ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 45 เกาะฝูอวี้ (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ฮูหยินตงฟางจากไปแล้ว เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งหันไปสนใจพ่อบ้านโอวหยาง หนึ่ง คิดจะดูว่าชายที่ทำให้ระดับตงฟางชิงฉีต้องทนทุกข์กับสนามรักนั่นเป็นอย่างไรกัน สอง อยากรู้ว่าเขามีอันใดดี ทำให้สาวงามแห่งยุคตกหลุมรักแรกพบเช่นนี้

 

สีหน้าโอวหยางไร้ความรู้สึก รินสุราให้ทุกคนจอกหนึ่ง น้ำเสียงทุ้มต่ำสุภาพนอบน้อมกล่าวว่า “โอวหยางคารวะจอมยุทธ์ทั้งสองหนึ่งจอก”

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณพ่อบ้านโอวหยาง…ข้าขอเสียมารยาท เรียกพี่โอวหยาง พี่ยังหนุ่มเช่นนี้ก็เป็นพ่อบ้านใหญ่ประจำเกาะแล้ว ช่างน่าเลื่อมใสจริง”

 

เขากล่าววาจาลองใจ เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ผู้ใดจะรู้ว่าโอวหยางผู้นี้จะเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง ดูแข็งทื่อ เอาแต่กล่าวว่าไม่กล้า ละอายใจ อะไรพวกนี้ หน้าตาก็ดูเป็นคนซื่อ ก่อนหน้านี้เขาสองคนยังคิดว่าคนผู้นี้หน้าตาซื่อสัตย์ภักดี ย่อมต้องเป็นพวกพูดจาปากหวาน ดังนั้นจึงได้รับใช้ข้างกายเจ้าเกาะสองสามีภรรยา แต่เขากลับไม่มีอะไรให้ติแม้แต่น้อย ที่แท้ถึงกับมองพลาดไป

 

ตงฟางชิงฉีตบไหล่โอวหยาง เขากำลังจะเงยหน้าดื่มสุรา ถูกตบไหล่เช่นนี้ ย่อมกระทบจอกสุรา ส่งเสียงไอติดคอขึ้นในทันที รอยแผลเป็นที่หน้ายิ่งแดงขึ้น

 

“ฮา ฮา ฮา โอวหยางอา โอวหยาง อย่าเอาแต่เหนียมอายเช่นนี้! ชายชาตรี ดื่มสุรายังติดคอได้อีก? บอกแล้วว่าให้เจ้าไม่มีอะไรก็ให้ตามข้าฝึกยุทธ์ เจ้าก็ไม่ยอม…ต้องรู้…อะไรนะนั่น ใช่แล้ว ไร้ประโยชน์คือบัณฑิต! ไม่มีงานอันใดทำก็ควรฝึกกระบี่กับข้า!”

 

โอวหยางกว่าจะไอเอาสิ่งที่ติดคอออกมาได้ก็เป็นนาน หันมาส่ายหน้า กล่าวเสียงแหบพร่าว่า “ขอบคุณนายท่านที่เมตตา โอวหยางไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์…”

 

ตงฟางชิงฉีถอนหายใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าตั้งใจทุ่มเทแรงกายแรงใจรับใช้ข้าที่เกาะนี้ อีกสองสามวันก็จะไปแล้ว ข้าไม่มีอันใดมอบให้ โอวหยางเอ๊ย ควรรู้ว่าคนข้างนอกส่วนใหญ่มักรังแกคนอ่อนแอกว่า เจ้าเป็นบัณฑิตอ่อนแอ ไร้แรงกำลังราวกับไก่ถูกมัด ข้าจะวางใจปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร”

 

ทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามพอได้ยินว่าเขาจะไป ก็อดสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งรีบกล่าวว่า “อะไรกัน พ่อบ้านโอวหยางจะไปจากเกาะฝูอวี้หรือ”

 

โอวหยางพยักหน้าเนิบนาบ กล่าวเบาๆ ว่า “พี่ชายล้มป่วยหนัก มารดาอายุมากอีก ไม่อาจวางใจได้จริงๆ ได้แต่กลับบ้าน”

 

ที่แท้เขากำลังจะไปจากไปแล้ว! มิน่าฮูหยินตงฟางจึงได้เศร้าเสียใจเช่นนั้น คิดว่าการที่นางอารมณ์แปรปรวนในระยะนี้ ทำให้เจ้าเกาะตงฟางมองออก เพียงแต่เขาเห็นโอวหยางเป็นดังพี่น้องแท้ๆ ถึงกับไม่สงสัยในตัวพ่อบ้านเลย ทำให้ศิษย์พวกนั้นรับเคราะห์ไปเสียอย่างนั้น

 

ตงฟางชิงฉีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “บอกให้เจ้ารับท่านแม่กับพี่ชายเจ้ามาอยู่บนเกาะ ข้ากับชิงหรงจะได้ดูแล เหตุใดเจ้าไม่ยอม! หรือว่าเกาะฝูอวี้ดูแลเจ้าบกพร่อง เหตุใดจึงรีบร้อนจากไป!”

 

โอวหยางรีบประสานมือก้มตัวลง กล่าวว่า “นายท่านอย่าได้เข้าใจผิด! เพียงแต่สุสานบรรพชนอยู่ที่บ้านเกิด จะย้ายถิ่นตามใจต้องการได้อย่างไร นับประสาอันใดกับสุดท้ายย่อมต้องกลับคืนสู่ราก พวกมารดาข้าไม่ยอมจากบ้านเกิดมา เกาะฝูอวี้แม้ว่าดี แต่ระยะทางไกล ท่านแม่ไม่อาจทนได้…ทำให้นายท่านเสียความตั้งใจ โอวหยางขออภัย”

 

“เอาเถอะ ตามใจเจ้าแล้วกัน!” ตงฟางชิงฉีโบกมือ รู้สึกหดหู่ กล่าวว่า “หลายปีมานี้เจ้าช่วยงานข้าได้ดีมาก นายท่านสองคำนี้อย่าได้เรียกอีก เรียกข้าว่าพี่ใหญ่สักคำซิ!”

 

แววตาโอวหยางเจ็บปวด ลำคอตีบตัน เป็นนานก่อนจะเรียกขึ้นแผ่วเบาว่า “พี่ใหญ่…ข้า…”

 

ตงฟางชิงฉีคว้ากาสุรามารินให้เขาเต็มจอก ยิ้มกล่าวว่า “ไยต้องเสียใจ ปณิธานชายชาตรีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มาโอวหยาง ดื่มหมดจอก! พี่ขอให้วันหน้าเจ้าอนาคตยาวไกล ยศตำแหน่งเงินทองยิ่งใหญ่!”

 

ทั้งสองชนแก้วกันดื่ม ล้วนดื่มกันเบิกบาน

 

ตอนตงฟางชิงฉีดื่มสุราร้อยบุปผาน้ำค้างเขียวไปราวสิบไห ฮูหยินตงฟางก็มาอีกครา คิดว่าคงรู้สึกไม่วางใจ เข้ามาเห็นสามีนางเมาสุราฟุบอยู่บนโต๊ะศิลา สติเริ่มเลือนลางนานแล้ว ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ กล่าวว่า “ทำไมจึงดื่มมากเช่นนี้…ไม่ทะนุถนอมร่างกายตนเองเลย!”

 

ตงฟางชิงฉีเหมือนได้ยินวาจาภรรยา อดเงยหน้าหัวเราะดังไม่ไดไ พึมพำกล่าวว่า “ชิงหรง…ชิงหรง เจ้ายังห่วงใยข้า? เจ้า…”

 

ฮูหยินตงฟางถอนหายใจ หันกลับไปสั่งศิษย์ด้านนอก “อาจารย์พวกเจ้าดื่มมากไปแล้ว รีบพาเขาไปพักในห้องนอน แล้วให้คนครัวทำน้ำแก้เมาให้ด้วย”

 

ศิษย์สองสามคนรีบรับคำเข้ามาประคอง แม้ว่าตงฟางชิงฉีจะดื่มจนสติเลอะเลือน แต่ในใจลึกๆ สติยังคงขมวดตึงแน่น รู้สึกเสียใจที่ดื่มจนเสียอาการต่อหน้าอนุชน จึงได้ให้บรรดาศิษย์ประคองออกไปแต่โดยดี หันกลับไปยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เสวียนจี…วันนี้ดื่มเต็มที่ ครั้งหน้าไว้รอดื่มกับอาจารย์และท่านพ่อเจ้าสักสามสิบไห!”

 

เขาสองคนได้แต่ฝืนรับคำ มองไปยังฮูหยินตงฟางกับพ่อบ้านโอวหยางที่ยังคงอยู่ในศาลา นางยืนมองอีกฝ่ายไม่วางตา หนึ่งคนทำเป็นมองไม่เห็น ก้มหน้าเก็บจานชาม จงใจหลบหน้าอย่างเห็นได้ชัด

 

“ผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว ไม่ชำนาญร่ำสุรา ขอตัวไปพักผ่อนก่อน”

 

อวี่ซือเฟิ่งมองพวกเขา หากอยู่ต่อก็เหมือนเป็นส่วนเกิน จึงลากเสวียนจีรีบถอยฉาก ทั้งสองแสร้งว่าดื่มมากไปแล้ว เดินโงนเงนกลับห้องตนเองไป

 

โอวหยางก้มหน้าค่อยๆ เก็บจอกสุราอย่างไม่รีบร้อน ราวกับไม่รู้ว่าด้านหลังมีคนกำลังจ้องมองตนอยู่

 

เขามักจะทำหน้าตาไม่รู้เรื่องไม่รู้สึกอันใดอยู่เสมอ เจ้าร้อนใจ เขาไม่รู้ เจ้าโมโห เขาก็ได้แต่มองอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร เจ้าร้องไห้ เขาได้แต่ปลอบเจ้าเงียบๆ เขาเป็นคนราวน้ำนิ่ง ยามหนาวเหน็บรู้สึกอบอุ่น ยามร้อนดังไฟเผาก็จะรู้สึกเย็นฉ่ำ

 

สายตาฮูหยินตงฟางค่อยๆ กวาดตามองใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกของเขาเงียบๆ เลื่อนสายตาลงไปยังสองมือเขาที่กำลังเก็บจอกสุรา มือเขาพลันไม่นิ่ง ไม่ทันระวังทำตะเกียบร่วง

 

“เจ้า…” นางพึมพำทิ้งหางเสียง ไม่กล่าวต่อ

 

โอวหยางสองมือสั่นเทาเล็กน้อย วางจอกสุราลงบนโต๊ะ หันไปคำนับ ถามอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินต้องการสั่งการสิ่งใดขอรับ?”

 

นางขมวดคิ้วมุ่น กัดริมฝีปาก ท่าทางลำบากใจ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “จะไปจริงหรือ”

 

โอวหยางตอบเนิบนาบว่า “ข้าจากบ้านมาสิบปี ควรกลับไปดูแลมารดาแก่ชรานานแล้ว”

 

นางไม่เชื่อ จ้องมองเขานิ่ง สองตาเป็นประกายยิ่งกว่าดวงดาว “มารดาชราอันใด…เจ้าไหนเลยมีมารดาชรา…” น้ำเสียงนางอ่อนโยนนุ่มนวลแทบจะล่อลวง

 

ความงามของนางเหมือนเป็นความผิดบาป ทำให้คนหลงใหล และยังทำให้คนหวาดกลัว โอวหยางก้มหน้าถอยไปสองก้าว “ไร้บิดามารดา จะเป็นมนุษย์ได้อย่างไร ฮูหยินล้อเล่นแล้ว ข้าย่อมมีบิดามารดา”

 

ฮูหยินตงฟางมองเขาอย่างคับแค้น ยกมือลูบไล้ผมดำขลับทิ้งตัวยาว ถอนใจกล่าวว่า “ยังคงหลอกข้า เช่นนั้นข้าถามเจ้า มารดาชราของเจ้ากับข้า ผู้ใดสำคัญกว่ากัน เจ้าต้องการจากไป ข้าย่อมตาย”

 

หากเจ้าไป ข้าก็จะตาย วาจานางกล่าวเช่นนี้มาหลายครั้งนับไม่ถ้วนแล้ว ตอนนี้โอวหยางได้แต่ยิ้มเฝื่อน พึมพำกล่าวว่า “ฮูหยินอย่าได้ล้อเล่น ข้า…ไม่อาจรับไหว”

 

“เจ้ามีอันใดรับไม่ไหว เจ้าคนหลอกลวง”

 

อ้อมแขนนุ่มนิ่มทั้งสองกอดคอเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นเบียดชิดใกล้พอที่จะทำให้เหล็กไหลหลอมละลาย

 

โอวหยางตัวแข็งทื่อ สติหลุดลอยมองไปไกลไร้จุดหมาย ราวกับร่างสาวงามในอ้อมกอดเป็นเพียงท่อนไม้ นางแนบชิดใบหู วาจาพึมพำมากมายถือเอาความหมายมิได้ แต่กลับทำให้คนอารมณ์วุ่นวายสับสน

 

เขาอึ้งไปนาน ในที่สุดก็ดันนางออกเบาๆ ก้มหน้ากล่าวว่า “ฮูหยิน…โปรดระวังกริยา เจ้าเกาะเป็นชายชาตรียิ่งใหญ่พันปียากพานพบ ท่านอย่าได้เพียงเพราะอารมณ์พึงใจชั่ววูบ ทำลายความจริงใจแท้จริง”

 

นางกลับไม่โมโห หัวเราะหึๆ “ข้าไม่ต้องการชายยิ่งใหญ่ผู้นั้น ข้าต้องการเพียงเจ้า”

 

โอวหยางชินกับวาจาเกี้ยวโลมของนางนานแล้ว เขาไม่ตอบนาง ได้แต่เก็บกวาดจอกสุราบนโต๊ะศิลา ยกขึ้นกำลังจะออกจากศาลาแปดเหลี่ยม เดินไปได้ครึ่งทาง พลันได้ยินนางหัวเราะด้านหลัง กล่าวว่า “เจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ ข้ายังคงจะตามเจ้า เจ้าไปไหน ข้าก็ไปนั่น เจ้าไปจากเกาะฝูอวี้ ข้าก็จะไปจากเกาะฝูอวี้”

 

เขานิ่งอึ้งไป กล่าวเบาๆ ว่า “ฮูหยินอย่าได้คิดแต่เรื่องเที่ยวเล่น อย่าลืมบรรดาศิษย์ไม่มีความผิดที่เจ้าเกาะขับไล่ไปพวกนั้น ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าตนเองถูกขับด้วยเหตุผลใด”

 

สาวงามในศาลาไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย หัวเราะเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “พวกเขาถูกขับไล่ไปเพราะข้า ก็ย่อมเป็นเกียรติของพวกเขา”

 

โอวหยางไม่กล่าวอันใดอีก รีบก้าวเดินจากศาลาแปดเหลี่ยมไปทันที เดินออกไปไกลพอควร ก็ได้ยินเสียงคนร้องเพลง เสียงเพลงรันทดเศร้าโศกแว่วดังกระทบใจ เสียงลมพัดมา เขาได้ยินแว่วๆ เพียงว่า ‘วิญญูชน’ ‘สูงส่งเช่นนั้นสง่างามเช่นนั้น’ ประโยคเหล่านี้ มืออดสั่นไม่ได้ จอกสุราเกือบจะร่วงลงพื้น

 

 

******

 

 

อีกสองสามวันต่อมา เนื่องจากตงฟางชิงฉียุ่งกับการเตรียมงานชุมนุมปักบุปผา เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งจึงไม่เหมาะจะมารบกวนเขา ได้แต่หาเรื่องเที่ยวเล่นบนเกาะกันเอง ทุกวันกระตือรือร้นค้นหาที่และทิวทัศน์ที่ไม่เคยไป หาทิวทัศน์บนเกาะที่งามราวภาพวาดบทกวีได้มากมาย วันเวลาผ่านไปอย่างแสนสุข

 

สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขากังวลไม่ใช่เรื่องปราบปีศาจอันใดพวกนั้นที่เป็นเรื่องคุณธรรมใหญ่ แต่เป็นเรื่องบรรดาศิษย์ที่ยังคงรอข่าวอยู่หมู่บ้านฝูอวี้พวกนั้น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวผู้อื่น และพวกเขายังเป็นผู้น้อย สองสามวันนี้ยังหาโอกาสเอ่ยปากไม่ได้

 

ดีที่การเตรียมงานชุมนุมปักบุปผาค่อนข้างมีหลายเรื่องมาก ลานฝึกยุทธ์ทางตะวันออกต้องซ่อมแซมใหม่ ทุกวันตงฟางชิงฉีก็จะไปยุ่งอยู่ที่นั่น อยู่ร่วมกับบรรดาศิษย์ได้อย่างสงบสุขชั่วคราว ไม่ได้มีเรื่องขับไล่ผู้ใดอีก

 

วันนี้เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งตื่นแต่เช้าตรู่ ขึ้นไปเดินเล่นบนเขาทางเหนือมารอบหนึ่ง หิวแล้วก็ไปหาผลไม้ป่ากินสักหน่อย กระหายน้ำก็ไปดื่มน้ำตามลำธารบนเขา ตลอดทางไม่ได้หยุดพัก ปีนถึงยอดเขาอย่างรวดเร็ว

 

บริเวณเชิงเขาเขียวชอุ่มเขียวขจีทั้งแถบ นอกจากความเขียวขจี ยังมีสีครามราวอัญมณีสุดลูกหูลูกตา นั่นก็คือทะเลกว้าง ที่นี่เป็นจุดที่สูงที่สุดของเกาะฝูอวี้ รอบด้านไม่มีสิ่งบดบัง ลมพัดมาจากสี่ทิศ กระทบกับร่างกายและใบหน้า เสื้อผ้าปลิวสะบัด ทำเอารู้สึกไปเองว่ากำลังล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้า

 

“ซือเฟิ่ง ทะเลที่ตำหนักหลีเจ๋องดงามเช่นนี้หรือไม่” เสวียนจียืนอยู่บนก้อนหินเล็กบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่สูงที่สุด ตรงนี้ดูไม่มั่นคงอยู่มาก ก้อนหินสั่นไปมา เศษก้อนหินร่วงลงไปยังหุบผาลึกด้านล่างตลอดเวลา แต่นางถึงกับยืนได้นิ่งมาก ไม่โงนเงนไปมา

 

อวี่ซือเฟิ่งรู้วิชาตัวเบานางร้ายกาจก็ไม่กังวลใจ เพียงยิ้มกล่าวว่า “ทะเลตำหนักหลีเจ๋อกว้างใหญ่กว่านี้อีก เพียงแต่ว่าที่นั่นส่วนใหญ่ทั้งปีท้องฟ้ามืดครึ้ม ดังนั้นทะเลจึงมีสีเทา น้อยมากที่จะเป็นสีฟ้าครามงดงามเช่นนนี้”

 

“เช่นนั้นครั้งหน้าข้าก็จะได้เห็นใช่ไหม” เสวียนจีเอ่ยตามขึ้น กล่าวจบพลันนึกเสียใจภายหลัง นางคิดถึงธรรมเนียมตำหนักหลีเจ๋อ ราวกับไม่ให้สตรีเข้าไปข้างใน และศิษย์ก็เข้าใกล้สตรีไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแต่งงาน

 

“เฮ้อ เจ้าก็คิดว่าข้าไม่ได้ถามแล้วกัน” นางเยาะตนเอง

 

อวี่ซือเฟิ่งแย้มยกมุมปากเล็กน้อย กล่าวว่า “หากเจ้าคิดชม ข้าพาเจ้าไปได้”

 

เสวียนจีตะลึงงัน ในที่สุดก็ได้สติ เขารับปากว่าจะพานางไปชมตำหนักหลีเจ๋อ อดตบมือดีใจไม่ได้ กล่าวว่า “ไปได้จริงหรือ ไหนเมื่อก่อนเจ้าว่าอย่างไรก็ไปไม่ได้!”

 

เขาไม่ตอบ เพียงกล่าวว่า “ที่นั่นไม่มีทิวทัศน์งามอร่ามตา เกรงแต่ว่าจะทำให้เจ้าผิดหวัง”

 

“จริงๆ แล้วไม่อาจกล่าวได้ว่าผิดหวังหรือวาดหวังอันใดหรอก” เสวียนจียืนจนเหนื่อยแล้ว โดดลงจากก้อนหินเบาๆ มายังข้างกายเขา ทั้งสองมองไปยังทะเลกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุดเบื้องล่างพร้อมกัน “ก็แค่คิดอยากดูว่าที่ที่ซือเฟิ่งเติบโตมาเป็นเช่นไร”

 

อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไป สุดท้ายลูบจมูกไปมา พึมพำกล่าวว่า “ที่ที่ข้าเติบโตมา…เจ้าไม่อาจไปได้แล้ว”

 

“เหตุใด” เสวียนจีหูไว ได้ยินวาจาพึมพำเขา รีบถามให้กระจ่างทันที

 

เขาคิดไปมา ยิ้มกล่าวว่า “เพราะที่นั่นไม่ให้คนนอกเข้าไปเด็ดขาด อืม โดยเฉพาะ…” เขามองเสวียนจีจากบนลงล่าง “โดยเฉพาะแม่นางน้อยเช่นเจ้า เข้าไปไม่ได้เด็ดขาด”

 

ตำหนักหลีเจ๋อมีกฎข้อห้ามแปลกประหลาดดังคาด ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลย นางขี้เกียจถามอีก ผายสองมือออก ดูผ้าแพรบนแขนเสื้อปลิวไปปลิวมา ท่าทางสนุกสนานยิ่ง ทำเอานางหัวเราะขึ้นเบาๆ

 

“จริงๆ แล้วใต้หล้ามีที่ใดบ้างที่ไปไม่ได้” นางกล่าว “ขอเพียงมีที่แห่งนั้นก็ล้วนไปได้ หลายคนชอบแบ่งแยกพื้นที่ตนเองออกมา คนอื่นห้ามเข้า เขาเองก็ไม่ออกไปไหน เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าไม่มีอันใดต้องห้าม หากเจ้ารักษาพื้นที่นั่นแน่นหนา เจ้าก็มีเพียงอิสระแค่เท่านั้น แต่หากในใจเจ้ามีพื้นที่ใต้หล้าฟ้าดิน เช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นคนที่อิสระอย่างที่สุด เจ้าว่าใช่หรือไม่ ซือเฟิ่ง?”

 

อวี่ซือเฟิ่งเลิกคิ้ว ส่งสีหน้าแสดงความเห็นด้วยกับนาง ล้วนมีแต่ความเลื่อมใส “วาจานี้เจ้าคิดเองหรือ” เขาคิดเองว่าไม่น่าเป็นไปได้ เสวียนจีไม่ใช่คนที่ยอมคิดถึงหลักสัจธรรมการดำรงชีวิตอะไรพวกนี้

 

ดังคาด นางหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “อาจารย์เป็นคนบอก ข้าเอามาขายเจ้าดูหน่อย”

 

อวี่ซือเฟิ่งบิดขี้เกียจ ดูท้องฟ้า กล่าวว่า “สายแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

 

“ไปไหน”

 

“ระยะนี้เจ้าเกาะตงฟางยุ่งมาก พวกเราอย่าไปรบกวนเขา เขามีเรื่องต้องจัดการ อาหารกลางวันไปกินที่หมู่บ้านฝูอวี้กันดีไหม ที่นั่นยังมีหลายอย่างที่เจ้ายังไม่เคยได้ชิมเลยนะ”

 

พูดถึงเรื่องกิน เสวียนจีก็ย่อมยกสองมือสองเท้าเห็นชอบ แต่…

 

“แล้วจะไปพูดอย่างไรกับศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้นล่ะ” รับปากจะขอให้พวกเขา ผลปรากฎหลายวันมานี้ไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากเลย

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ไม่รีบ ให้พวกเขารอไป อย่างไรก่อนจากเกาะฝูอวี้ไป ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”