บทที่ 107 สายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ (1)
เมื่อคนมากมายคิดเช่นนี้ ตำราเปิดพลังไคฮวงจึงขายดีแบบพุ่งทะยาน ทะลุทะลวงเส้นขอบฟ้าไปไกล
10 วันหลังจากปลดการปิดบังประกาศขายตำราเปิดพลังไคฮวงไปแล้ว ในที่สุดก็สามารถขายได้มากถึง 400,000 ชุด
ถึงตอนนี้ ที่ขายได้ก็ขายไปแล้ว คนที่ไม่เต็มใจจ่ายเงินก็ไม่คิดจ่ายอีก วันต่อ ๆ มาอัตราการขายตำราเปิดพลังไคฮวงจึงต่ำลงอย่างฉับพลัน
แต่ถึงกระนั้น ซูเฉินก็ยังได้รับเงินก้อนใหญ่ที่สุดก้อนหนึ่งในชีวิตนี้
หินพลังต้นกำเนิด 40 ล้านก้อน !
แม้ซูเฉินเองจะมาจากตระกูลที่ค่อนข้างมีฐานะ แต่จำนวนนี้ก็ยังทำให้เขาตกตะลึงไป
หินพลังต้นกำเนิด 40 ล้านก้อนนั้นนำมาซึ่งอะไรบ้าง ?
ก่อนหน้านี้ ซูเค่อจี่พยายามชิงหินพลังต้นกำเนิดไม่กี่พันก้อนกับซูเฉิน อีกทั้งใช้เพียงหินพลังต้นกำเนิด 3 หมื่นก้อนก็เพียงพอจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินและตระกูลซู นับว่าจ่ายหนี้ทั้งหลายได้หมดสิ้นแล้ว ดังนั้นหินพลังต้นกำเนิด 40 ล้านก้อนนี้นับว่าสามารถเลี้ยงซูเฉินได้อีกนับพันคนเลยกระมัง
ตอนนี้ซูเฉินเป็นเจ้าของเงินมากขนาดนี้แล้วหรือ ?
ซูเฉินเห็นเงินมากมายขนาดนี้เข้าก็หน้ามืดตาลาย
เขารู้ดีว่าตำราเปิดพลังไคฮวงเดิมทีเป็นฉือไคฮวงคิดค้นขึ้นมา ดังนั้นสุดท้ายเขาก็นำเงินทั้งหมดไปมอบให้กับฉือไคฮวง
เมื่อฉือไคฮวงรู้เข้ากลับเอ่ยว่า “ไสหัวออกไปเสีย ข้ามีเงินแล้วเอาไว้ใช้ทำสิ่งใดได้ ? ข้าไม่ต้องการมัน เจ้าเอาไปซื้อวัตถุดิบอะไรของเจ้าเถอะ”
“แต่อาจารย์ ท่านคือผู้คิดค้นตำราเปิดพลังไคฮวงที่แท้จริง ศิษย์แค่……”
ฉือไคฮวงเอ่ยขัดอย่างไม่คิดอดรนทนรอ “อย่ามาเอ่ยวาจาไร้สาระกับข้า ประการแรก เจ้าเป็นคนที่ทำให้ตำราเปิดพลังไคฮวงสำเร็จสมบูรณ์ ประการที่สอง เจ้าเป็นคนที่รับมือกับตระกูลจู ประการที่สาม เจ้ามอบกฎแห่งบรูคให้ข้า แค่ตำรากฎเล่มเดียวก็คุ้มค่าที่จะนำมาแลกกับตำราเปิดพลังไคฮวงแล้ว”
หลังจากซูเฉินพัฒนาตำราเปิดพลังไคฮวงจนสำเร็จ ฉือไคฮวงก็มองเห็นข้อผิดพลาดตนเอง ไม่คิดลำเอียงมองวิชาโบราณอาร์คาน่าว่าไร้ประโยชน์อีก ซูเฉินยังต้องขอให้ฉือไคฮวงรับมือกับอารามนิรันดร์ ดังนั้นจึงมอบกฎแห่งบรูคให้อาจารย์ตนเอง
เมื่อมีกฎแห่งบรูคแล้วเช่นนี้ทำให้ฉือไคฮวงมีทั้งโอกาสและเส้นทางมากมายในการเสาะหาพัฒนาหนทางการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณ
เมื่อซูเฉินได้ยินคำตอบของฉือไคฮวงแล้วก็ไม่คัดค้านอะไรอีก รับเงินก้อนนั้นไปด้วยความยินดี
เขาดูสงบเยือกเย็นกับเรื่องนี้มาก เมื่อกังเหยียนและอวิ๋นเป้ารู้จำนวนเงินก็ตกตะลึงค้างไปในพลัน
เมื่อนึกไปว่าหัวหน้าพวกตนได้เงินก้อนใหญ่มาถึงเพียงนี้ สุดท้ายก็กดความดีใจไว้ไม่อยู่ บางครั้งก็จะนั่งเหม่อ ฉับพลันก็หัวเราะอย่างโง่ ๆ ออกมา มองดูแล้วเหมือนคนมีปัญหาทางจิตก็มิปาน
วันหนึ่ง อวิ๋นเป้าวิ่งมาหาฉือไคฮวง เดินเข้ามาหัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ท่านคิดว่าตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรร่ำรวยถึงเพียงไหน ?”
“ว่าไงนะ ?” ฉือไคฮวงถามขึ้น
อวิ๋นเป้าลูบท้ายทอยตน “ข้าเพียงอยากรู้ความแตกต่างระหว่างซูเฉินกับพวกเขาขอรับ”
“ตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูร……” ฉือไคฮวงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ตระกูลที่ยากจนที่สุดก็ต้องมีอย่างน้อยหลายสิบล้านก้อน”
อวิ๋นเป้าตาเป็นประกาย “ท่านจะบอกว่าซูเฉินในตอนนี้มีหินพลังต้นกำเนิดเทียบเท่ากับตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรแล้วหรือขอรับ ?”
ฉือไคฮวงเหลือบมองอีกฝ่าย “ข้าพูดถึงหินพลังต้นกำเนิดระดับสูงต่างหาก”
“อ้อ” อวิ๋นเป้าคล้ายกับจะห่อเหี่ยวลงในพลัน วิ่งคอตกจากไป
ฉือไคฮวงส่ายหน้ายิ้ม ๆ แต่เมื่อนึกถึงคนหนุ่มสาวเลือดร้อนที่อาจจะเคยทำอะไรเหลวไหลอยู่บ้างเขาก็เข้าใจ
ชื่อของอวิ๋นฝูปาดังไกลไปทั่วทั้งแดนฝัน
เกราะรบเหล็กกล้าและตำราเปิดพลังไคฮวงเป็น 2 วิชาที่สร้างชื่อให้อวิ๋นฝูปาในแดนฝัน
หลาย ๆ คนถกเถียงกันถึงตัวตนของอวิ๋นฝูปา คนมีชื่อมีฝีมือทั่วทั้ง 7 อาณาจักรเผ่ามนุษย์ต่างถูกเสนอชื่อมาคาดเดา กระทั่งชื่อฉือไคฮวงยังถูกหยิบยกขึ้นมา เพราะอย่างไรคำว่าไคฮวงในชื่อตำราก็เป็นตัวเดียวกันกับในชื่อของฉือไคฮวง แต่ผู้คนให้ความสนใจเพียงคนมีชื่อเสียง ไม่ทันคิดว่าแท้จริงแล้วอวิ๋นฝูปานั้นเป็นเพียงศิษย์สถาบันตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
คนที่รู้ความจริงเพียงกลุ่มเดียวท่าจะเป็นสันเขานอนตระกูลจู แต่ตอนนี้พวกเขาควานหาตัวจูเซียนเหยาอย่างบ้าคลั่ง ไม่อาจแบ่งความสนใจมาให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้
และเมื่อเวลาหมุนผ่านไป คลื่นลมที่ตำราเปิดพลังไคฮวงสร้างขึ้นก็ค่อย ๆ ซาลง
ผู้คนเลิกพูดถึงอวิ๋นฝูปา หากแต่ผลกระทบของตำราเปิดพลังไคฮวงเริ่มแทรกซึมเข้าไปในทุกแง่มุมของระเบียบระบบผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด
นับแต่นี้ต่อไป ขีดจำกัดของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ไร้สายเลือดจะจะสูงขึ้นเป็นขั้นสุดของด่านกลั่นโลหิต
ส่วนตัวซูเฉินนั้นก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ ทุก ๆ วันออกไปเรียน ฝึกบ่มเพาะพลัง และทำการค้นคว้าต่อไป
เขาแลกเงินที่ได้ในแดนฝันกับส่วนผสมตัวยาล้ำค่ามากมาย พวกมันถูกส่งมาจากทั่วทุกสารพิศมายังห้องทดลองของเขา สุดท้ายนำมาทำการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน เสริมความรู้ความเข้าใจให้ซูเฉินต่อไป
————————————————
“น่าสนใจนี่ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสสารต้นกำเนิดเช่นนี้ จริง ๆ แล้วน่าจะเรียกเป็นประเภทเดียวกับสสารต้นกำเนิดได้ แต่มันมีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับเพศผู้ต่างกับเพศเมีย ไม่แปลกที่วิชาลวงจิตมีเพียงสตรีที่ใช้ได้ ก็เพราะลักษณะบางประการของสสารต้นกำเนิดจะปรากฏในร่างกายของสตรีเพศเท่านั้น” ซูเฉินเอ่ยงึมงำขึ้นขณะที่กำลังวิเคราะห์ของเหลวในหลอดแก้วทดลองทั้งสอง
“เจ้ารู้แล้วมันเป็นอย่างไร ? เปลี่ยนแปลงมันได้หรือไม่ ?” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงขุ่น
ช่วงหลายวันมานี้ ซูเฉินดูดตัวอย่างเลือดนางออกมาทำวิจัยทุกวัน แม้วิธีนี้จะเป็นวิธีที่อ่อนโยนกับนางที่สุดแล้ว จูเซียนเหยาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ดังนั้นน้ำเสียงจึงไม่ดีเท่าไรนัก
“ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเปลี่ยนแปลงมันได้หรือไม่” ซูเฉินตอบ “หลายปีมานี้ข้าใช้เวลาวิเคราะห์ความลับเบื้องหลังสสารต้นกำเนิดจากสายเลือด พยายามหาทางว่าพอจะมีสิ่งใดมาแทนมันได้หรือไม่ บ้างสำเร็จ บ้างล้มเหลว สุดท้ายการหาตัวแทนสสารต้นกำเนิดมาแทนกันได้ก็นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ บอกตามตรง ความสำเร็จไม่ได้มาจากการทดลองอย่างรอบคอบเพียงอย่างเดียว แต่มาจากโชคด้วย”
“โชค ?” จูเซียนเหยาเหลือบมองซูเฉิน “หรือเจ้าจะบอกว่าความสำเร็จยิ่งใหญ่อย่างการก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดทางสายเลือดที่เจ้าได้รับมาคือผลจากโชคดีทั้งสิ้น ?”
คำพูดนางเจือทั้งแววเยาะเย้ยถากถางเต็มที่
แต่ซูเฉินไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบเรื่อยออกมา “ถูกต้อง การใช้โชคไม่ใช่เรื่องน่าอาย คนที่ไม่พยายามไม่อาจมีโอกาสได้ใช้โชคตนเองเสียด้วยซ้ำ และโชคดีที่ข้าพูดถึงไม่ได้ร่วงลงมาจากฟ้าโดยไร้การกระทำใด คล้ายกับสวรรค์สงสารคนที่ลงมือทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระมัง บางครั้งความสำเร็จก็มาจากสิ่งที่เราไม่คาดฝันถึงที่สุด ข้าเรียกมันว่าโอกาสที่อย่างไรก็ต้องได้มา โชคดีที่มาจากการลงมือทำนับครั้งไม่ถ้วนและหยาดเหงื่อแรงกาย”
“แล้วเจ้ามีโชคเรื่องสายเลือดตระกูลจูบ้างหรือยังเล่า ?” จูเซียนเหยาเอ่ยถาม ยังคงน้ำเสียงเยาะเย้ยไว้
ซูเฉินยักไหล่
เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่มีโชคตอนนี้
จูเซียนเหยาหัวเราะเสียดสี “เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถไขความลับสายเลือดตระกูลจูได้จริง ๆ ? น่าขันนัก อย่าคิดว่าตนเองสามารถทำตำราเปิดพลังไคฮวงให้สำเร็จได้แล้วจะกลายเป็นคนวิเศษวิโสไป ยังคงเป็นอาจารย์เจ้าต่างหากที่ลงมือทำมากกว่า เจ้าเป็นเพียงคนที่มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากรากฐานที่เขาวางไว้แล้ว ข้าขอแนะนำเจ้าอย่าได้เสียเวลาเสียแรงกายกับเรื่องนี้อีกต่อไปเลย”
“ก็ไม่แน่” ซูเฉินไม่พูดต่ออีกว่าหากตนตั้งใจทำต่อไปสุดท้ายก็จะสำเร็จ เขารู้ดีว่าการทำการทดลองวิจัยเช่นนี้ก็คล้ายกับหลุมลึกดำมืดไร้ก้น ไม่ว่าจะโยนหินลงไปเท่าไรก็ไม่มีเสียงหินกระทบพื้น
หากผ่านไประยะหนึ่งแล้วการวิจับสายเลือดตระกูลจูไร้ความคืบหน้า เขาก็อาจตัดสินใจล้มเลิกมันไปก็เป็นได้
เป็นตอนนั้นเองที่กังเหยียนรีบร้อนเข้ามา
เขาเอ่ยว่า “เจิ้งปาซานฟื้นแล้ว”