ตอนที่ 242

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 242 – ผ่าสายน้ำ

ที่ตั้งแคมป์เงียบมากจนน่าประหลาดใจ และรอบๆต่างก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอันดุดันเหมือนกับว่าตัวเธอจะถูกผ่าได้ตลอดเวลา

“ออกมาจากตรงนั้น”

คิมฮันนาห์ที่ได้ยินเสียงได้หันหน้าออกไปมอง และได้เห็นฟีโซราที่กำลังถือตะกร้าอยู่

“คุณฟีโซรา?”

คิมฮันนาห์ได้พูดชื่อเธอออกมา แต่ว่าฟีโซราก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมามองเลยสักนิด ฟีโซราเอาแต่มองตรงไปด้วยสายตาที่เฉียบแหลม

“คุณกำลังมองอะไรอยู่? อยู่ไหน-“

“เงียบ”

น้ำเสียงเฉียบแหลมได้ขัดเธอไว้ จากนั้นฟีโซราก็พูดออกมาโดยที่ยังคงมองไปที่จุดเดิม

“เกือบเสร็จแล้ว เพราะงั้นอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนะ ถ้าทำได้ก็ขยับออกมาหน่อย”

“…ว่ายังไงนะ?”

ขณะที่คิมฮันนาห์กำลังถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน…

ฟุบ! ประกายสายฟ้าสีทองพร้อมกับพายุรุนแรงได้พุ่งผ่านหน้าเธอไป

ซ่าาาห์! เสียงกระแสสายฟ้าได้ดังชัดขึ้นที่หูของคิมฮันนาห์

พร้อมๆกันนั้นสายลมก็ได้พัดให้กระโปร่งกับผมของเธอพลิวขึ้น ในเวลาเดียวกันฟีโซราก็ได้โยนของที่อยู่ในตะกร้าที่เธอถือเอาไว้ออกมา

ขณะที่คิมฮันนาห์หันไปมองด้วยสายตาเบิกกว้าง

“สีน้ำเงิน!”

เธอได้เห็นซอลจีฮูที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยกระแสสายฟ้าเหวี่ยงหอกเข้าใส่กลุ่มก้อนหินที่กำลังร่วงลงมาใส่ตัวเขา

ตูม ตูม ตูม ตูม! ทุกๆครั้งที่หอกตัดผ่านอากาศจะทำให้เกิดเสียงระเบิดรุนแรงขึ้นมา

คิมฮันนาห์ได้เห็นชายหนุ่มแสดงภาพอันน่าอัศจรรย์ที่แทงเฉพาะหินสีฟ้าจากหินหลากสีนับสิบก้อน แต่ทันใดนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขึ้น

เธอเห็นก้อนหินสีน้ำเงินกำลังหล่นอยู่ด้านหลังเขาในตอนที่ถอนหอกกลับมา

ขณะที่เธอกำลังคิดว่า ‘เขามองไม่เห็นใช่ไหม?’ ซอลจีฮูก็เหวี่ยงหอกกลับหลัง

หอกมานาได้พุ่งจากมือของเขาไปแทงทะลุก้อนหิน เขาไม่ได้หันไม่บอกด้วยซ้ำ แต่ว่าเมื่อหินสลายกลายเป็นฝุ่นไป ซอลจีฮูก็เผยรอยยิ้มออกมา

จางมัลดงได้ปิดปากลงไปและก้มหน้าลงเล็กน้อย นี่เป็นนิสัยติดตัวที่เขาจะแสดงออกมาในตอนที่ไม่มีอะไรให้ติ

“…”

เมื่อรู้สึกว่าสายฟ้าอ่อนๆได้หยุดลงไป คิมฮันนาห์ก็อ้าปากค้างเล็กน้อย เธอได้รับรู้ถึงทุกๆอย่างที่เธอเพิ่งเห็นในพริบตาเดียวก่อนที่กระโปรงของเธอจะตกลง

***

“แล้ว? เป็นไปด้วยดีไหม?”

การฝึกนรกได้จบลงไปแล้ว ทีมฝึกได้เก็บแคมป์ และกระโดดขึ้นรถม้าที่คิมฮันนาห์นั่งมาพาพวกเขากลับไปที่ฮารามาร์ค

“ดูเหมือนนายจะแกร่งขึ้นเยอะเลยนี่”

คิมฮันนาห์ได้กระทุ้งซอกใส่ซอลจีฮูก่อนจะถามออกมา

ซอลจีฮูที่ดูเหนื่อยเล็กน้อยก็แค่เผยรอยยิ้มบางๆออกมา ทั้งร่างของเขากำลังกรีดร้องอยากจะพักเพราะการฝึกหนักจนถึงวินาทีสุดท้ายของเขา

แต่ว่าเขาก็ยังรู้สึกสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เพียงแค่เขาได้เติมเต็มความต้องการที่ได้ฝึก แต่ว่าเขายังประสบความสำเร็จอยู่เล็กน้อยอีกด้วย

ยิ่งเมื่อมองหน้าต่างสถานะรอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกว้างขึ้น

[หน้าต่างสถานะของคุณ]
[1.ข้อมูลทั่วไป]
วันที่ถูกอัญเชิญ: 16 มีนาคม 2017
ระดับตราประทับ: ทองคำ
เพศ/อายุ: ชาย/26
น้ำหนัก/ส่วนสูง: 180.5 ซม./72.8 กก.
สถานภาพในปัจจุบัน: ดี
คลาส: Lv.5 ผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส
สัญชาติ: สาธารณรัฐเกาหลี (พื้นที่ที่ 1)
สังกัด: N/A
นามแฝง: อันดับหนึ่งในการฝึก, ดาวดวงแรง, น่าปวดหัว, เด็กขี้แย, คนขี้แกล้ง, คลั่งการฝึก,วีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค

[3.ระดับร่างกาย]
พละกำลัง: ปานกลาง(ปานกลาง)
ความทนทาน: ปานกลาง(ต่ำ)
ความคล่องแคล่ว: ปานกลาง (สูง)↑1
เรี่ยวแรง: ปานกลาง(สูง)↑1
มานา: สูง (สูง)
โชค: ปานกลาง (ปานกลาง)

แต้มความสามารถที่มีอยู่: 6

[4.ความสามารถ]
1.ความสามารถโดยกำเนิด (1)
-นิมิตแห่งการทำนาย (ไม่สามารถระบุระดับได้)

2.ความสามารถเกี่ยวข้องกับคลาส (2)
-ปราณดาบ (ปานกลาง)
-เทคนิคหอกพื้นฐาน: แทง(สูง) ฟาด(สูง) ฟัน(สูง)
-หอกมานา – ทวีคูณ(สูง)
-ประกายสายฟ้า(ปานกลาง(สูง))
-หัวใจอันชอบธรรม(ปานกลาง)

3.ความสามารถอื่นๆ (2)
-วงจรมานาเสริมสร้าง(สูง)
-สัญชาตญาณ(ปานกลาง(สูง))

หน้าต่างสถานะของเขาให้ความรู้สิ่งเต็มมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับถุงขนมที่ในตอนนี้มีขนมเต็มถุง

เท่านี้เขาถึงได้รู้สึกเหมือนกับแรงค์เกอร์ระดับสูงจริงๆ

“แล้ว นายคิดว่าตอนนี้นายเรียกตัวเองว่าแรงค์เกอร์ระดับสูงได้หรือยัง?”

คิมฮันนาห์ที่ยังไม่ยอมแพ้ได้ถามออกมาต่อ ซอลจีฮูก็ได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา

“อืมม… ไม่หรอก”

“ไม่?”

“ใช่แล้วล่ะ ฉันคิดว่าฉัน… 4.6?”

คิมฮันนาห์ได้แสดงสีหน้าตกตะลึงกับการประเมินตัวเองของซอลจีฮู

“ไม่ใช่ 4 หรือ 5 แล้วก็ยังไม่ใช่ 4.5 ด้วย ตัวเลขทศนิยมแบบนั้นมันอะไรกัน?”

จางมัลดงที่นั่งอยู่ฝั่งรงข้ามได้หัวเราะออกมาเบาๆ

‘เขาประเมินตัวเองเป็นระดับ 4.6 งั้นหรอ?’

หากว่าทุกๆคนมีมาตราฐานแบบนี้ ถ้างั้นชาวโลกส่วนใหญ่ต่างก็มีระดับเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1 กันแล้ว

จางมัลดงอย่างจะบอกไม่ให้เขาทำเป็นเล่น แต่ว่าเขาก็เลือกที่จะดูเงียบๆแทน สิ่งที่น่ากังวลมันควรจะเป็นการที่คนประเมินตัวเองสูงกว่าตัวเองมากกว่า

นอกจากนี้เขาก็ยังรู้ดีว่าซอลจีฮูยังมีพื้นที่ให้พัฒนาขึ้นอีกมาก

แม้ว่าชายหนุ่มจะกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงไปแล้ว แต่จางมัลดงก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเขาอยู่ดี

***

ก่อนที่จะกลับไปฮารามาร์ค ทีมคาเพเดี่ยมได้ไปแวะหยุดตรวจสอบอาคารสำนักงานของเขาที่กำลังก่อสร้างในอีวาก่อน

เมื่อซอลจีฮูเดินไปถึงที่ดินที่เขาได้ซื้อเอาไว้ เขาก็ต้องถึงกับพูดไม่ออก

เขาได้บอกให้คิมฮันนาห์สร้างฐานทัพขององค์กร แต่นอกเหนือไปจากขนาดของมันแล้ว เธอยังได้สร้างอาคารยุคกลางขึ้นมา

เธอได้บอกไว้ว่ามันเป็นการผสานเข้าด้วยกันระหว่างสถาปัตยกรรมสไตล์โรมาเนสก์กับบาร็อค

‘ตอนนี้มีคนอยู่แค่สิบคนเอง… ทำไมขนาดมันถึงใหญ่แบบนี้ล่ะ…?’

เขาไม่อาจจะอธิบายได้เลยว่ามันตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นที่ว่างเปล่าอย่างไร และมันยังมีรวมถึง 10 ชั้นด้วยกัน

[มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นระหว่างก่อสร้างไหม?]

“ไม่มีเลยสักนิด คนงานต่างก็ประหลาดใจกันหมด”

[ฟุฟุ เจ้าเด็กพวกนั้น เดี๋ยวฉันต้องไปให้รางวัลแล้วสิ]

ซอลจีฮูได้มองดูอาคารอย่างสับสนก่อนที่จะถามคิมฮันนาห์ที่กำลังคุยกับโฟลนอยู่

“ฉันเข้าไปได้ไหม?”

“ก็ได้แหละ แต่ว่ามันยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอยู่ ทำไมเราไม่ไว้ค่อยมาดูหลังจากสร้างเสร็จแล้วล่ะ?”

“ได้สิ แล้วนี่หมดค่าก่อสร้างไปเท่าไหร่?”

“…”

“คิมฮันนาห์?”

คิมฮันนาห์ได้รีบหลบคำถามอย่างชำนาญด้วยการบอกว่าเธอจะส่งรายงานงบประมาณไปให้เขาทีหลัง

มันจนกระทั่งซอลจีฮูกลับไปถึงฮารามาร์คเขาถึงได้รู้ความจริง และเมื่อเขาได้รู้มันทำให้เขาเกือบตาถลนออกจากเบ้า

พระเจ้า คิมฮันนาห์ได้ใช้หกเหรียญทองไปกับแค่การก่อสร้าง!

“เธอเอาหกเหรียญทองไปทำอะไรกัน?”

“ก็แค่ทำให้ที่นี่สมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง ฉันได้ซื้อวัตถุดิบที่ดีที่สุด และใช้เงินไปเช่าพื้นที่เก็บของของวิหาร หรือใช้คะแนนคุณูปการแลกห้องเก็บของ…”

“แต่ว่าก็ยัง!”

“แล้วฉันจะบอกความจริงให้นะ ฉันได้เชิญนักแปรธาตุมาด้วย..”

“นักแปรธาตุ? นี่เธอจ้างนักเวทย์มาทำไมล่ะ?”

“ก็เพื่อช่วยงานก่อสร้างแล้วก็สร้างน้ำพุร้อน…”

คิมฮันนาห์ได้เว้นช่วงท้ายของประโยคเอาไว้พร้อมกับม้วนผมเล่น เธอได้หลบสายตาของซอลจีฮูเพราะเธอก็รู้ดีว่าใช้เงินมากไปหน่อย

ซอลจีฮูได้รู้สึกเหมือนกับสิ่งต่างๆจะหลุดมือไปในตอนที่เธอเอาแต่ทำพิมพ์เขียวไม่ยอมกินข้าว แล้วดูนี่สิ คิมฮันนาห์ได้สร้างปัญหาขึ้นมาซะแล้ว

‘แต่ก็นะ คงไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก’

เมื่อคำนึงถึงจำนวนเงินที่พวกเขาประหยัดไปได้ในตอนซื้อที่ดิน ซอลจีฮูก็ตัดสินใจจะมองข้ามเรื่องนี้ไป ยังไงสุดท้ายแล้วคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้เอาเงินไปใช้ส่วนตัวสักหน่อย

“แต่คราวหน้าช่วยบอกฉันก่อนนะ”

“ฉันบอกไปแล้ว”

“ตอนไหน?”

“ตอนที่นายกำลังจะนอนไง”

คิมฮันนาห์ได้เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

***

ในตอนนี้พวกเขาได้กลับมาจากการฝึกแล้ว คาเพเดี่ยมก็ได้เตรียมตัวสำหรับการย้ายในวันต่อมา

‘ไม่ว่าพวกเราจะรีบแค่ไหน อย่างน้อยมันก็ต้องใช้เวลาสามถึงสี่วันในการไปอีว่า’

ซอลจีฮูอยากจะอยากที่จะออกไปในทันทีเพื่อให้พวกเขาสามารถจะไปถึงอีวาในช่วงที่การก่อสร้างเสร็จพอดี

แต่จริงๆแล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีสัมภาระอะไรมากมาย และเพราะคิมฮันนาห์ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่มาทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องขนไปก็มีแค่ของส่วนตัวกันเท่านั้นเอง

ซอลจีฮูได้ตัดสินใจเอาของส่วนตัว และสิ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในวิหารในวันสุดท้าย

ส่วนที่สำนักงานคาเพเดี่ยมทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจปล่อยเอาไว้เหมือนเดิม

จากนิสัยส่วนตัวของคิมฮันนาห์แล้ว ซอลจีฮูคิดเอาไว้ว่าเธอคงจะแนะนำให้พวกเขาขายอาคารเพื่อหาเงินทุนเพิ่ม แต่ว่าน่าแปลกที่เธอบอกว่าเธอมีแผนอื่นอยู่

เมื่อซอลจีฮูได้ถามรายละเอียด เธอก็บอกกับเขาว่าไม่มีอะไร และบอกว่าอาจารย์จางจะบอกเขาเองทีหลัง

นอกไปจากนั้นยังมีเรื่องที่ซอลจีฮูได้ไปตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสมาคมนักฆ่าอีกด้วย

การเก็บค่อยได้ค่อยๆเรียบร้อยไปทีล่ะอย่าง และเมื่อเขาได้ทำสัญญากับรถม้า ในที่สุดเขาก็รู้สึกเหมือนกับจะจากฮารามาร์คไปจริงๆซะแล้ว

***

ซอลจีฮูได้ผ่อนคลายไปกับความสงบสุขเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานานแล้ว การเตรียมการสำหรับการย้ายออกส่วนใหญ่ได้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เพราะงั้นจึงไม่มีอะไรให้เขาต้องทำอีก

ในวันนี้เขาได้ตื่นขึ้นมาเพื่อฝึกหัวใจอันชอบธรรมเหมือนอย่างเคย จากนั้นเขาก็ดื่มชาที่ซอยูฮุยชงให้เขา พร้อมทั้งอ่านข่าวที่สมาคมนักฆ่าส่งมาให้

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้หลังจากกลับมา นั่นก็คือข่าวการย้ายออกไปของคาเพเดี่ยมได้รับความสนใจจากสาธารณะชนค่อนข้างมาก

ข่าวลือเรื่องการก่อสร้างสำนักงานกลางอีวาของคาเพเดี่ยม และการลงทะเบียนองค์กรได้กระจ่ายออกไป ดังนั้นจึงมีบทความเกี่ยวกับเรื่องการเก็งกำไรถูกเขียนออกมาในทุกรูปแบบ

ยังไงแล้วเนื่องจากซันเหอก็ยังย้ายไปกับคาเพเดี่ยมด้วย มันจึงไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นข่าวขนาดนี้

ยังไม่หมดเท่านั้น

นับตั้งแต่ที่ซอลจีฮูกลับมาที่ฮารามาร์ค เขาก็รู้สึกกังวลแปลกๆ มันเหมือนกับว่าเขาได้ลืมเรื่องอะไรที่สำคัญมากๆไป แต่ว่าเขากลับนึกไม่ออกเลย

พอมาคิดดูแล้วในวันแรกที่เขากลับมา…

-โง่! บ้า! ตายไปซะ… ไม่สิ อย่าตายนะ ยังไงก็ตามฉันขอให้นายพังทลายไปในระหว่างการฝึกเลย!

เขาได้เห็นโน๊ตที่มีข้อความเหล่านี้ถูกเขียนเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจมันเพราะคิดว่าคงเป็นคนบ้าที่ไหนสักคิดมาล้อเล่นเท่านั้นเอง

จนกระทั่งไม่นานนักเขาก็รู้ตัวว่าความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้นี้มาจากนั้น

นั่นก็เพราะในช่วงเย็นได้มีชายคนหนุ่มมาที่สำนักงานคาเพเดี่ยม

“ผมได้ยินมาว่าคุณกลับมาเมื่อสองวันที่แล้ว”

น้ำเสียงนิ่งสงบได้ดังออกมา

ผู้มาเยือนคนนั้นก็คือแจนแซงตัส แต่ว่าสีหน้าของเขากลับดูไม่ดีเลยสักนิด

โดยปกติแล้วสีหน้าเขาจะนิ่งเฉยไม่ว่าจะถูกมีดแทงหรืออะไรก็ตาม แต่ในตอนนี้สีหน้านิ่งเฉยได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยความโรยราแทน

“ผู้บัญชาการแซงตัส มีอะไรหรอครับ…?”

“ช่วงนี้บรรยากาศที่วังแย่มากเลย ไม่สิ ผมขอพูดตรงๆ มันน่ากลัว”

เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็ถึงกลับแสดงสีหน้าหนักใจออกมา

“คงมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นสินะครับ”

“พูดแบบนั้นก็ถูกครับ ต้องขออภัยด้วยนะครับ แต่ว่าคุณช่วยไปที่วังโดยไม่ถามอะไรจะได้ไหม? ขอล่ะครับ?”

เนื่องจากซอลจีฮูไม่เคยเห็นสีหน้าขอร้องแบบนี้ของแจนแซงตัสมาก่อนเลย ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นทันที จากที่ดูแล้วพระราชวังฮารามาร์คดูจะตกอยู่ในอันตราย

‘ใช่แล้ว ช่วงนี้ปรสิตอยู่เงียบเกินไป’

แม้ว่าเขาจะกำลังไปจากฮารามาร์ค เขาก็ไม่คิดที่จะเมินเฉยอันตรายที่มีต่อฮารามาร์ค

มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆเพราะที่หน้าทางเข้าวังดูเงียบมาก

เมื่อก่อนที่วังจะสดใสขึ้นเพียงแค่เทเรซ่ากระโดดออกมาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม

ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้ที่วังได้เปลี่ยนเป็นมืดมน และเย็นยะเยือกเหมือนกับบ้านผีสิง เมื่อแจงแซงตัสได้แจ้งว่าซอลจีฮูมาแล้ว ในเวลาไม่ถึงนาทีราชาฟีไอก็ได้ออกมาทักทายเขาเป็นการส่วนตัว

เขารีบร้อนมาจนกระทั่งไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำไป

“โอ้ ลูกชาย! ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะ?”

ราชาฟีไฮที่มีถุงใต้ตาดำได้จับมือซอลจีฮูเอาไว้แน่น

“นายเย็นชาขนาดนี้ได้ยังไงกัน? นายน่าจะรีบมาให้เร็วกว่านี้นะ”

“โทษนะครับ? ไม่ อืมม ผมเพิ่งจะกลับมาจากการฝึก”

“แต่ก็เถอะนะ มันก็ผ่านมาสามเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่กลับมาจากปฏิบัติการน่ะ”

ฟีโฮได้นำซอลจีฮูเข้าไปข้างในพร้อมตำหนิเขาไปด้วย หลังจากลากเขาไปได้สักพักหนึ่ง

“เร็วเข้าๆ ในตอนนี้มีแค่นายเท่านั้นที่แก้ปัญหานี้ได้ ช่วงนี้พื้นวังได้กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งไปแล้ว”

ซอลจีฮูได้ถูกผลักให้เข้าไปในสำนักงานบริหาร

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังสับสนอยู่ เขาก็เห็นเทเรซ่ากำลังนั่งเขียนเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานที่อยู่ใกล้ๆ

เธอคงจะได้ยินเสียงวุ่นวาย แต่ว่าเธอก็ยังคงมองดูเอกสารโดยไม่เหลือบมามองซอลจีฮูเลย

ซอลจีฮูได้รีบพูดออกมา

“เอ่อ… เจ้าหญิง?”

“ว่าไง”

เทเรซ่าได้ตอบกลับมาโดยไม่ละสายตาจากเอกสาร

ซอลจีฮูได้ถามขึ้นด้วยสีหน้าสับสน

“จู่ๆราชาก็ลากผมมา…”

“ทำไมนายถึงมาถามฉันล่ะ?”

น้ำเสียงของเธอเย็นชามาก

“ก็อย่างที่เห็น ฉันกำลังทำงานอยู่ นายยังไม่ได้ทำการนัดล่วงหน้าเลยด้วยนะ”

และน้ำเสียงของเธอก็ดูจะเป็นทางการมากๆด้วย

ซอลจีฮูได้นิ่งงันไป กิริยาท่าทางของเทเรซ่าต่างไปจากปกติอยู่เล็นน้อย เพราะแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย

ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ต้องผ่านการต่อสู้ที่หุบเขาอาร์เดน และหลบหนีมาจากศูนย์วิจัยด้วยกันหรอกหรอ?

‘หรือว่าเธอเป็นแบบนี้เพราะฉันกำลังย้ายไปที่อีวา..?’

เมื่อคิดแบบนี้เขาก็กลายเป็นขมขื่นไปเล็กน้อย

“ฉันไม่รู้นะว่านายมาที่นี่ทำไม แต่ว่าตอนนี้ฉันกำลังยุ่งมาก ถ้านายอยากจะพูดกับฉัน ก็ช่วยทำตามขั้นตอนให้ถูกด้วย”

แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เทเรซ่าไม่ได้พูดผิดเลย ซอลจีฮูพยายามไม่แสดงความผิดหวัง และเลือกเดินไปเงียบๆ

“โอเค ขอโทษที่รบกวนนะ อภัยให้ด้วย”

เขาได้โค้งคำนับและค่อนๆหันหน้าไป แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะก้าวออกไปได้ นั่นเพราะในตอนที่เขากำลังจะก้าวสายตาเฉียบแหลมก็จ้องมาที่หลังของเขา

ในตอนที่เขาแอบหันกลับมา ในที่สุดเทเรซ่าก็ละสายตาออกมาจากเอกสารแล้ว ในตอนนี้เธอกำลังจ้องมาที่เขาอย่างดุดัน สีหน้าของเธออธิบายได้เพียงแค่ว่า ‘อย่าได้ก้าวออกไปจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว’

“…เจ้าหญิง?”

เทเรซ่ากัดฟันแน่น และลุกขึ้นยืน หลังจากย่ำเท้าออกมา เธอก็มานั่งลงที่เก้าอี้ข้างซ้ายของเธอ ตึง! เธอได้ยกมือและฟาดลงบนโต๊ะตรงหน้า

“มานั่งนี่สิ”

ซอลจีฮูได้ผงะไป

“มาคุยกัน”

ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป เขาค่อนข้างจะคุ้นเคยกับคำพูดแบบนี้เป็นอย่างมาก

เขามักจะได้ยินประโยคนี้มาจากยูซอนฮวาในตอนก่อนที่เธอจะดุเขาอยู่บ่อยครั้ง

ยังไงก็ตามซอลจีฮูที่รู้สึกว่าการวิ่งหนีไม่ใช่ทางแก้ เขาจึงค่อยๆเดินมาและนั่งลงตรงหน้ากับเทเรซ่า

…พูดตามตรงแล้ว เขาก็รู้สึกผิดอยู่

เขาได้ประกาศอย่างมั่นใจว่าจะโน้มน้ามเธอ แต่แล้วเขาก็หายตัวไปหลายเดือนโดยไม่พูดอะไรออกมา แน่นอนว่าเขาก็มีเหตุผล แต่ว่านั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างอยู่ดี

ไม่ว่าจะแบบไหน ซอลจีฮูที่คิดว่าเขาควรที่จะต้องขอโทษก่อนจึงพูดออกมา

“เอ่อ… เจ้าหญิง”

“ว่าไง”

เทเรซ่าได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และเอียงหัวออกมาเล็กน้อย เธอดูเหมือนจะพูดว่า ‘ก็ได้ มาดูกันว่านายจะพูดอะไร’

“ขอ-“

“ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ?”

เธอได้ขัดเขาขึ้นก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบซะอีก

“บอกมาสิ นายขอโทษฉันเรื่องอะไร?”

ใบหน้าซอลจีฮูได้เผยแววลุกลี้ลุกลนขึ้นมา

“ดูสิ นายก็ไม่ได้คิดว่านายผิดอะไรนี่ นายก็แค่ขอโทษไปงั้นๆเองนี่”

เทเรซ่าได้แค่นเสียง และมองไปด้านข้าง ซอลจีฮูได้พยายามสงบใจแล้วตอบกลับไป

“ฉันขอโทษที่ติดต่อเธอช้าไป”

“โอ้ รู้แล้วหรอ?”

น้ำเสียงของเธอไม่ได้แสดงความเป็นมิตรออกมาแม้แต่นิด จริงๆแล้วเหมือนกับอยากจะเลือกปะทะกันด้วยซ้ำไป

“ฉันขออะไรที่มันมากเกินไปหรอ? แค่ใส่มานาลงไปในคริสตัลสื่อสารมันยากหรอ?”

ในตอนนี้พอมาเป็นแบบนี้แล้ว ซอลจีฮูได้รู้สึกไม่สบายใจออกมา เขารีบมาที่นี่ด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วพอมาถึงเทเรซ่าก็ทำเหมือนกับเขาเป็นคนร้าย เขากลัวมากจนพูดไม่ออกเลย

“เจ้าหยิง”

เพราะแบบนี้เขาจึงรีบโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ใช่ ใช่สิ ผมขอโทษเรื่องนั้นจริงๆ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เทเรซ่าได้เบิกตากว้างและกระพริบตาออกมาอย่างรวดเร็ว

“นี่นายโกรธฉันหรอ?”

“ฉันไม่ได้โกรธ ฉันก็แค่มัวแต่ยุ่งกับเรื่ององค์กรต่างๆ ฉันไม่ได้เที่ยวเล่นหรอกนะ”

“นายกำลังโกรธฉัน ฮ่าห์!”

“ฉันบอกแล้วนี่ว่าไม่ได้โกรธ แล้วก็ถ้าเธอมีเรื่องด่วนจริงๆ เธอก็ติดต่อมาหาฉันก่อน-“

“แล้วใครกันที่เป็นคนตะโกนออกมาอย่างมั่นใจว่าจะโน้มน้าวฉันล่ะ?”

เมื่อพวกเขาผลัดกันพูด จู่ๆซอลจีฮูก็กลายเป็นพูดไม่ออก

‘เธอยังไม่ลืมเรื่องนั้น…’

“ฉะ ฉันก็มาที่นี่แล้วนี่!?”

ซอลจีฮูได้ติดอ่างไปจากการโต้กลับที่คาดไม่ถึง

“อ่า ก็ใช่ นายมาแล้ว มาหลังจากผ่านไปสองวันนับตั้งแต่กลับมาที่ฮารามาร์ค แต่ว่าฉันดีใจจังเลยนะที่ในที่สุดนายก็ตัดสินใจจะมา”

ตัดสินจากสีหน้าและน้ำเสียงของเธอ เขาคงจะไปจี้จุดและทำให้เธอโกรธขึ้นมาแล้ว

ซอลจีฮูได้แต่เลียริมฝีปากออกมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องมาคุยเรื่องนี้ ซอลจีฮูที่รู้สึกสับสนได้กดหน้าผากและถอนหายใจออกมา

“โอ้ ให้ตายสิ…”

“อะไรล่ะ? นายเพิ่งจะพูดอะไรนะ? ‘โอ้ ให้ตายสิ?’”

เทเรซ่าได้ขมวดคิ้วขึ้นมาจนทำให้เขารู้สึกกลัว แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้ยอมถอยไป

“หลังจากกลับมาฉันยุ่งอยู่กับการเตรียมการย้ายออกอยู่ตลอด”

“ว้าว~ ช่างเป็นคนงานยุ่งซะเหลือเกิน”

“ทำไมเธอถึงต้องมาถากถางกันด้วยล่ะ? ฉันไม่ได้เที่ยวเล่นจริงๆนะ ฉันเพิ่งจะกลับมาจากการฝึกนรก!”

“โอ้ นายกำลังพูดอะไรกันล่ะ? นี่ฉันกำลังดุด่าอะไรนายงั้นหรอ? ทั้งหมดที่ฉันกำลังพูดก็คือ-“

“ฉันได้พยายามอย่างหนัก หนักมากจริงๆ! มันไม่ใช่ว่าฉันมีแค่เรื่องสองเรื่องที่ต้องจัดการนะ ทำไมเธอต้องมีเรื่องมาให้ฉันคิดมากขนาดนี้ล่ะ?”

ซอลจีฮูได้โพล่งออกมาด้วยความโกรธ ก่อนจะร้องอ๊ะออกมา แต่ว่าเขาก็หลุดพูดออกไปแล้ว

เทเรซ่าได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างสับสนด้วยความตกใจอย่างมาก ขนตาและริมฝีปากของเธอกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง

หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง… ฮ่าห์ เสียงถอนหายใจเบาๆก็ดังออกมา

ลำคอของเทเรซ่าได้กลืนน้ำลายลงไป ก่อนที่เธอจะกอดอกหันหน้าหนีไป

“ฉันไม่รู้”

“จะ เจ้าหญิง”

“ก็ได้ นายก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอ”

ซอลจีฮูได้แต่กัดริมฝีปากออกมา เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็กลายเป็นพูดไม่ออกเมื่อเขาเห็นเทเรซ่ากำลังจะร้องไห้

“ฉันเสียใจมาก”

เธอได้สะอื้นและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกไป

“ฉันหมายถึงว่าสิ่งที่ฉันขอมันใหญ่ไปหรอ? แค่ให้นายติดต่อมาหาฉันทุกๆวันน่ะ แค่ติดต่อมาหาฉันสักครั้งหนึ่งมันยากหรอ?”

เธอได้พึมพำออกมาไม่หยุดพร้อมยังเช็ดนน้ำตาไปด้วย

‘ฉันอยากจะเผชิญหน้ากับความหมั่นเพียรอันนิรันดร์มากกว่าซะอีก…’

ซอลจีฮูได้แต่เกาหัว ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พยักหน้า

“..ขอโทษ ฉันผิดเอง”

“นายขอโทษเรื่องอะไร?”

ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ย้อนกลับมาเรื่องเดิม

ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป

‘พระเจ้า’

หลังจากที่เข้ามาในพาราไดซ์นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วที่ซอลจีฮูได้ร้องเรียกหาพระเจ้า

***

ในอีกด้านหนึ่ง เทพที่ซอลจีฮูกำลังเรียกหา…

[น่ารักจริงๆเลย~]

…กำลังเฝ้ามองดูคู่ชายหญิงทะเลาะกันด้วยสีหน้าสนใจ

[ช่างเป็นการปะทะที่น่ารักจริงๆ… บรรยากาศที่ทุกๆอย่างร้อนระอุขึ้น… อ่า ช่างเป็นความสุขวัยเยาว์]

สุเปอร์เบียได้ร้อง ‘หย๊าาา~’ ออกมาพร้อมทั้งใช้สองมือปิดแก้มที่แดงขึ้น

[เจ้าหนูนี่ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงโกรธ]

[ฉันก็เข้าใจเขานะ มันก็ไม่ใช่ว่าเขาเอาแต่เที่ยวเล่น เขาจะไปโดนตำหนิที่หลงลืมได้ยังไงกัน? สุดท้ายเขาก็เป็นมนุษย์เหมืนกันนะ]

[มันก็มีหลายอย่างที่ลืมได้แล้วก็สิ่งที่ลืมไม่ได้ ฉันเคยบอกเขาหลายรอบแล้วให้ดูแลเธอให้ดี เขาควรที่จะคุกเข่าขอให้เธออภัย แต่นี่… ชิ]

[โอ้? ท่านกูลาพูดเรื่องที่น่าสนใจจังเลยนะ คุกเข่าขอร้องงั้นหรอ? ลูกของฉันได้ทำบาปร้ายแรงไปงั้นหรอ?]

ในเวลาเดียวกันกู่ลากับลูซูเรียก็เถียงกันอยู่ที่มุมหนึ่ง

[เขาเป็นลูกของฉัน]

กู่ลาได้แค่นเสียงออกมา พร้อมทั้งพูดอย่างเคร่งขรึม

[ฉันจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้อีกแล้ว ฉันจะต้องเรียกตัวเขามาสั่งสอนให้รู้เรื่อง…]

ลูซูเรียได้เท้าเอวและประท้วงออกมาอย่างไม่พอใจ

[โอ้ ขอล่ะนะ- ลูกของฉันก็ยุ่งอยู่แล้ว! ทำไมเธอถึงพยายามที่จะทำลาบแรงใจเขาอีก?]