ตอนที่ 241

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 241 – ความลับของนพเนตร

ซอลจีฮูได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความโล่งกายสบายใจ

แม้ว่าเมื่อวานเขาจะเหนื่อยมากจนถึงจุดที่ยืนแทบไม่ไหวแล้ว แต่หลังจากได้นอนหลับไปหนึ่งคืน ความเหนื่อยล้าเหล่านั้นก็ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง

เขากระทั่งตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น

ที่เป็นแบบนี้มันอาจจะเป็นเพราะพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในหุบเขานี้ก็ได้

ขณะบิดตัวไปมา ซอลจีฮูก็มองไปรอบๆแล้วยิ้มขึ้น

จางมัลดงรวมไปถึงยี่ซังจิน ฟีโซรา และฮิวโก้ยังคงหลับไหลกันอยู่

แต่ว่าเขามองไม่เห็นซอยูฮุยเลย

‘พี่สาวไปภาวนาแล้วงั้นหรอ?’

เนื่องจากว่าทุกๆคนต่างก็ยุ่งกับการฝึกทำให้มีเพียงซอยูฮุยเท่านั้นที่มีเวลาว่าง

แต่ว่านี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย

เมื่อคำนึงถึงการฝึกอันแสนโหดร้ายของแต่ล่ะคนแล้ว เธอจึงทำหน้าที่จัดเตรียมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้พวกเขาในทุกๆวัน แล้วก็ยังซักผ้าที่เปียกไปด้วยเหงื่อของพวกเขาอีก พูดได้เลยว่าเธอเป็นคนที่ทำหน้าที่งานบ้านเป็นส่วนใหญ่

แถมตอนที่เธอว่างเธอก็ยังจะมาเล่นกับซอลจีฮู และใช้เวลาที่เหลือไปกับการภาวนาเพื่อฟื้นฟูพลังอีกด้วย

พลังงานศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกรวบรวมมาทีล่ะคิดเพื่อชดเชยสิ่งที่เธอได้ใช้เกินไป แต่ถึงแม้ว่ามันจะเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ซอลจีฮูได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเต็นท์ให้จิตใจโล่งขึ้น จากนั้นเขาก็นั่งไขว่ห้างกับพื้น

หนึ่งในนิสัยที่เขาพัฒนามาในระหว่างการฝึกเทคนิคนั่นก็คือกรให้ความสำคัญกับการโคจรมานาเป็นอย่างมาก

ไม่สิ บางทีตอนนี้มันอาจจะเรียกได้ว่าการบ่มเพาะมานาแล้ว

มันเป็นผลมาจากการที่เขาใช้เวลาทุ่มเทไปกับเทคนิคจิตใจอันชอบธรรมทำให้ซอลจีฮูได้มีประสบการณ์กับความหมายของคำว่า ‘มานาที่บริสุทธิ์จะทำให้เกิดความแข็งแกร่งที่มากขึ้น’

เขาไม่เคยให้ความสนใจมาก่อนเลย และเมื่อได้สัมผัสกับมันแล้วก็เป็นธรรมดาที่เขาจะฝึกมัน

ถึงแม้ว่าเขาจะใช้มานาในปริมาณเท่านั้น แต่เขาจะใช้ก้าวพริบตาไปได้ไกลกว่า แถมพลังงานในการแทง ฟาด และฟันของเขาก็ยังทรงพลังขึ้นอีกด้วย

มานาของเขาจะยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นตามระดับที่เพิ่มขึ้นของหัวใจอันชอบธรรมอย่างที่จางมัลดงบอกเอาไว้จริงๆ นอกไปจากนี้เมื่อเทคนิคหัวใจอันชอบธรรมไปถึงขีดสุดแล้ว มานาของเขาก็จะบริสุทธิ์ไร้ซึ่งสิ่งเจือปนใดๆทั้งสิ้น

แค่คิดแบบนี้มันก็ทำให้เขาตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

ใช่แล้ว มันมีอยู่หลายวิธีที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และเขาก็มีวิธีการหลายอย่างนั้นอยู่แล้วด้วย มันก็แค่เขาไม่เคยใช้มันมาจนถึงตอนนี้เท่านั้นเอง

‘ดีล่ะ’

หลังจากบ่มเพาะมานาของเขาอยู่สองชั่วโมงด้วยการใช้เทคนิคหัวใจอันชอบธรรมแล้ว ซอลจีฮูก็ลุกขึ้นยืนอย่างสดชื่น

ในตอนนี้มันถึงเวลาที่เขาจะต้องเริ่มการฝึกโดยใส่กระสอบทรายวิ่่งแล้ว

แต่ว่าด้วยเหตุผลบางอย่างซอลจีฮูได้หยิบเอาหอกขว้างและตั้งท่าเตรียมต่อสู้ เขาได้ดึงพลังมานาออกมา ก่อนจะค่อยๆหลับตาลง และเพ่งสมาธิอยู่ภายในจุดตันเถียน

เขาได้ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ของเขาไปกับการฝึกแล้ว มันมากจนถึงขนาดที่แทบจะหาช่วงเวลาที่เขาไม่ฝึกไม่ได้เลย แต่ว่าความโลภของคนนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด

มีอยู่หนึ่งเป้าหมายที่ซอลจีฮูอยากจะทำให้สำเร็จในระหว่างการฝึกนี้

ปราณดาบ

มันเป็นความสามารถที่อยู่กันคนล่ะระดับกับออร่าที่ดึงพลังงานมาอัดลงไปในอาวุธอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ปราณดาบยังเป็นสิ่งที่แยกนักรบระดับ 4 กับนักรบระดับสูงออกจากกัน

เพียงแค่การสร้างปราณดาบได้ก็จะเสริมความทนทานและความคมให้กับอาวุธ นอกจากนี้ยังเพิ่มพลังทำลายที่ออร่าเทียบไม่ติดอีกด้วย

‘การอัดมานาลงไปไม่ใช่คำตอบ’

ในตอนแรก เขาคิดว่าปราณดาบจะคล้ายๆกันกับออร่าที่เขาต้องทำแค่อัดมานาเข้าไปจนกระทั่งมันมองเห็นได้จากภายนอก

แต่ว่านี่สิ่งหนึ่งที่ซอลจีฮูได้มองข้ามไป นั่นก็คือหอกของเขาซื้อมาจากร้านค้าทั่วไป ไม่ใช่หอกน้ำแข็ง

หลังจากที่เขาทำหอกขว้างพังไปสี่เล่ม เขาถึงได้รู้ตัวว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง

มันไม่มีทางที่หอกธรรมดาจะทนมานาในระดับที่สูงมากจนน่ากลัวได้

ถ้างั้นเขาควรจะเรียนปราณดาบยังไงกันล่ะ?

หลังจากใช้เวลาคิดอยู่นาน เขาก็คิดไม่ออกเลย ดังนั้นเขาจึงไปขอคำแนะนำจากฟีโซรา แต่ว่าเธอก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากนัก

มันอาจจะต่างออกไปหากว่าเธอเรียนรู้เทคนิคนี้ด้วยแต้มคุณูปการ แต่ว่าเหล่าคนที่เรียนรู้ทักษะระดับสูงแบบนี้ด้วยตัวเองจะมีวิธีการแสดงปราณดาบที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ล่ะคน ฟีโซราได้บอกว่าเธอสามารถจะใช้มันได้หลังจากที่สำเร็จเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ

เมื่อซอลจีฮูได้ขอให้เธออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม เธอก็โกรธขึ้นมาโดยบอกว่า เธอได้เรียนรู้มันได้เองจากการที่ความรู้สึกเธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ สำหรับซอลจีฮูแล้ว นี่มันคลุมเครือเอามากๆ

ในท้ายที่สุดเขาก็เหลือแค่ทางเลือกเดียว

‘ฉันน่าจะยังจำความรู้สึกได้’

นั่นคือการพึ่งพาความทรงจำจากร่างกาย

ในตอนที่เขาทำสิ่งใดซ้ำๆร่างกายก็จะจดจำมันเอาไว้โดยสัญชาตญาณ มันก็เหมือนกับที่กล้ามเนื้อจะหดตัวหลังจากถูกเผาก่อนที่สมองจะได้ประเมินความเสียหาย

เทคนิคกับมานาก็เป็นเช่นเดียวกัน ยิ่งใช้มันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งจะนำกลับมาใช้ใหม่ได้มากเท่านั้น

และในพาราไดซ์ นี่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาผ่านการเพิ่มระดับ

ตามที่พรรคพวกของเขาได้บอกออกมา ซอลจีฮูได้แสดงพลังการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวที่เหนือยิ่งกว่าจินตนาการ

แค่เพียงปล่อยมานาออกมา เขาก็จะทำให้อากาศโดยรอบถูกฉีกกระชาก สวรรค์และปฐพีแยกและสั่นสะเทือน แถมเขายังปล่อยคลื่นปราณดาบออกมานับสิบเหมือนกับเป็นของเล่นอีกด้วย

แม้ว่าเขาจะไม่อยากจะเชื่อตัวเอง แต่ว่าก็มีพยานรู้เห็นอยู่มากมาย

ในกรณีนี้ ซอลจีฮูคิดว่าอย่างน้อยร่างกายของเขาก็น่าจะจดจำมันได้

ยังไงสุดท้ายแล้วต่อให้จิตใจเขาจะจำไม่ได้ แต่ว่านิมิตก็ได้ใช้ร่างกายของเขาแสดงทักษะเหล่านี้ออกมา

‘ฉันรู้สึกเหมือนกับฉันพอจะเข้าใจเคล็ดลับ…’

ซอลจีฮูได้ปล่อยใจให้ผ่อนคลาย และว่างเปล่า

10 นาทีได้ผ่านไป

30 นาทีได้ผ่านไป

จากนั้นก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง

เขาได้มาถึงในระดับที่ปราศจากซึ่งสติและความคิด

สมาธิของเขาได้พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุด และเขาได้อยู่ในสภาพที่ไร้ซึ่งอัตตา และลบความคิดที่ไม่ได้ใช้งานไปทั้งหมด

ระบบประสาททั้งหมดของเขาได้ไปรวบกันอยู่ที่การไหลเวียนของมานาเพื่อย้อนรอยความทรงจำของเขา

“…”

ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?

ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาให้เห็น แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังไม่ขยับสักนิด มันแทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังหลับอยู่

จากนั้นเอง ตึก มานาของเขาที่ซึ่งไหลผ่านวงจรจู่ๆก็เปลี่ยนแปลงไป

‘มานาของฉัน…!’

ในช่วงเวลาสั้นๆมันได้กระเพื่อมออกมาเหมือนกับมังกรน้ำที่เตรียมตัวกำเนิดใหม่เป็นมังกรที่แท้จริง จากนั้นจู่ๆมานาก็พุ่งขึ้นมาก่อนที่จะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างอย่างช้าๆ

ในตอนนั้นซอลจีฮูสัมผัสได้ถึงรูปร่างของสายฟ้าที่พุ่งตรงไปที่หอกของเขา เขาก็ลืมตัวขึ้นมา

“อึก!”

ภาพตรงหน้าของเขาได้ถูกย้อมไปด้วยแสงสว่างสีขาว ซอลจีฮูได้หลับตาลงไปตามสัญชาตญาณ และแสดงสีหน้าตกตะลึงในทันทีที่ลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง

‘แสงสว่างสีทองเพิ่งจะสว่างวาบตรงหน้าฉันหรอ?’

เขาไม่มั่นใจว่าเขาได้เห็นมันจริงไหม บางทีเขาอาจจะคิดผิดไปเองก็ได้

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามกระบวนกันอันฉับพลันนั้นก็ยังคงอยู่ในใจของเขาอย่างชัดเจน

ซอลจีฮูได้กดขมับและครุ่นคิดกับตัวเอง แทนที่จะไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้เลือกสนใจว่า ‘ทำไม’ มันถึงเกิดขึ้นดีกว่า

‘อย่าคิดลึกเกินไป’

หอกของเขาพักก็เพราะมันไม่อาจจะทนกับพลังงานของเขาได้

หอกน้ำแข็งใช้งานได้ง่ายก็เพราะได้รับการเสริมพลังจากเวทมนต์ทำให้สามารถจะทนต่อพลังงานจำนวนมากได้ แต่ว่าหากได้รับพลังงานเกินกว่าขีดจำกัดมันก็พังลงได้เช่นเดียวกัน

เขาอาจจะแก้ปัญหาหอกพังได้ด้วยการซื้ออาวุธที่มีความทนทานสูง แต่ว่าเขาไม่คิดที่จะพัฒนาออร่าด้วยวิธีแบบนี้

นั่นมันหมายความว่าเขาจะต้องแก้ปัญหาที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่

พลังงานที่สามารถจะเปลี่ยนอาวุธธรรมดาให้ไปเป็นอาวุธที่ทรงพลังได้ นี่แหละคือสิ่งที่ปราณดาบเป็น

หรือก็คือเขาต้องไปถึงในระดับที่ต่อให้จะอัดมานาอันแข็งแกร่งเข้าไป หอกที่ซื้อมาจากร้านค้าก็จะต้องไม่พังลง

‘ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว… ทำไมเมื่อตะกี้มานาถึงได้รวมตัวเป็นรูปร่าง…?’

ความรู้สึกเสี้ยววินาทีที่เขารู้สึกในตอนอยู่ในสภาวะไร้อัตตาได้กลายเป็นเข็มทิศนำทาง และชี้เขาไปในทิศทางใหม่

ไม่นานนักซอลจีฮูก็เบิกตากว้างขึ้นมา

‘อ่า!’

ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วร่างกายของเขากักเก็บพลังงานที่ทรงพลังแบบนี้ได้ยังไงกัน? ไม่ว่าจะยังไงเหล็กมันก็ควรที่จะแข็งแกร่งกว่าร่างกายของเขาอยู่แล้ว

คำตอบก็คือวงจรมานา มานาของเขาอยู่ในร่างของเขาได้ก็เพราะว่ามันไหลเวียนผ่านวงจรมานา

หลังจากได้ข้อสรุปนี้มาแล้ว ซอลจีฮูก็รีบจับหอกขว้างขึ้นมา

ก่อนที่ความรู้สึกนี้จะหายไป เขาได้รีบเคลื่อนไหวมานาตามที่เขาเพิ่งจะรู้สึกมา

อย่างแรกเขาได้รวบรวมมานาขึ้นมา มันได้ค่อยๆเพิ่มขนาดนี้เหมือนกับลูกบอลหิมะ ก่อนที่จะปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างเหมือนก้อนดิน

‘นี่มันยากกว่าที่ฉันคิดอีก…’

ในตอนนี้พอมาลองทำมันทั้งๆที่มีสติอยู่ มันก็ค่อนข้างที่จะยากมาก

การปล่อยมานาออกมาภายนอก และขึ้นรูปเป็นหอกขว้างก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่การขึ้นรูปมันภายในร่างก็ยากไม่ต่างกัน

หลังจากที่พยายามอยู่นาน ในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ขึ้นรูปมานาให้กลายเป็นรูปวงแหวนได้

ซอลจีฮูได้จับหอกขว้างเอาไว้แน่น

‘จากตรงนี้…’

เขาได้ปล่อยวงแหวนที่สร้างขึ้นมาไปทางหอกขว้างเหมือนกับเหวี่ยงแส้ออกไป

วงแหวนได้แทรกเข้าไปในหอกก่อนที่จะไปถึงปลายคมหอก และวนย้อนกลับมาที่จุดเดิม

ทั้งหมดนี้ได้เป็นไปตามความต้องการของซอลจีฮู

และเมื่อวงแหวนมานาย้อนกลับมาที่วงจรมานาของซอลจีฮูหลังจากสร้างวงกลมภายในหอกขว้างแล้ว…

วูม

มีแรงสั่นสะเทือนเบาๆย้อนกลับมาที่มือของเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ

ซอลจีฮูได้เผลอจับหอกแน่นโดยไม่รู้ตัว

นั่นเพราะเขารู้สึกได้

วิธีที่ซอลจีฮูได้คิดขึ้นโดยบังเอิญนั้นเรียบง่ายมาก หากว่าร่างกายของเขาทนต่อมานาได้เพราะวงจรมานา ถ้างั้นเขาก็แค่สร้างวงจรมานาขึ้นมาภายในหอกซะสิ

แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะสร้างวงจรมานาจริงๆได้ เพราะงั้นเขาจึงได้พยายามสร้างเส้นทางที่มานาไหลผ่านขึ้นมา

จากวงจรของเขาไปที่หอก จากนั้นจากหอกก็กลับมาที่วงจรของเขา เมื่อเขาได้สร้างการเชื่อมต่อแล้ว เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน

‘ความรู้สึกนี้…’

เขาไม่อาจจะพูดได้ว่าเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับหอก เพราะเขาแค่รู้สึกว่าเขากำลังแบ่งวงจรกับหอกเท่านั้น

แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมฟีโซราถึงได้ขยายความความรู้สึกของการเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ

ในเมื่อเขาได้สร้างการเชื่อมต่อขึ้นมาได้สำเร็จ ตอนนี้มันก็ถึงเวลาทดสอบผลลัพธ์แล้ว

ขณะที่เขาค่อยๆส่งมานาไปที่หอกอย่างระมัดระวัง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แม้ว่าหอกจะใช้มานาจำนวนมากขึ้นในการคงสภาพ แต่ว่ามันก็ทนกับมานาไว้ได้โดยไม่ถูกทำลาย

นี่มันก็เพราะว่ามานาได้สร้างภาระให้กับหอกโดยการเข้าไปอยู่ด้านใน แต่มานาได้โคจรผ่านเส้นทางภายในหอกแทน

เส้นทางนั้นได้รับมือกับความกดดันส่วนมากเอาไว้ และซอลจีฮูก็ได้คงสภาพระดับพลังงานเอาไว้ในระดับหนึ่งทำให้หอกได้รับแรงกดดันน้อยลงกว่าเดิมอย่างมาก

ซอลจีฮูยังไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขาได้ค่อยๆเพิ่มปริมาณมานาเอาไว้โดยที่เร่งความเร็วของการโคจรไปด้วย

หอกได้เริ่มสั่นรุนแรงมากขึ้น

ติ้ง!

และภาพที่เขาเห็นก็ชัดเจนขึ้นพร้อมเสียงเตือนสั้นๆ

“…”

ซอลจีฮูได้มองไปที่หอกโดยที่พูดอะไรไม่ออก

แสงสีทองสดใสได้ปรากฏเป็นลูกคลื่นอยู่ที่ปลายหอก มันไม่ได้ส่ายไปมาเหมือนกับออร่า แต่ว่ามันพุ่งขึ้นเป็นรูปร่างเหมือนกับใบหอก

นี่คือ… ปราณดาบ

“ฉันทำได้…”

ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว

เหตุผลเดียวที่เขาใช้วิธีนี้ได้สำเร็จนั่นก็เพราะว่าเขาได้ใช้มานามาอย่างสม่ำเสมอนับตั้งแต่เขตพื้นที่เป็นกลาง

ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

แต่ในเวลาต่อจากนั้นใบหอกก็แตกพังลงไป

“อ่า!”

ซอลจีฮูได้ตะโกนออกมาอย่างผิดหวัง แต่ไม่นานนักเขาก็ยอมรับได้

เขาเพียงแค่คลายแรงกดดันกับหอกได้เท่านั้น ความทนทานของมันยังคงเดิม เพราะงั้นมันก็ยังมีขีดจำกัดที่จะรับมานาไหวอยู่ดี

มันก็เหมือนกับวงจรมานา

ในตอนที่มานาปั่นป่วน มันก็จะเริ่มทำให้วงจรมานาละลายลงไป นี่เป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในระหว่างสงคราม

เมื่อคิดตามแนวคิดนี้มันก็ไม่ยากเลยที่จะทำความเข้าใจว่าทำไมหอกถึงได้พังลงไป สิ่งสำคัญก็คือข้อความที่กระพริบอยู่กลางอากาศ

[ความสามารถคลาส ‘ออร่า (ปานกลาง)’ ได้พัฒนาเป็น ‘ปราณดาบ (ต่ำสุด)’]

[ความสามารถโดยกำเนิด ‘นพเนตรแห่งการทำนาย’ ได้ตอบสนองต่อการพัฒนาของความสามารถใหม่!]

[ความสามารถคลาส ‘ปราณดาบ (ต่ำสุด)’ ได้พัฒนาเป็น ‘ปราณดาบ [ปานกลาง (ต่ำ)]’]

[โปรดตรวจสอบหน้าต่างสถานะ

ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาเมื่อได้อ่านหน้าต่างนี้

เพราะแบบนี้หนึ่งคำถามที่เขามีในตอนกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงก็ได้รับคำตอบ

‘นิมิตไม่ได้หายไป’

มันก็แค่รวมเข้ากับนพเนตรเท่านั้นเอง

ซอลจีฮูได้ลดแขนลง และเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ดวงอาทิตย์ได้โผล่พ้นขอบฟ้าก่อนที่เขาจะสังเกตซะอีก และโลกก็ได้สว่างขึ้นมา สายลมยาวเช้าที่พัดมาเบาๆได้ทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่งกว่าที่เคย

“มากินข้าวกันเถอะ!”

ซอยูฮุยได้ส่งเสียงออกมาในเวลาเหมาะพอดี

ซอลจีฮูได้หันหน้าไปด้วยรอยยิ้มสดใส

***

อึก อึก

“ฟู่ววว!”

น้ำได้ไหลออกมาจากปากของซอลจีฮู

ในทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมา เขาก็ได้ก้มหน้ากลับลงไปอีกครั้งหนึ่ง ตัดสินจากลูกกระเดือกของเขาที่กำลังขยับขึ้นลงคือเขากำลังดื่มน้ำอยู่

ซอลจีฮูได้ดื่มน้ำเย็นจากลำธารจนกระทั่งฟันของเขาเจ็บเพราะความเย็น จากนั้นเขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมา

หยดเหงื่อและน้ำได้ไหลลงมาจากใบหน้าของเขา

‘แค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง…’

ซอลจีฮูได้เพิ่มการฝึกใหม่เข้าไปในตารางการฝึกของเขา

และนั่นก็คือการฝึกปราณดาบ

เนื่องจากว่าไม่มีศัตรูคนไหนจะรอเราในระหว่างการต่อสู้ เขาจึงต้องฝึกสร้างวงแหวนมานา เชื่อมต่ออาวุธกับวงจร และขึ้นรูปเป็นปราณดาบให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ปัญหาที่เขามีก็คือการลงสภาพปราณดาบเอาไว้ ไม่ใช่แค่การขึ้นรูปเท่านั้น

นอกเหนือจากการที่มันต้องใช้มานาจำนวนมหาศาลแล้ว การจะเคลื่อนไหวในระหว่างการใช้ปราณดาบก็ไม่ง่ายเช่นกัน

‘อีกแล้ว’

ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมาเมื่อเขาทำหอกพังไปแล้วแปดอัน หากว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงสักคิด การไหลของมานาก็จะกลายเป็นรุนแรง และทำให้หอกระเบิดออกมา

‘ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาวุธระดับสูงถึงได้มีราคาสูงขนาดนั้น’

อาวุธที่ระดับสูงและอาวุธที่มีสติปัญญาจะช่วยลดภาระให้กับผู้ใช้งานด้วยการกำจัดปัญหานี้ทิ้งไป

แต่ว่าซอลจีฮูไม่ต้องมากังวลเรื่องนี้เลยเพราะว่าเขาสามารถจะใช้หอกพิสุทธิ์ได้ในทันทีที่จิตวิญญาณอาคัสยอมรับเรา ด้วยสถานะอาวุธเทพ เขาไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะทนกับมานาได้หรือไม่

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน

เขายังคงมีข้อผิดพลาดอยู่มากมาย แต่ว่าเขาก็ยังดีใจอยู่เล็กน้อยที่เห็นว่าเขาพัฒนาขึ้นในทุกๆวัน

‘มันให้ความรู้สึกเหมือนฉันได้เข้าใจสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำเร็จจริงๆ…’

จู่ๆก็ได้รู้แจ้งในระหว่างการทำสมาธิ และยกระดับศิลปะการต่อสู้ขึ้นไปเหมือนอย่างในนิยาย

แน่นอนว่าซอลจีฮูไม่ได้คิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับนั้นจริงๆ เขาก็แค่คิดว่าเขาโชคดี

ไม่สิ บางทีเขาคิดว่ามันน่าจะเป็นเพราะนพเนตร

ย้อนกลับไปการพัฒนาของเขาได้เป็นไปตามเส้นทางแห่งโชคเสมอนับตั้งแต่ที่เขาได้เข้าพิธีปลุกพลังในเขตพื้นที่เป็นกลาง

แม้แต่ความสามารถที่เราได้เรียนรู้เป็นครั้งแรก นิมิตก็จะตอบสนองและยกระดับความสามารถนั้นขึ้นไปสู่ระดับสูง

สิ่งเดียวที่มันต่างออกไปในตอนนี้ก็คือมันได้ช่วยให้เขาได้เรียนรู้ในความสามารถโดยตรง

ซอลจีฮูสามารถจะหาเหตุผลของปรากฏการณ์นี้ได้จากคำอธิบายของความสามารถ

[ผู้ที่มีประสบการณ์ในโลกหน้าได้เปลี่ยนแปลงจิตสำนึกให้เป็นอารมณ์ และเก็บมันเอาไว้ในจิตใต้สำนึก ความสามารถที่จดจำในสิ่งที่ ‘เกิดขึ้นแล้ว’ มันก็จะใกล้เคียงกับ ‘การทำนาย’]

อารมณ์เป็นการจดจำเรื่องในอนาคตเอาไว้อย่างแม่นยำได้ถูกเก็บไว้ในตัวเขาจะตอบสนองต่อสิ่งต่างๆอย่างรุนแรง

ซอลจีฮูสงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงอันลี้ลับนี้เกิดขึ้นมาจากการที่นิมิตผสมเข้ากับนพเนตร

หรือบางทีเขาอาจจะแค่ได้รับเคล็ดลับมาจากประสบการณ์ที่ใช้ปราณดาบในระหว่างสงครามก็ได้

ไม่ว่าจะแบบนั้น หากว่าการคาดเดานี้เป็นเรื่องจริง ซอลจีฮูก็จะได้รับตัวช่วยอย่างมหาศาล นังไงแล้วการได้เรียนรู้ความสามารถที่ตัวเขาในอนาคตได้เรียนรู้มันจะรวดเร็วกว่ามาก

แน่นอนว่านี่มันก็เป็นการคาดเดาเท่านั้น และเขายังจำเป็นต้องมีกรณีศึกษาให้มากขึ้นเพื่อให้มั่นใจ

‘ฉันมั่นใจว่านิมิตจะช่วยฉันเรียนรู้ทักษะที่ฉันเคยเรียนรู้มาก่อน ยกตัวอย่างเช่นการใช้ประกายสายฟ้า…’

คลาสของตัวเขาในความฝันคืออะไรนะ?

ผู้ใช้หอก? หรือว่าผู้ใช้หอกมานา?

ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองสักพักก่อนที่จะหันหลับกลับเดินออกไป หลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที เขาก็เริ่มได้ยินเสียงตะโกนของจางมัลดง

นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาได้เข้าใกล้ที่ตั้งแคมป์แล้ว

ไม่นานนักซอลจีฮูก็เห็นจางมัลดงยกมือแสดงสัญญาณบางอย่าง

ต่อจากนั้นฟีโวราที่กำลังยืนอยู่บนเนินเขาเล็กๆก็ได้ดันก้อนหินขนาดใหญ่ลงมา

คลื่นนน…!

ก้อนหินได้เริ่มไหลลงมาตามแนวลาดชัน ยี่ซังจินที่กำลังยืนอยู่ตีนเขาได้จับโล่ที่มีขนาดเท่าตัวเขาเอาไว้แน่น

ตูม! ก้อนหินกับโล่ได้ปะทะเข้าด้วยกัน

ก้อนหินไม่ได้เร็วมาก แต่ว่าซอลจีฮูก็พอจะจินตนาการได้เลยว่าแรงปะทะมันจะมากขนาดไหน

“อ๊ากกกก!”

ยี่ซังจินได้กัดฟันดันก้อนหินกลับไป

“ทางซ้าย!”

เมื่อจางมัลดงตะโกนออกมา เขาก็บิดสะโพกและปัดหินไปทางด้านซ้าย ก้อนหินค่อยๆไหลผ่านด้านข้างยี่ซังจินไปอย่างช้าๆ

“พักได้!”

ยี่ซังจินได้ล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้นทันที ซอลจีฮูพอจะเดาได้เลยว่าการฝึกของยี่ซังจินยากขนาดไหนจากการดูสภาพกางเกงและเสียงหอบหายใจของเขา แต่ว่าดูจากประกายไฟในดวงตาแล้ว ยี่ซังจินคงจะพยายามอดทนกับมันอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน

‘เขาพยายามหนักมาก’

ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองว่าจะให้โล่ดีๆกับยี่ซังจินในตอนที่เขากลับไป ก่อนจะตะโกนขึ้นมา

“คุณฟีโซรา!”

ฟีโซราที่กำลังโยนหินเล่นได้เหลือบมามอง

“อะไรล่ะ?”

“คุรช่วยผมฝึกสัญชาตญาณได้ไหม?”

“นายไม่เห็นหรอว่าฉันกำลังช่วยเขาอยู่?”

ฟีโซราได้แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที ยังไงแล้วเธอได้ถูกบังคับลากมาที่นี่ แล้วยังถูกบังคับให้ต้องช่วยพวกเขาฝึกในทุกวันอีกด้วย ซอลจีฮูไม่อาจจะโทษเธอที่ไม่พอใจได้เลยจริงๆ

“ไปช่วยเขาซะ! ฉันจะฝึกซังจินเอง”

แต่ถึงแบบนั้นเมื่อจางมัลดงได้บอกให้เขาทำอะไรสักอย่าง ฟีโซราก็จะทำตามอย่างไม่พอใจ

ฟีโซราได้เดินมาพร้อมตะกร้าที่เต็มไปด้วยหิน

“ให้ตายสิ เฮ้ พวกเราพักกันสักสิบนาทีได้ไหม? ฉันยังต้องเดิมสีลงบนหินอยู่”

ซอลจีฮูได้หยักไหล่ออกมาโดยไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ

หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ฟีโซราที่กำลังโรยสีเขียวลงไปในหินอยู่ก็ได้ถามออกมา

“เมื่อกี้นายไปวิ่งที่ไหนมาล่ะ?”

“ว่าไงนะครับ?”

“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจนะ ฉันรู้นะว่านายจะหายไปสองสามชั่วโมงในทุกๆเช้า”

‘ช่วงนั้นมันกวนใจเธอหรอ?’

ซอลจีฮูยังไม่ได้เผยออกไปว่าเขาได้เรียนรู้ปราณดาบแล้ว แน่นอนว่าเขาก็มีเหตุผลอยู่

“ก็ไม่เป็นไรนี่นา อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย”

“…”

ฟีโซราได้เงียบลงไปเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้ต้องตอบกลับไป แต่ว่าเธอก็ยังสงสัยอยู่หน่อยๆ

เธอได้อัดเขาอย่างหนัก แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าคิดอะไรเลยแม้แต่นิด

ท่าทีไม่คิดเล็กคิดน้อยของเขามันน่ายกย่องจริงๆ แต่ว่าเมื่อเห็นความเร็วในพัฒนาการช่วงนี้ของเขา ฟีโซราก็เริ่มกังวลว่าเขาจะไล่ตามเธอทันในไม่ช้า

แต่ไม่ว่าใครๆที่ได้เห็นว่าซอลจีฮูฝึกหนักขนาดไหนในทุกๆวัน ต่างก็ต้องคิดเช่นเดียวกันกับเธอ

“ฉันแค่ไปฝึกเองน่ะ”

“ขี้โกงนี่ บอกฉันหน่อยไม่ได้หรอ?”

ฟีโซราได้หน้าบึ้งออกมา แต่ว่าซอลจีฮูก็แค่ยิ้มกว้างกลับไป

ฟีโซราจะตกใจมากขนาดไหนกันนะหากเขาบอกเธอไปว่าเขาได้เรียนรู้ปราณดาบก่อนที่จะกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงที่แท้จริง

แต่ว่าเขาก็วางแผนจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

ทั้งหมดนี่ก็เพื่อวันสำหรับการแก้แค้นของเขา

***

ในกลางดึก

-แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ?

“อื้อ…”

-นายได้คิดเรื่องที่เราคุยกันครั้งก่อนหรือยัง?

“อื้อ…”

หงึกๆ

คิมฮันนาห์ได้เห็นซอลจีฮูหลับในผ่านทางคริสตัลสื่อสาร และหัวเราะออกมา เธอได้ติดต่อมาหาเขาเพื่อคุยกันเรื่องเร่งด่วน แต่ว่าคนที่้เธอเรียกว่าหัวหน้ากำลังหลับไปแล้ว

-ชิ นี่นายขี้เซาไปไหมเนี้ย?

ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นมา จากนั้นเขาก็โบกมือออกมาด้วยดวงตาปรือๆ

“ขอโทษทีๆ ตอนนี้ฉันง่วงมากจริงๆ…”

ซอลจีฮูจำได้ว่าเขาได้ยินอะไรมาอยู่อย่างเรื่องการหาคนงานมาได้ยากเพราะเรื่องข่าวลือของคำสาป และคนงานก็ยังปฏิเสธที่จะทำงานในตอนกลางคืนแม้ว่าคิมฮันนาห์จะจ่ายเพิ่มให้แล้วก็ตาม

แต่ว่าหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้เลยสักนิด หัวของเขาได้อยู่ในสภาพกึ่งหลับไปแล้ว

-อืม นายดูเหนื่อยนะ

คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมา เธอไม่อาจจะโทษเขาได้เลยสักนิด เพราะเธอก็รู้ว่าที่เขาเหนื่อยมาจากการฝึกหนัก

-นายดูอยากจะนอนแล้วสิ งั้นฉันจะรีบสรุปให้แล้วกันนะ การสร้างห้องฝึกใต้ดินของนายมันเป็นไปได้ยาก ขณะที่เขากำลังขุดขยายพื้นที่ได้มีน้ำพุร้อนพุ่งออกมา

ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาพร้อมทั้งหาวออกมา

มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกเขาสร้างห้องฝึกใต้ดินไม่ได้ แต่ว่าในตอนนี้สิ่งที่ซอลจีฮูต้องการที่สุดคือหลับลงไปในถุงนอน

-นายรู้ใช่ไหมว่ามีภูเขาไฟอยู่รอบอีวามากมาย? ฉันคิดว่ามันน่าจะเพราะเหตุผลนี่แหละ ยังไงก็ตามในเมื่อมันกลายเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็เลยคิดว่าการใช้ห้องใต้ดินที่บ่อน้ำพุร้อนก็ดีนะ นายคิดว่ายังไงล่ะ? มันดีเลยใช่ไหม? มันจะช่วยให้นายหลับได้เหมือนกันนะ

ดูเหมือนว่าคิมฮันนาห์จะกำลังล่อลวงเขาอยู่ ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา

“ทำตามต้องการเลย…”

จากนั้นหัวของเขาก็ได้ค่อยๆลดต่ำลงไป

ไม่นานนักเสียงกรนก็ดังออกมา

ซอยูฮุยที่มองอยู่เงียบๆจากด้านร่างได้รีบเข้ามาพร้อมถุงนอนของซอลจีฮูทันที

“ขอโทษแทนเขาด้วยนะ ทุกๆวันเขาฝึกอยู่เกือบ 20 ชั่วโมงแล้ว…”

-โอ้ 20 ชั่วโมง?

“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าการฝึกเขาหนักขนาดไหน แต่ว่าการที่เขาฝึกจนเสร็จโดยไม่บ่นอะไรสักคำ… มันน่าชื่นชมจริงๆ ฉันภูมิใจมาก…”

ซอยูฮุยได้ลูบหัวซอลจีฮูอย่างอ่อนโยน

คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

-เอาเถอะนะ เขาก็อยากจะฝึกมานานแล้ว ฉันก็ดีใจที่เขามีความสุขไปกับมัน เขาพยายามหนักจริงๆ

“ฟุฟุ วันนี้ฉันไปที่ลำธาร แล้วเขาก็กำลังเปลือยเล่นน้ำอยู่กับซังจินด้วยนะ คุณไม่รู้หรอกว่าฉันตกใจมากขนาดไหน”

-โอ้ นี่เขาไม่รู้จักอายเลยงั้นหรอ? เขาโตแล้วนะ

“อ๊า ก้นจีฮูของเราน่ารักมาจริงๆ มันอวบ.. อ่า จีฮู เข้ามานี่มา เด็กดี~”

ซอยูฮุยได้เกลี้ยกล่อมให้ซอลจีฮูเข้าไปในนอนในถุงนอน จากนั้นก็หันกลับมาขยิบตาให้กับคริสตัลสื่อสาร

“ยังไงก็ตามเรื่องน้ำพุร้อนสินะ มันจริงหรอ?”

-ใช่แล้ว! มันก็แน่สิ! ในตอนมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาฉันก็ตกใจเหมือนกัน

“น้ำพุร้อน… เยี่ยมไปเลย~”

-ใช่ไหมล่? ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันจะทำให้มันเป็นน้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพาราไดซ์ไปเลย…

ภายในค่ำคืนมืดสนิทนี้หญิงสาวทั้งสองคนได้คุยกันไม่หยุด

ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็นอนหายใจรดต้นขาของซอยูฮุย

อืมม อืมม เขาได้พึมพำพร้อมเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา มันเหมือนกับว่าเขากำลังฝันหวานอยู่

และเขาก็กำลังฝันอยู่จริงๆ

ความฝันที่เขาได้กลายเป็นเทพหอกระดับ 10 และกวาดล้างผู้บัญชาการกองทัพพร้อมทั้งทำให้ราชินีปรสิตต้องยอมรับความพ่ายแพ้

***

กาลเวลาได้ไหลผ่านไปเหมือนกับสายน้ำ และเวลาสามเดือนกับอีกสิบวันก็ได้ผ่านพ้นไป

วันที่ทั้งกลุ่มได้กลับไปที่ฮารามาร์คได้มาถึงแล้ว

คิมฮันนาห์ได้ติดต่อมาหาพวกเขาเมื่อวานในระหว่างที่พวกเขากำลังฝึกอยู่ เธอได้บอกพวกเขาว่าการก่อสร้างใช้เวลาอีกแค่สิบวันก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

เธออยากจะให้พวกเขากลับไปเก็บของที่ฮารามาร์ค และเริ่มทำการย้ายฐาน

แน่นอนว่าแม้จะผ่านไปสามเดือนทัศนียภาพของหุบเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิดเลย ทุกๆคนยังคงฝึกต่อไปจนกระทั่งรถม้ามารับพวกเขากลับ

“หืมมม”

หญิงสาวสวมแวนกันแดดได้มาถึงที่หุบเขา และส่งเสียงฮัมเพลงออกมา เธอได้มาถึงจุดนัดพบกันแล้ว

ไม่นานนักคิมฮันนาห์ก็มองเห็นเต็นท์ที่อยู่ไกล และเริ่มเดินเข้าไปหา

และขณะที่เธอเริ่มเข้าใกล้ที่ตั้งแคมป์…

“…”

คิมฮันนาห์ก็หรี่ตาออกมาด้วยความสงสัย