นไม้ดอกไม้ มาถึงศาลาแปดเหลี่ยมสง่างามแห่งหนึ่ง เสวียนจีมองศาลามีแพรเขียวทิ้งตัว แสงจันทร์ส่องลอดผ่านวับแวม สาวงามในศาลาราวกับเทพธิดาในภาพวาด งามจนคนไม่กล้ามองจ้องใกล้ๆ

 

ทั้งสองเห็นใบหน้านาง เป็นนางผู้นั้นที่ยามบ่ายร้องเพลงอยู่ในสวนดอกไม้ดังคาด เพียงแต่ว่านางเปลี่ยนเป็นกระโปรงยาวสีขาวจันทร์กระจ่าง มวยผมเอียงปักปิ่นหยกขาว ไร้เครื่องประทินโฉม ใต้แสงจันทร์กระจ่างมองแล้วราวกับดอกเสาเย่างดงามสลัดพ้นจากความสามัญทั้งปวง

 

แม้ไม่ได้เป็นเห็นนางครั้งแรก แต่ความงามเช่นนี้ยังคงกระทบใจเสวียนจีอย่างมาก เดาว่าอวี่ซือเฟิ่งก็ปล่อยวางไม่ได้เช่นกัน ทั้งสองค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ ไม่กล้าส่งเสียง

 

ตงฟางชิงฉีนั่งยิ้มอยู่ข้างสาวงามผู้นั้น กวักมือให้เขาสองคน “มาเร็ว เมื่อก่อนมักบอกว่าสุรากั่วจื่อหวงรสดี วันนี้ให้พวกเจ้าได้ลองสุราร้อยบุปผาน้ำค้างเขียวเกาะฝูอวี้”

 

ทั้งสองเดินตรงเข้าไปท่าทางเรียบร้อย เสวียนจีเหลือบมองไปทางฮูหยินตงฟางหลายครา สุดท้ายค่อยๆ กล่าวว่า “เสวียนจีคารวะฮูหยินตงฟาง”

 

สาวงามสีหน้านิ่งเรียบ มุมปากเผยรอยยิ้มเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นบุตรสาวเจ้าสำนักฉู่? ที่แท้เติบโตเป็นแม่นางงดงามเช่นนี้แล้ว เป็นครั้งแรกที่ได้มาเกาะฝูอวี้กระมัง ไม่สู้อยู่สักหลายวันหน่อย เที่ยวให้สนุก”

 

เสวียนจีเห็นนางที่แม้ว่าสีหน้าแย้มยิ้ม แต่ก็ยากที่จะปิดบังความไม่ใส่ใจในใจนาง ราวกับไม่สนใจกับอันใดทั้งสิ้น หรือว่าเป็นเพราะพ่อบ้านที่นางชอบไม่ได้อยู่ที่นี่

 

ตงฟางชิงฉีผู้น่าสงสาร ยังคงต้องทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้นต่อหน้าผู้น้อยเช่นพวกเขา ชนจอกสุราเป็นบางครา คีบอาหารให้เป็นบางครา เอาแต่เรื่องเก่าๆ มาเล่ารำลึกความหลัง ฮูหยินตงฟางแต่ตั้งจนจบไม่กล่าวสักคำ เอาแต่ก้มหน้าค่อยๆ จิบสุรา เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งทนเห็นเขาพูดเองเออเองคนเดียวไม่ไหว ได้แต่คุยหัวเราะเป็นเพื่อนเขา อาหารมื้อนี้ทุกข์ทนยิ่งนัก

 

“พวกเจ้าลงเขาฝึกตนครั้งนี้ ได้เรียนรู้ไม่น้อยกระมัง” ตงฟางชิงฉีไม่รู้จงใจหรือไม่จงใจ ดื่มจอกแล้วจอกเล่า อาหารเพิ่งกินไปได้ครึ่งเดียว สุราร้อยบุปผาน้ำค้างเขียวสองไหก็หมดแล้ว

 

เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง ไม่รู้ควรทำเช่นไร อวี่ซือเฟิ่งได้แต่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลว เดิมคิดว่าปีศาจใต้หล้าไร้สติปัญญา โง่เขลายิ่ง ตอนนี้จึงได้รู้ปีศาจผ่านการบำเพ็ญเพียรพันปีก็เหมือนกับคนได้ มีเจ็ดอารมณ์หกกิเลส รักแค้น บุญคุณ โลกกว้างใหญ่ เรื่องที่ไม่รู้มีมากนัก ได้แต่อุทานแปลกใจ”

 

ตงฟางชิงฉีดื่มจนสองตาปรือนานแล้ว หัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า

 

เสวียนจีรับคำกล่าวว่า “แต่แม้พวกเขาแปลงร่างเป็นคนได้ แต่ธาตุเดิมยังคงเป็นปีศาจ พอเข้าใกล้ก็ยังคงได้กลิ่นอายปีศาจอยู่”

 

ตงฟางชิงฉียิ้มกล่าวว่า “เสวียนจีน้อยตอนนี้พลังวัตรลึกล้ำจนกระทั่งได้กลิ่นอายปีศาจแล้ว น้องฉู่ไม่ธรรมดาดังคาดจริงๆ มีบิดาพยัคฆ์ก็ย่อมต้องมีบุตรีพยัคฆ์!”

 

นี่เกี่ยวกับพลังวัตรตื้นลึกด้วยหรือ เสวียนจีตกใจ ไม่ค่อยกล้าโอ้อวดความร้ายกาจในเรื่องนี้อีก ความสามารถนางแค่เล็กน้อย นางรู้ตัวเองดี ยังห่างไกลกับคำว่าลึกอีกหมื่นแปดพันลี้ได้ หากอาจเพราะโชคค่อนข้างดีก็เป็นได้ ทุกครั้งจึงได้กลับอันตรายกลายเป็นปลอดภัย

 

ยามนี้ฮูหยินตงฟางที่นั่งอยู่นานไม่กล่าวอันใด พลันเอ่ยปากกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อย่าได้กล่าวตัดสินเช่นนี้ ไม่ใช่ปีศาจทุกตนที่ปล่อยให้มนุษย์ดมกลิ่นอายปีศาจได้ มารปีศาจบำเพ็ญตบะสำเร็จขั้นสูงจริงๆ แล้วไม่ต่างอันใดกับคนเลย”

 

ทุกคนเห็นนางอยู่ๆ กล่าวแทรกขึ้นอดพากันตะลึงงันไม่ได้ ฮูหยินผู้นั้นยังกล่าวอีกว่า “ตอนเป็นปีศาจอิสระเสรี มักคิดฝันถึงสำเร็จผลเป็นเซียน มีร่างมนุษย์จึงจะสำเร็จผลเป็นเซียนได้ แต่บำเพ็ญต่อมา จึงได้พบว่าบำเพ็ญก็ได้แต่เป็นมนุษย์ อยู่ดีๆ กลับต้องมาทุกข์ใจไร้เหตุ ที่เรียกว่าเซียนส่วนใหญ่ก็คือมองเห็นแต่ไม่อาจจับต้องก็เท่านั้น”

 

เป็นมนุษย์ไม่ดีหรือ เสวียนจีอยากถามนางเหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่าตงฟางชิงฉีวางจอกสุราลง กล่าวว่า “ชิงหรง เจ้าดื่มมากไปแล้ว”

 

ที่แท้เดิมทีฮูหยินตงฟางชื่อว่าชิงหรง คนสมดังชื่อ สูงสง่าเหนือสามัญ

 

นางพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยกระซิบว่า “ท่านพี่สิดื่มมากไปแล้ว”

 

สองคนนั้นนั่งห่างกัน กางกั้นด้วยโต๊ะศิลาหลิงหลงตัวหนึ่ง จ้องมองกันและกัน ไม่กล่าวอันใด ทำเอาผู้น้อยสองคนเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่ทรมานมื้อหนึ่งเท่าที่เคยผ่านมา

 

เงียบเป็นนานตงฟางชิงฉีจึงได้หัวเราะแหะๆ ขึ้น โบกมือไปมา ราวกับตัองการกล่าวผ่อนคลายบรรยากาศนี้ ชิงหรงกลับลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักก่อน ทั้งสองท่านพักบนเกาะนี้ไม่ต้องเกรงใจ ถือเสมือนเป็นบ้านตนเอง มีอันใดขาดตกบกพร่องก็ไปหาพ่อบ้านโอวหยาง”

 

ไม่รู้ว่าพ่อบ้านโอวหยางใช่วิญญูชนจากวาจานางผู้นั้นหรือไม่ เห็นเพียงนางพลันคิดอันใดขึ้นมาได้ หันไปสั่งศิษย์ที่อยู่ด้านนอก “ตามพ่อบ้านโอวหยางมา ดูอาจารย์เจ้า อย่าปล่อยให้เบิกบานใจจนดื่มไม่หยุด”

 

ศิษย์ผู้นั้นรับคำออกไป ไม่นานก็นำคนกลับมาดังคาด ร่างผอมสูง ชุดชาวผมดำ หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย เพียงแต่มีรอยแผลเป็นแดงดังสีเลือดที่ใบหน้าเส้นหนึ่ง ทำให้ดูบิดเบี้ยวน่ากลัว

 

เสวียนจีและซือเฟิ่งมองดูรู้ว่าเป็นคนผู้นี้ ในใจอดตึงเครียดไม่ได้ พลันได้ยินฮูหยินตงฟางสั่งการว่า “โอวหยาง เป็นเพื่อนนายท่านดื่มสักสองจอกเถิด เจ้าเองก็ระวังอย่าดื่มมากไป วันนี้สหายน้อยสองคนยากจะมาเยือนสักครา อย่าได้พาบรรยากาศเสีย”

 

โอวหยางรับคำ ร่างสูงก้าวขึ้นมาด้านหน้า คว้าสุราขึ้นมารินใส่จอกสุราให้กับทุกคน

 

เสวียนจีเห็นฮูหยินตงฟางยืนด้านหลังเขา ลอบมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าเขา แววตาฉายแววรักใคร่และเจ็บปวดเพียงพริบตา นอกจากนาง ผู้ใดก็ไม่ทันได้เห็น