ภาคที่ 2 บทที่ 109 วิชาสรรพสิ่งลวงตา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 109 วิชาสรรพสิ่งลวงตา

“กังเหยียน !”

กังเหยียนกำลังฝึกบ่มเพาะพลังในตอนที่ซูเฉินพลันปรากฏกายขึ้น เด็กหนุ่มสับขาก้าวเท้ามาทางเขาโดยเร็ว

“นายท่าน” กังเหยียนหันไปเอ่ยทัก

ทว่าขณะที่ซูเฉินคิดจะเอ่ยคำ หอพลังต้นกำเนิดก็พลันสะเทือนเลือนลั่น ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างพุ่งเข้าชนอย่างแรง

ต่อมาก็มีเสียงหนึ่งดังลั่นขึ้น “ซูเฉิน ไอ้เด็กบัดซบ สังหารคนตระกูลข้าแล้วยังขังลูกสาวข้าไว้อีก วันนี้ข้ามาเพื่อเอาชีวิตเจ้า !”

ไม่นาน ทั้งหอก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้งด้วยแรงซัดจากคนภายนอก พริบตานั้นเกราะป้องกันภายนอกของตัวหอก็พลันถูกทำลายจนแตกกระจาย

ใบหน้าซูเฉินเปลี่ยนแปลงไปในพลัน “เป็นคนตระกูลจู พวกเขาพบเราแล้ว รีบออกไปจากที่นี่เถอะ !”

ว่าแล้วเขาก็หันกลับแล้วพุ่งตัวออกไปยังชั้นบนสุดของหอพลังต้นกำเนิด โดยมีกังเหยียนตามมาด้านหลังไม่ห่าง

หลังจากขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดก็พบกับค่ายกลต้นกำเนิดที่กำลังส่องแสงเรืองรองอยู่เหนือศีรษะ กังเหยียนเงยหน้ามอง รู้ดีว่ามันเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายของหอแห่งนี้ หากเปิดใช้แล้วจะสามารถเคลื่อนกายไปไกลนับพันลี้

ในตอนที่ซูเฉินและกังเหยียนกำลังจะเปิดใช้ค่ายกลนั่น คนผู้หนึ่งก็พลันเหินร่างเข้ามาพร้อมกับร้องเสียงหลง เขาคือฉือไคฮวงที่เลือดอาบไปทั้งร่าง บนอกมีรูขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่าคงมีชีวิตรอดได้อีกไม่นาน

เมื่อซูเฉินเห็นดังนั้นเขาก็หันไปคว้าร่างฉือไคฮวงไว้ หากแต่คนที่ติดตามมากลับส่งหนึ่งฝ่ามือปะทะร่างซูเฉินจนเลือดพุ่งออกมา

ซูเฉินกัดฟันแน่น คว้าตัวคนผู้นั้นไว้แล้วหันมาตะโกนใส่ “ไป !”

เขาเงื้อมือขึ้นซัดใส่ร่างกังเหยียนจนกระเด็นเข้าค่ายกลไปในพลัน

“นายท่าน !” กังเหยียนตะโกน

ค่ายกลส่องแสงวาบสีขาวขึ้น ส่งกังเหยียนออกจากหอพลังต้นกำเนิดไป เมื่อลืมตาขึ้นอีกทีก็พบว่าตนเองยืนอยู่บนที่ราบอันแห้งแล้งแห่งหนึ่งแล้ว

เมื่อกังเหยียนนึกย้อนไปว่าซูเฉินและฉือไคฮวงต้องจบชีวิตลงอย่างไรก็รู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบ ร่ำไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้า คิดว่าแม้ใต้หล้านี้กว้างใหญ่เพียงไหนตนก็ไร้ที่ไป

ในขณะที่กำลังสับสนว่าตนควรทำเช่นไรต่อไป เขาก็พลันเห็นขบวนสินค้าแห่งหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา คนที่เดินนำหน้ามามีหนวดใหญ่ เมื่อเห็นกังเหยียนมีร่างกายใหญ่โตกำยำ ชายหนวดใหญ่ก็เดินเข้ามาถามว่าสนใจจะมาเป็นผู้คุ้มกันของขบวนสินค้านี้หรือไม่

กังเหยียนกำลังเศร้าซึม เขาไร้ที่ให้กลับไปแล้ว ดังนั้นจึงตอบตกลงทันที

หลังจากเดินคุ้มกันขบวนสินค้ามาระยะหนึ่งก็มาถึงยังทะเลทราย ขบวนสินค้าหยุดพักผ่อนตรงจุดนั้น

พวกเขากำลังเตรียมหุงหาอาหาร พลันได้ยินเสียงแตรลั่นขึ้นจากที่ไกล จากนั้นที่เส้นขอบฟ้าก็มีฝุ่นตลบคลุ้งขึ้นมา

เมื่อเพ่งมองให้ดีจะเห็นทหารเผ่าคนเถื่อนนับพันกำลังมุ่งหน้ามายังพวกเขา

“เขตนี้อยู่หลังเขตแนวปะทะของเผ่ามนุษย์นี่ แล้วทหารเผ่าคนเถื่อนจะเข้ามาได้อย่างไร ?” คนในขบวนร้องขึ้น

ทุกคนเริ่มร้องตะโกนออกมาเสียงหลง

เมื่อเหลือบมองเผ่าคนเถื่อนที่กำลังเคลื่อนทัพเข้ามาแล้ว ในใจกังเหยียนก็พลันคิดอยากสู้ขึ้นมา

นายท่านของเขาตายไปแล้ว แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ?

ในเมื่อศัตรูบุกเข้ามา เขาก็จะเข้าสู้ไม่ลังเล !

ชายร่างใหญ่จึงกู่ร้องแล้ววิ่งพุ่งเข้าไป ส่งหมัดดั่งเหล็กเข้าปะทะศัตรูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เขาไม่รู้ว่าเขาต่อสู้ไปนานเท่าไร หรือสังหารศัตรูไม่มากแค่ไหน หากแต่กังเหยียนนั้นรู้สึกราวกับเรี่ยวแรงทั้งหลายกำลังเหือดหายลงอย่างช้า ๆ

ขวานด้ามยาวของทหารเผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งจ้วงเข้ามาที่อก ในที่สุดร่างของกังเหยียนก็ล้มคะมำไป

จังหวะที่เขาล้มลงก็เห็นภาพเผ่าคนเถื่อนนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งเข้ามาโจมตี นัยน์ตาพร่ามัวของเขาชุ่มโชกไปด้วยหยาดเลือด……

จากนั้นเขาก็หลับตาลง

——————————————

“อ๊าก !”

กังเหยียนร่างกระตุกคราหนึ่งก่อนจะเปิดตาขึ้นโพลง พบว่าแท้จริงแล้วตนเองยังอยู่ในหอพลังต้นกำเนิด

ส่วนซูเฉินยังคงยืนมองเขาพร้อมกับรอยยิ้มบาง

กังเหยียนหันมองโดยตอบโดยสัญชาตญาณ

“ไม่ต้องมองหรอก เมื่อครู่เป็นเพียงฝันเท่านั้น ไม่มีขบวนสินค้า ไม่มีกองทำเผ่าคนเถื่อน เจ้ายังมีชีวิตอยู่ดี” ซูเฉินหัวเราะ

“ฝันหรือ ?” กังเหยียนเอ่นเสียงงุนงง “เกิดอะไรขึ้นกัน ? นายท่าน ข้าฝันว่าท่านตายด้วย ?”

“ข้ารู้ มันเป็นห้วงฝันที่ข้าสร้างขึ้น เจ้าว่าอย่างไร ? ไม่เลวเลยใช่หรือไม่ ? ดูท่าอย่างน้อยก็หลอกตาเจ้าได้” ซูเฉินหัวเราะออกมา

กังเหยียนเริ่มเข้าใจเรื่องราวในที่สุด “เป็นทักษะต้นกำเนิดที่นายท่านสร้างขึ้นหรือ ?”

“อืม ข้าเรียกมันว่าวิชาสรรพสิ่งลวงตา วิชาสรรพสิ่งลวงตานี้นับว่าเป็นวิชามายาอย่างแท้จริง เป็นผลมาจากการรวมหลักการใช้วิชาของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ นัยน์ตาวิญญาณ วิชาตรึงวิญญาณ และความเข้าใจในอาการวิญญาณดำดิ่งของเจิ้งปาซานเข้าด้วยกัน วิชานี้ทำให้คนติดอยู่ในห้วงฝัน ไม่อาจคลายฝันตนเองได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าหลับไปนานเท่าไร ?”

“นานเท่าไรหรือ ?”

ซูเฉินชูนิ้วชี้ขึ้น “ชั่วเวลา 1 ก้านธูปพอดิบพอดี”

กังเหยียนอ้าปากค้าง

เขาหลับฝันไปเป็นเวลาชั่ว 1 ก้านธูปเลยหรือ ?

“เหตุใดจึงนานเช่นนั้นได้ ? นายท่าน เช่นนี้ไม่ใช่ว่าหากใช้ในสนามรบ ศัตรูก็คงตายไปนับพันครั้งแล้วกระมัง ?” กังเหยียนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

ทักษะต้นกำเนิดนี้จะทรงพลังเกินไปแล้ว

“ไม่มีทักษะต้นกำเนิดใดที่ที่ไร้ข้อจำกัด” ซูเฉินตอบกลับ “แม้วิชาสรรพสิ่งลวงตาจะตรึงจิตศัตรูได้นาน แต่ก็มีข้อจำกัดของมัน ก่อนอื่นเลยคือการที่มันต้องสร้างความฝันที่อีกฝ่ายไม่อาจหลุดออกมาเองได้ก่อน หมายความว่าหากอยู่ในห้วงฝันแล้วจะโจมตีอีกฝ่ายไม่ได้ หากถูกโจมตีก็จะหลุดออกจากฝัน”

“เช่นนั้นก็ไม่อาจฉวยโอกาสโจมตีอีกฝ่ายระหว่างนั้นได้เลย ?” กังเหยียนเข้าใจความหมายที่ซูเฉินจะสื่อ

“ถูกต้อง”

“แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังนับว่าน่าประทับใจ หากเค้นสมองใช้จังหวะช่วงที่ศัตรูติดอยู่ในห้วงฝันให้ดีก็อาจสังหารคนในการโจมตีเพียงครั้งได้ และหากมีคนมากพอก็สามารถเข้าล้อมศัตรูแล้วโจมตีอัดเข้ามาพร้อมกันได้” แม้เผ่าหินผาจะเป็นเผ่าที่ซื่อตรงและเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้ไร้สมองไปเสียทีเดียว กังเหยียนคิดหาวิธีใช้ประโยชน์จากวิชาสรรพสิ่งลวงตาขึ้นมาได้ในพลัน

ซูเฉินได้ยินก็หัวเราะ “ถูกต้องแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของวิชาสรรพสิ่งลวงตานั้นไม่แน่นอน เวลา 1 ก้านธูปคือเวลาที่วิชามีผลต่อเจ้าเท่านั้น หากเป็นคนอื่นอาจจะได้ไม่นานเช่นนี้”

“เพราะเหตุใดเล่า ?” กังเหยียนไม่เข้าใจ

“เพราะข้าเข้าใจเจ้า” ซูเฉินเอ่ยตอบ “วิชาสรรพสิ่งลวงตานั้นมีองค์ประกอบหลัก 2 ประการ ประการแรกคือตัวทักษะต้นกำเนิด ประการที่สองคือการสร้างโลกฝันที่น่าสนใจ วิชาสรรพสิ่งลวงตาไม่สามารถเปลี่ยนความทรงจำศัตรูได้ หรือก็คือเมื่อเข้าไปยังห้วงฝันแล้วอีกฝ่ายจะยังจำเรื่องราวก่อนหน้าได้อยู่ เจ้าลองคิดดู หากจู่ ๆ รอบกายพลันเปลี่ยนแปลงไปกะทันหันเช่นนี้……”

ซูเฉินดีดนิ้วคราหนึ่ง สายตากังเหยียนก็พลันพร่ามัว ภาพตรงหน้าผันเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่ในหอพลังต้นกำเนิดอีกต่อไป

เขากำลังยืนอยู่บนภูเขาสูงลูกหนึ่ง ไม่ไกลนักคือซูเฉินที่กำลังยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นไม้

กังเหยียนเข้าใจ “ท่านใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตากับข้าอีกคราใช่หรือไม่ ? ตอนนี้ข้าอยู่ในห้วงฝันหรือ ?”

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีสว่าง

“แล้วข้าจะออกไปอย่างไร ?” กังเหยียนถามขึ้น

ซูเฉินโต้กลับ “ปกติเจ้าตื่นขึ้นมาอย่างไรเล่า ?”

กังเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาตั้งสมาธิก่อนเอ่ยพึมพำขึ้นมา “นี่เป็นเพียงฝัน…… จงตื่นขึ้นเสีย !”

พูดจบก็ส่งหมัดหนึ่งขึ้นฟ้าไป

เขามุ่งใส่พลังจิตทั้งหมดไว้ในหมัดนั้น หมัดของเขาพลันขยายขนาดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ราวกับจะสามารถแยกผืนฟ้าออกจากกันได้

ตูม !

เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นขึ้นคราหนึ่งแล้ว ท้องฟ้าก็คล้ายกับจะดูสั่นสะท้าน

รูหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ากว้าง

และยามที่ท้องฟ้ากำลังแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ นั้นเอง กังเหยียนก็รู้สึกราวกับถูกหลุมดำที่มองไม่เห็นด้วยตาดูดเข้าไปโดยแรง

ลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบว่าตนกลับมาอยู่ในหอพลังต้นกำเนิดดังเดิม ซูเฉินที่อยู่ตรงหน้าร้องเสียงเจ็บปวดออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะพ่นเลือดออกมา ทั้งที่จมูกยังมีเลือดไหลออกมาอีก

กังเหยียนชะงักค้างไป “นายท่าน !”

“ไม่เป็นไร เป็นเพียงวิชาตีกลับจากการที่ห้วงฝันถูกทำลายเท่านั้น” ซูเฉินโบกมือไล่กังเหยียน “ครานี้เจ้าเข้าใจแล้วกระมังว่าหากหลอกตาไม่สำเร็จจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

ไม่มีทักษะต้นกำเนิดใดที่ที่ไร้ข้อจำกัดจริง ๆ!

แม้วิชาสรรพสิ่งลวงตาจะทรงพลังมาก แต่ก็มีข้อแม้ว่าห้วงฝันที่สร้างขึ้นจะต้องหลอกตาอีกฝ่ายได้ด้วย

และหากทำไม่สำเร็จ ห้วงฝันก็จะแตกกระจาย ถูกพลังจิตตีกลับอย่างเมื่อครู่

จิตตีกลับเช่นนี้มีความรุนแรงหลากหลายระดับ หากเป็นขั้นที่อ่อนหน่อยก็จะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ที่มากขึ้นไปกว่านั้นก็อาจเสียความสามารถในการใช้ทักษะต้นกำเนิดไปชั่วครู่ และหากถูกจิตตีกลับอย่างรุนแรงก็อาจทำให้หมดสติไปในทันทีได้เลย

วิธีทำลายห่วงฝันของกังเหยียนนั้นดุดันรุนแรง แต่ซูเฉินได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเป็นเพราะเขาเตรียมตัวถูกวิชาตีกลับมาแล้วด้วยการดื่มโอสถปลุกวิญญาณมาล่วงหน้า

วิชาสรรพสิ่งลวงตาสามารถหลอกตากังเหยียนได้ในครั้งแรก เป็นเพราะภาพมายาที่ซูเฉินสร้างนั้นสอดคล้องกับความเข้าใจของกังเหยียน การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของตระกูลจูนั้นตรงกับความทรงจำของกังเหยียน ดังนั้นมันจึงหลอกเขาได้สำเร็จ หากไร้ซึ่งจุดสอดคล้องกันเช่นนี้แล้ว ผลลัพธ์ก็จะเป็นเช่นการลองวิชาคราที่สอง หากไม่เตรียมตัวให้ดีแล้วคิดใช้วิชาก็มีแต่อีกฝ่ายจะไหวตัวทันเท่านั้น

ดังนั้นวิชาสรรพสิ่งลวงตานั้นจึงคล้ายกับการสร้างเรื่องลวงหนึ่งขึ้นมา ดังนั้นจะใช้วิชาสำเร็จหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับคำลวงทั้งสิ้น

แม้อาจใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาไม่สำเร็จ แต่มันก็เหนือกว่าในจุดที่สามารถใช้กับคนที่มีขั้นพลังใด แข็งแกร่งเท่าไรก็ได้

วิชาสรรพสิ่งลวงตาไม่ใช่ทักษะต้นกำเนิดที่ใช้พลังเอาชนะจิตอีกฝ่าย หากแต่ใช้ภาพมายาลวงอีกฝ่ายให้ติดกับ ทำให้ไม่ต้องคำนึงถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย หากสร้างภาพมายาและคำลวงได้สมบูรณ์แบบพอ กระทั่งคู่ต่อสู้ที่แกร่งที่สุดก็อาจตกหลุมพรางมายานี้ได้เช่นกัน

แต่แน่นอนว่ายิ่งเป้าหมายแข็งแกร่งมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความไวต่อพลังต้นกำเนิดและพื้นที่รอบกายตนมากเท่านั้น ดังนั้นจึงมีโอกาสจับคำลวงได้มากขึ้นด้วย

หากซูเฉินคิดใช้สถานการณ์เดียวกันนี้กับฉือไคฮวง ฉือไคฮวงก็คงเอ็ดว่าห้วงฝันที่เขาสร้างยังไม่ละเอียดมากพอ ฝีมือหยาบกระด้าง อาทิเช่น การสั่นสะเทือนของหอพลังต้นกำเนิดยามถูกคนซัดพลังเข้าใส่นั้นสะเทือนคล้ายกันมากเกินไป อีกทั้งความผันผวนของพลังต้นกำเนิดยังไม่สอดคล้องกับแรงโจมตีที่ซัดเข้ามาปะทะ ไหนจะกองทัพเผ่าคนเถื่อนไม่มียุทธวิธีในการสู้รบ และคงหาข้อติอื่น ๆ ได้อีกมากมายนัก

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด แต่มันก็อาจกลายเป็นจุดที่ทำให้อีกฝ่ายจับได้ว่ามันเป็นเพียงห้วงฝันได้ในทันที

แต่หากสามารถอุดรอยรั่วเหล่านี้ได้ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถลวงตาฉือไคฮวงได้จริง อีกทั้งยังไม่ได้หมายความว่าหากหลอกตาสำเร็จแล้วจะสามารถสังหารอีกฝ่ายที่มีพลังสูงส่งได้ เพราะอย่างไรหากจะหลอกก็คงมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

แต่เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร และแม้ว่าวิชานี้จะมีข้อจำกัดมากเพียงไหน แต่วิชาสรรพสิ่งลวงตาก็นับว่าเป็นทักษะต้นกำเนิดที่ทรงคุณค่าไม่น้อย