บทที่ 108 สายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ (2)
เจิ้งปาซานนั่งอยู่บนม้านั่งหิน ไหวตัวไปมาพลางร้องเพลง
เสียงร้องเพลงของนางทั้งอ่อนโยนและฟังดูน่าหลงใหลนัก
ซูเฉินโบกมือตรงหน้านาง หากแต่กลับไร้การตอบสนองจากเจิ้งปาซาน
นางยังคงโยกตัวไปมาแล้วพึมพำกับตนเอง บ้างก็หัวเราะว่างเปล่าออกมา
ไม่ว่าซูเฉินจะทำอะไรนางก็ยังไร้การตอบสนอง
“ตื่นมาก็เป็นเช่นนี้เลยหรือ ?” ซูเฉินถามขึ้น
“ขอรับ ไม่ว่าจะพูดอะไรกับนาง นางก็ไม่ฟังเลย นายท่าน หรือนางจะถูกอาสิบเอ็ดซัดจนเสียสติไปแล้ว ?” กังเหยียนตอบ
“ไม่น่าใช่แบบนั้น ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นเรื่องเช่นนี้ครั้งแรก” ซูเฉินเปิดเปลือกตาเจิ้งปาซานขึ้น
เขาเปิดใช้เนตรมองพลังต้นกำเนิดก็พบว่ามีพิภพขนาดใหญ่ที่ดูน่าประหลาดและมีหลากสีฉายให้เห็นอยู่ที่เบื้องหลังนาง หากแต่มันซับซ้อนมาก แค่มองซูเฉินก็รู้สึกมึนงงแล้ว
เขารู้เพียงอย่างเดียวนั่นคืออาการของเจิ้งปาซานนั้นไม่ปกติ
“แปลกจริง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” ซูเฉินพึมพำ
“เช่นนี้คือวิญญาณดำดิ่ง” น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
คือจูเซียนเหยา
เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายยังคงให้ความร่วมมือกันดี จูเซียนเหยาจึงไม่ได้ถูกกักขังแต่อย่างไร นางสามารถเดินเล่นได้ทั่วหอพลังต้นกำเนิดตามใจชอบ ตราบเท่าที่ไม่ล่วงล้ำเข้าไปยังพื้นที่ที่ซูเฉินสั่งห้าม นับว่าสภาพความเป็นอยู่ของนางนั้นดียิ่ง
ซูเฉินเหลือบตามองนาง “มาที่นี่ทำไม ?”
จากนั้นยังถามต่อ “เจ้าว่าเช่นนี้เรียกวิญญาณดำดิ่งหรือ ? มันคืออะไรกัน ?”
จูเซียนเหยาเดินเข้ามาพลางอธิบาย “มันเรียกว่าวิญญาณดำดิ่งเพราะแม้ร่างกายจะฟื้นขึ้นแล้ว แต่จิตใจยังคงหลับใหลเนื่องจากอาการบาดเจ็บอยู่ นางหลับลึกติดอยู่ในห้วงฝัน ไม่อาจตื่นขึ้นได้ ส่วนมากเป็นเพราะจิตถูกโจมตีอย่างรุนแรง ตอนนี้นางก็คงจะอยู่ในความฝันที่ตนเองสร้างขึ้นไม่มีวันฟื้นแล้วกระมัง”
“แล้วข้าจะปลุกนางขึ้นมาได้อย่างไร ?”
“มีเพียงวิชาประเภทจิตเท่านั้นที่จะสามารถรับมือกับอาการบาดเจ็บทางจิตเช่นนี้ สภาพวิญญาณดำดิ่งของนางหนักไม่ใช่น้อย มีเพียงวิชาประเภทจิตที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะดึงจิตนางกลับมาได้”
“เป็นเช่นนี้เอง แล้วเจ้ารู้เรื่องมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?”
“เจ้าก็รู้ว่าตระกูลจูเชี่ยวชาญเรื่องวิชาลวงจิต ซึ่งก็นับว่าเป็นทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีจิตอยู่แล้วนี่ ตระกูลจูศึกษาเรื่องเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น หวังว่าจะสามารถก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดทางสายเลือด ทำให้วิชาลวงจิตไม่ติดอยู่กับเพศเดียว”
“เพื่อให้บุรุษใช้วิชาลวงจิตได้ด้วยงั้นหรือ ?”
“ไม่ใช่ แต่เพื่อเป็นการทำให้วิชาลงจิตสามารถใช้กับสตรีได้ด้วยเช่นกัน”
“…… ข้าว่าแล้วว่าพวกเจ้าคงไม่ใจกว้างเช่นนั้น” ซูเฉินหัวเราะออกมา “ข้าอยากเรียน”
“ข้อตกลงของเราไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนั้น” จูเซียนเหยาตอบปฏิเสธทันควัน
ซูเฉินไม่คิดบังคับนาง ท่าทางครุ่นคิดบางอย่างชั่วครู่ก่อนลุกขึ้นยืน “ก็ได้ บอกมาว่าข้าต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะสอนวิชาให้ข้า”
“ให้อิสระข้ามากกว่านี้ อย่างน้อย ๆ ก็ให้ข้าได้ออกไปเดินในสถาบันบ้าง ถูกขังอยู่ในหอพลังต้นกำเนิดเช่นนี้อึดอัดนัก”
“เจ้าก็รู้ว่าทำเช่นนั้นไม่ได้”
“หากไม่เชื่อใจข้า เช่นนั้นเจ้าออกมากับข้าก็ได้” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงขุ่น “วันละครึ่งชั่วยามก็พอ ข้าเพียงอยากออกไปสูดอากาศบ้างก็เท่านั้น ! หากยังไม่ไว้ใจอีกก็ร่ายคาถากักกัน กรอกยาให้ข้าก็ยังได้ เจ้าเป็นนักปรุงยาไม่ใช่หรือ ? จะใช้อะไรก็แล้วแต่เจ้าเลย !”
ซูเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก
ผ่านไปชั่วอึดใจใหญ่ ๆ เขาจึงพยักหน้า “ตกลง วันละครึ่งชั่วยาม แต่เจ้าต้องสัญญาว่าสิ่งที่สอนข้าจะต้องเป็นประโยชน์ต่อข้า”
จูเซียนเหยาถอนหายใจ “ข้าไม่รู้เช่นกันว่ามันจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ตระกูลข้าศึกษาเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จเสียที อีกทั้งยังไม่มีการจัดระเบียบข้อมูลที่ศึกษามา จะสอนเจ้าคงต้องใช้เวลาหน่อย อย่างนี้เป็นไง ? ทุกครั้งที่ออกไปเจ้าก็ถามข้าได้ ข้าจะพยายามตอบอย่างสุดความสามารถ”
“ตกลง” ซูเฉินเห็นด้วย
หากวันใดจูเซียนเหยาไม่อาจให้คำตอบเขาได้อีกต่อไป เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้นางออกไปเดินเล่นอีก
นับแต่วันนั้นมา ซูเฉินจึงออกจากหอไปเดินเล่นเป็นเพื่อนจูเซียนเหยาทุกช่วงเย็น
จูเซียนเหยารักษาสัญญาเป็นอย่างดี ไม่ก่อปัญหาให้ซูเฉิน อีกทั้งยังไม่คิดพยายามคิดต่อกับคนภายนอกอีกด้วย
คนทั้งสองค่อย ๆ เดินภายใต้แสงตะวันที่กำลังลับฟ้า ซูเฉินถามคำถามมากมาย ส่วนจูเซียนเหยาก็ตอบคำถามเหล่านั้นไป
คนนอกไม่รู้ความ จึงคิดเพียงว่าซูเฉินเป็นสหายกับสาวงาม ได้แต่อิจฉาตาร้อนกันไป เมื่อผ่านไปหลายวันเข้าก็กระทั่งมีข่าวลือว่าซูเฉินตกหลุมรักสตรีจากตระกูลชั้นสูง ได้รับเงินทองสมบัติมากมาย
มองจากบางมุมก็นับว่าไม่ผิด อย่างน้อยในอดีตซูเฉินก็เคยได้รับโอกาสเช่นนี้
กระทั่งหวังโต้วซานยังได้ยินข่าวลือนี้ รีบวิ่งมาถามเรื่องราวในทันใด
เมื่อได้เห็นจูเซียนเหยา เจ้าอ้วนก็จ้องนางตะลึงงันไป
เยว่หลงซาเองก็มาเยี่ยมบ่อยครั้ง แม้จะประหลาดใจที่คนทั้งคู่ดูจะเข้ากันได้ไร้ปัญหาใด แต่นางก็ไม่ได้เอ่นถามอะไรออกไป
ซูเฉินอยากพบกู่ชิงลั่วมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้พบ เขาเคยเดินหากู่ชิงลั่วอยู่สองครั้ง แต่นางก็หลบเลี่ยงเขาทั้งสองครั้งเช่นกัน
หากแต่เขาไม่รู้เลยว่ากู่ชิงลั่วเคยแอบมองเขาอยู่ที่มุมมืดอยู่หลายครั้ง
————————————
เด็กหนุ่มได้ความรู้ใหม่มากมายเกี่ยวกับเรื่องจิตใจมนุษย์หลังจากที่ได้ออกมาเดินและพูดคุยกับจูเซียนเหยา
ความเข้าใจเรื่องจิตมนุษย์ของตระกูลจูนั้นน่าประทับใจยิ่งนัก หลาย ๆ อย่างที่ซูเฉินไม่อาจเข้าใจ ตระกูลจูนั้นไขความลับนั้นได้มานมนานแล้ว
ภายใต้การชี้แนะของจูเซียนเหยา ซูเฉินจึงมีความเข้าใจในเรื่องที่กำลังวิจัยมากขึ้น นับว่าสายตากว้างไกลขึ้นอีกขั้น
ซูเฉินค่อย ๆ ค้นพบว่าการค้นคว้าทางสายเลือด ทักษะต้นกำเนิด และความรู้ทั้งหลายเช่นนี้ ไม่ใช่มีเขาคิดทำอยู่เพียงคนเดียว หลากหลายคน รวมทั้งตระกูลชั้นสูงทั้งหลายต่างก็คิดอยากทำสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น
และเมื่อพบกับทางตัน ยามได้มองดูงานวิจัยหรือวิชาของคนอื่น ๆ ก็จะมีแรงบันดาลขึ้นมา
ในวันที่ 22 ของการออกมาเดินเล่นในสถาบัน การวิจัยสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ของซูเฉินก็ประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เรียนรู้หลักการส่วนหนึ่งของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์สำเร็จ
หลังจากเรียนรู้สำเร็จส่วนหนึ่งแล้ว เด็กหนุ่มก็ขอยืมค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดเพื่อสร้างยันต์พลังต้นกำเนิดสิบสองลักษณ์ พยายามจะสร้างความแกร่งของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ขึ้นมาให้ประจักษ์แก่สายตา
เมื่อใช้วิธีนี้แล้ว พลังของทักษะต้นกำเนิดของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ที่ได้รับจะถูกเพิ่มสูงขึ้นมาก
หากแต่ซูเฉินยังไม่พอใจเพียงเท่านี้ สิ่งที่เขาต้องการคือทักษะต้นกำเนิดไร้สายเลือดที่สามารถเทียบชั้นกับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดระดับสูงได้ การเรียนรู้ทักษะต้นกำเนิดใหม่หรือการที่สามารถเสริมความแกร่งให้ทักษะที่มีอยู่แต่เดิมได้ไม่เท่าไรนั้นไม่สำคัญกับเขามากนัก
เป็นเพราะหลักการการทำงานของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์นั้นเกี่ยวข้องกับจิตใจโดยตรง ซูเฉินจึงอยากฝึกฝนทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีจิตเสียมากกว่า
ทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีจิตที่ซูเฉินเรียนรู้ว่านั้นส่วนมากถูกแยกออกเป็นสองส่วน
นัยน์ตาวิญญาณและวิชาตรึงวิญญาณเป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือวิชาลวงเสน่ห์ที่จินหลิงเอ้อร์สอน แต่เป็นเพราะข้อจำกัดมากจึงไม่มีประโยชน์เท่าไรนัก
นัยน์ตาวิญญาณและวิชาตรึงวิญญาณนับเป็นวิชาระดับต่ำ ใช้ได้ผลกับคู่ต่อสู้ที่มีขั้นพลังต่ำกว่าเท่านั้น หากอีกฝ่ายมีขั้นพลังสูงกว่าหรือมีจิตใจเข้มแข็งก็ไม่อาจใช้การได้
เทียบกันแล้ว สายเลือดจักรพรรดิอสูรจิ้งจอกร้อยเล่ห์นั้นมีขั้นพลังระดับสูงกว่า
นัยน์ตาวิญญาณและวิชาตรึงวิญญาณนับเป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าฉบับปรับปรุง ดังนั้นจึงใช้พลังจากรูปแบบพลังต้นกำเนิดที่เสริมด้วยยันต์พลังต้นกำเนิด ดังนั้นซูเฉินจึงพยายามรวมยันต์พลังต้นกำเนิดที่ถอดแบบมาจากสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์เข้าด้วยกัน
เดิมทีมันเป็นเพียงการทดสอบง่าย ๆ ที่ซูเฉินอยากลองลงมือทำดู แต่กลับสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมาย
ขั้นตอนแรกคือการใช้ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดคำนวณหาสัดส่วนต่าง ๆ ของยันต์พลังต้นกำเนิด จากนั้นใช้กฎแห่งบรูคเพื่อเรียงรูปแบบพลังต้นกำเนิดขึ้นมาใหม่ สุดท้ายก็รวมทั้งสองเข้าด้วยกันโดยใช้ความรู้ใหม่ที่ได้มาจากตระกูลจู และลองใช้วิชานี้กับเจิ้งปาซาน ด้วยเจิ้งปาซานที่อยู่ในสภาวะวิญญาณดำดิ่งนั้นเป็นตัวทดลองที่เหมาะมือยิ่ง
สุดท้าย เขาก็สามารถคิดค้นทักษะต้นกำเนิดใหม่ขึ้นมาได้
มันไม่เหมือนเช่นทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีจิตอย่างที่เขาเคยเรียนมา วิชาใหม่นี้ไม่สามารถลวงจิตศัตรูให้กลายเป็นทาสหรือกักขังวิญญาณอีกฝ่ายได้ วิชาที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นในครั้งนี้ไม่อาจใช้ควบคุมจิตใจใคร แต่สามารถทำให้อีกฝ่ายเข้าสู่สภาวะหลับลึกได้
แม้จะฟังดูคล้ายกับนัยน์ตาวิญญาณ แต่ข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวของสองวิชานี้คือการที่วิชาใหม่นั้นสามารถเปิดใช้ได้นานกว่า