บทที่ 243 – ลาก่อนฮารามาร์ค
ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็กลืนศักดิ์ศรีลงไปและขอโทษออกมา ในตอนนี้เทเรซ่ากำลังก้มหัวอยู่บนโต๊ะโดยไม่ตอบอะไรกลับมาอีก ซอลจีฮูที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้แต่ขยับเข้าไปปลอบเธอใกล้ๆ
“อ๊า เจ้าหญิงอย่าทำแบบนั้นสิ ดูมองฉันหน่อยนะ”
“ฉันไม่เป็นไร”
“ขอโทษจริงๆนะ”
“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรไง”
น้ำเสียงหดหู่ได้ดังออกมาจากช่องว่างระหว่างใบหน้ากับแขน
“ไปเถอะ นายไม่ต้องมาเกรงใจคนแบบฉันอีก หยุดห่วงฉัน แล้วก็ไปทำตามใจนายเถอะนะ”
“เจ้าหญิง…”
ซอลจีฮูได้วางมือลงบนแขนซอลเทเรซ่าด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อย่ามาแตะฉัน”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆขยับมือลูบเส้นผมโรสโกลด์ของเธอช้าๆ โดยไม่สนใจสิ่งที่เธอพูด
“ไปซะ”
คำพูดของเธอไม่ได้ตรงกันกับการกระทำของเธอที่ขยับหน้ามาแนบหน้าอกของซอลจีฮูเลยสักนิด
“ฉันขอโทษ นับจากนี้ไปฉันจะไม่ลืมที่จะติดต่อมาหาเธออีก”
“…นับจากนี้?”
“ใช่แล้ว”
“ไม่เอาอีกแล้วนะ?”
มีคำกล่าวไว้ว่าหากไม่อาจจะรักษาสัญญาได้ก็อย่าได้สัญญา แต่ว่าซอลจีฮูมุ่งมั่นไปกับการทำให้เทเรซ่าดีขึ้นโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นแล้ว
“ใช่แล้ว จะไม่มีอีกแล้ว”
คำพูดของเขาได้ผลเป็นอย่างมากจนทำให้บรรยากาศรอบตัวเทเรซ่าดูอ่อนลงไป
“ถ้างั้นนายจะไม่ไปใช่ไหม?”
คำถามเบาๆได้ดังออกมา มันแทบจะเหมือนกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นการเตรียมการมาสู่ตอนนี้ ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมล่ะ…”
น้ำเสียงหมดหนทางได้ดังออกมา เทเรซ่าได้เคยถามคำถามเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว
ซอลจีฮูได้กระแอ่มออกมา เขากำลังจะเอามือออกมาประสานกัน แต่ว่าเทเรซ่าก็รีบคว้ามือของเขาไปวางไว้บนหัวของเธอ
ซอลจีฮูได้แต่หัวเราะและกลับมาลูบผมเธอเหมือนเดิม
“เมื่อหลายเดือนก่อน อาจารย์จางได้มอบสมุดบันทึกของอาจารย์เอียนให้ฉัน”
ซอลจีฮูรู้สึกได้ว่าเทเรซ่าผงะไปเมื่อเขาพูดถึงเอียน
“สมุดบันทึกมีชื่อของชาวโลกที่ตายหรือเกษียรไปอย่างลึกลับ มีกระทั่งชื่อของชาวโลกที่ติดเชื้อของพวกปรสิตด้วย”
น้ำเสียงของเขาได้กลายเป็นขมขื่น และทึ่งกับสิ่งที่เขาเคยได้อ่านมาจากบันทึก
ไม่ใช่ว่าชาวโลกทุกคนจะเป็นสวะ
นี่เป็นเรื่องจริงมาตลอด ในเมืองทั้งเจ็ดยังคงมีชาวโลกที่ทำเพื่อประโยชน์ของพาราไดซ์อย่างเต็มกำลังอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
มันก็แค่ว่าพวกสวะมีจำนวนที่มากกว่าเท่านั้นเอง
แต่ว่าสิ่งสำคัญกับซอลจีฮูก็คือไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน และอนาคตก็ยังจะมีชาวโลกที่เต็มใจจะเสียสละตัวเองเพื่อพาราไดซ์อยู่
“ฉันอยากที่จะดูแล สนับสนุน และปกป้องชาวโลกที่มุ่งมั่นจะทำให้พาราไดซ์ดีขึ้นอย่างจริงใจ ฉันจะต้องสร้างองค์กรก็เพราะว่าฉันทำมันคนเดียวไม่ได้”
แน่นอนว่าถ้าแค่นี้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องย้ายออกไปจากฮารามาร์คเลย แต่ว่าเป้าหมายของซอลจีฮูไกลกว่านั้นมาก
“อีกเหตุผลหนึ่งก็คือการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสหพันธรัฐ”
เขาเคยพูดมาก่อนแล้ว เพราะงั้นเขาจึงลงรายละเอียดเพิ่มเติม
“ฉันได้รู้เรื่องนี้ในระหว่างปฏิบัติการณ์เจดีย์แห่งความฝัน นั่นคือมันเป็นไปไม่ได้เลยที่สหพันธรัฐกับมนุษยชาติจะปรองดองกัน และนี่เป็นสิ่งที่เราต้องทำหากว่าต้องการจะเอาชนะพวกปรสิต”
“…”
“ฉันจะต้องไปเจ้าหญิง ฉันจะต้องไปอีวา และกลายเป็นองค์กรตัวแทนของเมือง”
เขาได้พูดออกมาด้วยความเชื่อมั่น
“ฉันจะต้องกวาดล้างความชั่วร้ายที่หยั่งรากลึกอยู่ในอีวา และเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปขออภัยสหพันธรัฐ จากนั้นก็กลายเป็นพันธมิตรกับพวกเขาอย่างเป็นทางการ”
เทเรซ่าได้เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังพูดต่อไป
“ไม่ใช่แค่พันธมิตรในนามเท่านั้น แต่ตราบใดที่สหพันธรัฐต้องการ ฉันก็จะยอมรับพวกเขาเข้าสู่อีวาและทำการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน”
ในที่สุดเทเรซ่าก็กลับมานั่งลงไป ขณะที่เธอค่อยๆมองกลับมาที่วอลจีฮูก็มีสีหน้าสับสนอยู่เต็มใบหน้าของเธอ
“นายจะยอมรับพวกเขา… แล้วก็ทำอะไรนะ?”
“ฉันจะเปลี่ยนอีวาให้เป็นเมืองปราการ เหมือนอย่างที่เธอทำนั่นแหละ”
ซอลจีฮูได้พูดต่อโดยไม่หยุดพักสักนิด
“แน่นอนว่าภูมิประเทศของอีวาไม่ได้เป็นเหมือนป้อมปราการหุบเขาอาร์เดนที่จะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้ แต่ว่าด้วยเทคโนโลยีของสหพันธรัฐที่ซึ่งสร้างป้อมปราการไทกอลขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“นี่นายวางแผนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ตั้งแต่ที่สงครามจบลง ในตอนที่พวกปรสิตได้ยกกองทัพใหญ่ที่มากพอจะปิดล้อมเมืองส่วนใหญ่ของมนุษย์ได้”
มันได้ส่งผลให้มนุษย์ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวที่รู้สึกว่าในที่สุดปรสิตก็จะลงดาบพวกเขาแล้ว แต่ในท้ายที่สุดเป้าหมายของราชินีปรสิตก็ต่างออกไป
เธอได้หลอกทุกๆคนโดยซ่อนเป้าหมายที่แท้จริงเอาไว้ไม่ให้พวกเขาได้ส่งกำลังเสริมไปไหนได้
“จากสิ่งที่เกิดขึ้นนั่น… ฉันได้คิดเกี่ยวกับมันมากมายจนกระทั่งได้รับคำตอบ นั่นมันก็เพราะว่าป้อมปราการไทกอลโดนยึดไป”
เทเรซ่าได้แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ดูเหมือนจะเข้าใจ
“สหพันธรัฐจะยอมรับในข้อเสนอของนายง่ายๆงั้นหรอ?”
“อีวามีพรมแดนที่ติดกับสหพันธรัฐ และเป็นเมืองมนุษย์ที่ใกล้กับป้อมปราการไทกอลที่สุด นี่เป็นตำแหน่งที่ตั้งที่เหมาะที่จะช่วยสนับสนุนพวกเขาในตอนที่มีอะไรเกิดขึ้นที่สุดแล้ว ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าสหพันธรัฐจะปฏิเสธในความจริงข้อนี้”
เทเรซ่าได้หลับตาลงไป ในที่สุดแล้วเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองดูภาพใหญ่ที่ซอลจีฮูได้วาดหวังเอาไว้
“นั่นมันฟังดูเหมือนฝันเลยนะ…”
เธอได้ยิ้มแห้งๆออกมาโดยเว้นช่วงคำพูดไว้
“นายทำให้ฉันนึกถึงชาวโลกคนหนึ่ง”
“?”
“โจชัวร์ คาร์ฟลิน เขาเป็นดวงดาวแห่งความเกียจคร้านคนเก่า”
เทเรซ่าได้ถอนาหยใจยาวออกมา
“เขาเป็นชาวโลกที่ยืนกรานว่ามนุษย์ควรที่จะร่วมมือกันกับพันธมิตรมนุษย์สัตว์ เขาเป็นวีรบุรุษที่พิชิตอาณาจักรคาปี้ชานที่ถูกปรสิตยึดไป และยังได้ทำลายแผนของราชินีปรสิตได้อีกด้วย”
ซอลจีฮูจำได้ดีว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้จากสมุดบันทึกของเอียน ในตอนที่พันธมิตรมนุษย์สัตว์เสี่ยงที่จะถูกกวาดล้างออกไป เขาได้นำกองกำลังระดับสูงขนาดเล็กไปเป็นกำลังเสริมให้พันธมิตรมนุษย์สัตว์ แต่แล้วเขาก็ถูกความหมั่นเพียรอันอัปลักษณ์ลอบซุ่มโจมตี
“หลังจากเหตุการณ์นั้น ฉันได้สาบานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าฉันจะไม่นั่งดูอยู่นิ่งๆอีก… ฉันเกือบจะทำพลาดแบบเดียวกับในตอนนั้นไปแล้ว มันเพราะความโลภของฉัน”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างออกมาเมื่อเขาได้ยินคำพูดที่เหมือนจะยอมแพ้ของเทเรซ่า
“งั้นเธอเข้าใจแล้วาสินะ?”
“ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่”
ตอนนั้นฉันควรที่จะอยู่ฟังเขาก่อน เทเรซ่ารู้สึกละอายใจกับตัวเองพร้อมทั้งประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
ไม่ว่าจะยังไงเธอก็มั่นใจในเรื่องหนึ่ง ซอลจีฮูมีความทะเยอทะยานที่ไม่มีใครฝันถึงมาก่อนเลย
เมื่อได้ยินแบบนี้ในที่สุดเธอก็เข้าใจในสิ่งที่เขาบอกว่า ‘เพื่อประโยชน์ของพาราไดซ์’ แล้ว เธออาจจะช่วยเขาไม่ได้ แต่ว่าเธอจะต้องไม่ไปขัดแข้งขัดขาของเขา
“นี่มันเป็นครั้งแรกเลย”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาเบาๆ
“เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันบอกรายละเอียดแผนการของฉันกับคนอื่น”
เขาได้เกาหัวหัวเราะแห้งๆออกมา
“ฉันรู้ว่ามันเป็นความฝันที่บ้ามาก มันไม่น่าเป็นไปได้เลย มันเหมือนกับว่าฉันคิดไปก่อนแล้ว แต่ว่านะ…”
“ไม่หรอก”
เทเรซ่าได้ปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่นพร้อมทั้งมองชายหนุ่มตรงหน้าเธออย่างอ่อนโยน
“ฉันเชื่อว่านายทำมันได้”
เขาได้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอเชื่อในตัวเขา และอยากจะเชื่อแบบนั้น
หากว่าเขาทำตามเป้าหมายของเขาสำเร็จจริงๆ…
รอยยิ้มได้เบ่งบานออกมาจากใบหน้าของซอลจีฮู บางทีอาจจะเพราะเทเรซ่าได้ให้กำลังใจเขา เขาถึงได้รู้สึกมีพลังขึ้นมา
“ขอบคุณนะ”
เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ หลังจากขอบคุณสั้นๆแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ยืนขึ้นนิ่งๆก่อนจะถามออกมา
“ยังไงก็เถอะนะ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นที่วังใช่ไหม?”
“หืม? อ่อ ใช่สิ”
“อ่า ขอบคุณพระเจ้า”
“…ทำไมหรอ?”
เทเรซ่าได้เอียงหัวออกมา เมื่อซอลจีฮูได้ลูบหน้าอกและอธิบายว่าทำไมเขารีบมาที่วัง เทเรซ่าก็ยิ้มแห้งๆออกมา
แต่ว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ดวงตาสีชมพูของเธอได้เป็นประกายขึ้นทันที
“ฉันตกใจมากจริงๆ ผู้บัญชาการแซงตัสพูดเหมือนกับมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ ฉันคิดว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น…”
“ก็นะ มันก็มีปัญหาอยู่จริงๆ”
“ว่ายังไงนะ?”
“อืม ตอนนี้มันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ว่าสำหรับอนาคตแล้วมันเป็นสิ่งที่อาณาจักรต้องเป็นกังวล”
เทเรซ่าได้พูดออกมาอย่างไร้เดียงสาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าไปเลยสักนิด ซอลจีฮูได้กลายเป็นจริงจังขึ้นมา
“อะไรงั้นหรอ? พอจะบอกฉันได้ไหม?”
“ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ว่า…”
“ถึงฉันจะไม่ได้อยู่ฮารามาร์คแล้ว แต่ว่าฉันก็อยากจะช่วยนะ”
เทเรซ่าได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างเขินอาย และรีบกลับมานั่งลง
หลังจากนั้นสิ่งที่เทเรซ่าบอกก็นับว่าเป็นปัญหาจริงๆ ชัดเจนมากว่าฮารามาร์คได้สูญเสียกองกำลังทหารไปอย่างมากในระหว่างสงครามทำให้กำลังรบของพวกเขาหายไปอย่างมหาศาล
พวกเขาจำเป็นต้องเสริมกำลังพลที่ขาดหายไป แต่เนื่องจากจำนวนประชากรที่น้อยอยู่แล้วทำให้พวกเขาอยู่ในจุดเสี่ยง
“ยังไม่หมดเท่านั้นนะ นอกจากทหารแล้ว เราก็ยังขาดฝ่ายบริหารอย่างมากอีกด้วย การที่จะหาผู้ที่ที่มีประสบการณ์มันยากมากๆ…”
นี่ก็นับเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน กองทัพจะแสดงคุณค่าที่แท้จริงออกมาได้ก็ต่อเมื่อเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม แต่ปัญหาก็คือฮารามาร์คไม่ค่อยมีทหารมีประสบการณ์ และการฝึกพวกเขาก็เป็นไปได้ยาก ซอลจีฮูสามารถจะประเมินสถานการณ์ของฮารามาร์คได้อย่างดี
“พวกเรากำลังตรวจสอบเรื่องนี้จากหลายๆแง่มุม เริ่มต้นจากวิธีการระยะสั้นอย่างการลดอายุขั้นต่ำรวมไปถึงวิธีการระยะยาวอย่างการให้กำเนิดบุตร…”
เทเรซ่าได้ถอนหายใจออกมาโดยไม่อาจจะพูดได้จบ จริงๆแล้วอายุขั้นต่ำก็ไม่อาจจะลดลงไปได้อีก แล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีข้อมูลที่จะให้การสนับสนุนการกำเนิดบุตรใดๆเลยด้วย
จะมีพ่อแม่ไหนกันที่อยากจะคลอดลูกออกมาในโลกที่สามารถจะตายได้ในตลอดเวลา?
“มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาโดยที่ไม่อาจจะคิดหาทางแก้ได้เลย เทเรซ่าได้แกล้งทำเป็นสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆชักนำเขาไปสู่บทสนทนาหนึ่ง
“เดิมทีนี่เป็นปัญหาที่อาณาจักรควรจะกังวล แต่ว่า… จริงๆแล้วฉันก็อยากจะขอให้นายช่วย…”
“อะไรหรอ? บอกมาได้เลย”
ซอลจีฮูดีใจขึ้นมา เทเรซ่าได้ดังเลอยู่นานเหมือนกับจะอายที่ต้องขอให้เขาช่วยอีกแล้ว แต่ว่าด้วยการคะยั้นคะยอของซอลจีฮูทำให้เธอค่อยๆพูดออกมา
“เราไปคุยกันที่อื่นก่อนดีไหม?”
“ได้สิ”
ซอลจีฮูได้เดินตามเทเรซ่าออกไปจากห้องบริหาร แต่ว่าทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆเมื่อเดินผ่านห้องอาหารไปถึงมุมที่คุ้นเคย
“เข้ามาสิ”
ที่ๆพวกเขามาถึงก็คือหน้าห้องนอนของเทเรซ่า เนื่องจากว่าเขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงจำมันได้อย่างชัดเจน
“ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ? ไม่ใช่ว่าเรากำลังคุยกันเรื่องการเสริมกำลังทหารหรอกหรอ?”
“อ๊า แผนเสริมกำลังทหารอะไรกัน?”
เทเรซ่าได้สะบัดมือและยิ้มหวานออกมา
“ฉันหมายถึงแผนเสริมฝ่ายบริหารต่างหาก มันจะต้องใช้เวลา แต่ว่ารีบเข้ามาสิ”
จากนั้นเมื่อเธอเข้ามาใกล้ซอลจีฮูเหมือนกับจะดึงเขาเข้าไป
‘แผนเสริมฝ่ายบริหาร?’
ซอลจีฮูได้กรอกตาอย่างตกใจก่อนจะหยุดหายใจ และหน้าแดงขึ้นมาทันที
ต่อจากนั้นซอลจีฮูได้รีบหันหน้าหนีไป แต่ในเวลาเดียวกันเทเรซ่าก็ยื่นมือออกมาคว้าเสื้อของเขาเอาไว้
“อ่า!”
ซอลจีฮูได้รีบวิ่งหนีเต็มกำลังทันที เขาได้ยินเสียงไม่พอใจอย่าง “ให้ตายสิ! เกือบแล้วเชียว!” ดังออกมาไล่หลัง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้หยุดลง เพราะแทนที่เธอจะยอมแพ้ เขากลับรู้สึกได้ว่าเธอกำลังไล่ตามเขามาด้วยความเร็วที่น่ากลัว
แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ใช่คนที่จะถูกไล่ทันได้ง่ายๆ เนื่องจากว่าค่าความคล่องตัวของซอลจีฮูได้เพิ่มขึ้นมาขั้นหนึ่ง หากว่าเขาวิ่งเต็มกำลังจริงๆ แม้กระทั่งเทเรซ่าก็ยากที่จะย่นระยะห่างเข้ามาได้
ดังนั้นเขาจึงวิ่งหนีออกไปจากวัง และพุ่งผ่านมาจนถึงหน้าประตูหลัก…
“ซอลลลล!”
เสียงของเทเรซ่าได้ดังยืดยาวออกมาก่อนที่จะหยุดลงกระทันหัน
ซอลจีฮูได้เหลือบกลับไปมองก่อนที่จะค่อยๆลดความเร็วลง และหันหน้ากลับไปมอง เทเรซ่าได้ก้มหน้าลงสูดหายใจยาวอยู่
ใบหน้าของเธอได้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะราวกับว่าเธอเพิ่งจะเล่นสนุกอะไรออกมา
“ฟู่วว-“
หลังจากนั้นสั้นๆเทเรซ่าก็ยืดหลังขึ้นมามองตรงที่ซอลจีฮู จากนั้นเธอก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“โชคดีนะ”
“เจ้าหญิง?”
“ฉันจะเป็นกำลังใจให้นาย ถ้านายเจอปัญหาก็โทรมาหาฉันนะ ในตอนนั้นฉันจะช่วยนายเอง”
…จริงๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่ซอลจีฮูอยากจะได้ยินมาตลอด การมีคนเข้าใจความรู้สึกของเขามันช่างน่ายินดีจริงๆ
ซอลจีฮูได้ยิ้มตอบกลับไป จากนั้นก็เดินจากไป ในระหว่างเดินผ่านท้องถนนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ใบหน้าของเขาก็แน่วหน้าขึ้นมา
ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องทำตามแผนในอีวาให้สำเร็จ
***
แสงอาทิตย์ยามเช้าได้สาดส่องสลัวลงมาที่เมือง วันนี้เป็นวันที่คาเพเดี่ยมกำลังจะเดินทางไปที่อีวาแล้ว
รถม้าได้รอพวกเขาอยู่ที่ด้านนอก หลังจากขนสัมภาระใส่รถม้าแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่ทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขาที่อยู่ที่วิหาร
เมื่อคืนก่อนซอลจีฮูได้เก็บของของเขามาแล้ว แต่ว่าโชฮง ฮิวโก้ แล้วก็ฟีโซราเป็นคนที่จะเก็บเอาไว้จนถึงนาทีสุดท้ายเท่านั้นถึงจะรีบวิ่งไปเอาของที่วิหาร
‘พวกเขาน่าจะไปเอามาก่อนนะ… มันไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย’
ซอลจีฮูได้บ่นภายในใจ และบอกกับคนขับรถม้า หลังจากผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งสามคนก็ได้กลับมา หลังจากเก็บใส่กระเป๋าและนำขึ้นรถม้าแล้ว ซอลจีฮูก็ได้เสร็จสิ้นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
“ทุกคน… ไม่มีใครลืมอะไรนะ ของทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าแล้วใช่ไหม?”
และเมื่อเขากำลังจะกระโดดขึ้นไปบนรถม้า และปิดประตู จู่ๆเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้และหันกลับไปมองที่สำนักงานคาเพเดี่ยม
จากนั้นเอ
“เดี๋ยวก่อนนนนน!”
พร้อมๆกันกับเสียงคำราม มือเล็กๆก็ได้คว้าประตูเอาไว้
เมื่อซอลจีฮูตกใจมองออกไป เขาก็เห็นหญิงสาวผมสีบลอนด์กำลังยืนหอบหายใจอย่างหนัก บนแผ่นหลังของเธอแบกกระเป๋าไว้อยู่หลายใบ
“คุณมาเรีย”
“ก่อนอื่น- เอานี่ไป-“
มาเรียได้ส่งกระเป๋าออกมาพร้อมเสียงฮึดฮัด หลังจากที่ซอลจีฮูเก็บกระเป๋าใส่รถม้าแล้ว เธอก็ได้พ่นลมหายใจออกมา
“คนนอกมาทำอะไรที่นี่กัน?”
คิมฮันนาห์ที่นั่งมองภาพนี้อยู่ภายในรถม้าได้ถามเยาะเย้ยออกมา
มาเรียได้แค่นเสียงขึ้นก่อนจะหรี่ตาและตอบกลับไป
“คนนอก? ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนในแล้ว”
“อะไรนะ?”
โชฮงได้ถามขึ้นด้วยความสงสัย นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินว่ามาเรียกำลังจะเข้าร่วมทีมพวกเขา
“‘อะไรนะ’ อะไรกัน ตอนนี้ฉันเป็นสมาชิกคาเพเดี่ยมไปแล้ว”
“หลักฐานล่ะ?”
คิมฮันนาหได้ยื่นมือเรียวยาวออกมา
มาเรียได้แค่นเสียงขึ้นและล้วงมือลงไปในกระเป๋า แต่ว่าสิ่งที่ออกมากลับไม่ใช่สัญญา…
“รับไปสิ”
มันคือถุงเงิน
มาเรียได้ทุบถุงเงินลงไปบนฝ่ามือของคิมฮันนาห์ราวกับจะทุบมือเธอให้แหลก คิมฮันนาห์ได้เหลือบมองภายในถุงก่อนที่จะผิวปากออกมาอย่างประหลาดใจ
“นี่มันน่าตกใจจริงๆเลย หากว่าเธอเลือกเซ็นต์สัญญา เธอก็น่าจะได้รับโบนัสสักหน่อยนะ แต่อะไรกันที่ทำให้ยัยหน้าเงินแบบเธอเลือกตัวเลือกนี้ล่ะ?”
“อย่ามาดูถูกนะ เธอคิดว่าฉันจะยอมกลายเป็นทาสกันเรอะ?”
“โอ้?”
“ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ฉันก็กลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งแล้วสินะ อย่างได้ลืมซะล่ะ”
มาเรียได้คำรามออกมาก่อนที่จะรีบกระโดดเข้ามาในรถม้า
ขณะที่ทุกๆคนนอกจากมาเรีย คิมฮันนาห์ และมาเรียเอียงหัวออกมา ซอลจีฮูก็ยื่นมืออกไปด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีต้อนรับนะคุณมาเรีย ผมกำลังรออยู่เลย”
มาเรียได้จับมือเขาและบ่นออกมาเบาๆ
“เชอะ นั่นนายกำลังจะออกรถไปโดยที่ไม่มีฉันอยู่แล้ว”
“ถ้างั้นคุณก็ควรจะมาให้เร็วกว่านี้หรืออย่างน้อยก็ติดต่อเขาก่อนสิ”
“ฉันไม่มีทางเลือก ฉันไตร่ตรองตัวเรื่องจนดึก นี่มันเป็นตัวเลือกที่ยากที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว”
มาเรียได้ส่ายหัวออกมา เมื่อตัดสินจากถุงใต้ตาของเธอ เธอคงจะคิดหนักมาจริงๆ
ยังไงก็ตามใจหนึ่งซอลจีฮูก็สงสัย อีกใจหนึ่งก็ดีใจ เขาไม่รู้เลยว่าอะไรที่กดดันให้มาเรียจนมุมขนาดนี้ แต่ว่าเธอก็เลือกเข้าร่วมคาเพเดี่ยม ในที่สุดทีมของเขาก็มีนักบวชสายรักษาแล้ว
“ว้าว… ยัยสันโดษนี่รู้จักเข้าทีมด้วยงั้นหรอ?”
โชฮงได้หัวเราะออกมาเมื่อเข้าใจสิ่งต่างๆจากบทสนทนาของพวกเขา มาเรียได้หันกลับมาพูดอย่างภูมิใจ
“เธอควรจะยินดีนะ เธอคิดว่ามันง่ายหรอที่จะหานักบวชที่มีความสามารถในการเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแบบนั้นได้… เอ๊ะ?”
เธอได้ชะงักไปก่อนจะพูดได้จบประโยคพร้อมทั้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกตะลึง นั่นก็เพราะว่าซอยูฮุยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังยิ้มให้กับเธออย่างอ่อนโยน
“เอ่อ อืม.. มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว… คาเพเดี่ยมมีมาตราฐานที่สูงมาก… เพราะงั้นฉันก็เลยสนใจ…”
มาเรียได้บ่นพึมพำก่อนจะหยักไหล่ออกมา
ไม่นานนักรถม้าก็เคลื่อนตัว ความเร็วได้ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนพวกเขาผ่านตัวเมืองไปจนถึงหน้าประตูทางออก
ภาพฮารามาร์คได้ค่อยๆห่างไกลออกไป
“นายดูจะเสียใจนะ”
น้ำเสียงของโชฮงได้ดังออกมาในระหว่างที่ซอลจีฮูกำลังจ้องอยู่ที่เมืองที่ในตอนนี้กลายเป็นแค่จุดเล็กๆไปแล้ว ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“มันไม่มีอะไรให้ฉันต้องเสียใจ”
มันก็แค่เขากำลังคิดเรื่องอะไรมากมาย
การได้เจออเล็กซ์กับฮิวโก้ระหว่างทางมาฮารามาร์ค
นอนคืนแรกในพาราไดซ์ที่โรงแรมที่อเล็กซ์แนะนำให้กับเขา
เจอกับดีแลนด์ เข้าร่วมปฏิบัติการของซามูเอลในฐานะคนแบกของ และเข้าร่วมทีมกับคาเพเดี่ยม
และ และ… สิ่งต่างๆมากมายที่ได้เกิดขึ้น
มันมากจนเขานับไม่ไหว ยังไม่หมดเท่านั้น
‘ตอนนี้เจ้าหญิงเทเรซ่ากำลังทำอะไรอยู่นะ?’
เธอคงจะต้องทำงานอยู่แน่ แล้วคุณแอ็กเนสกับคุณซินเซียล่ะ? พอมาคิดดูแล้ว เขาก็ยังไม่ได้กล่าวลากับหัวหน้าหมู่บ้านอาเบอร์ มูโต้เลย อ่อ แล้วคุณมิเกลกับคุณเวโรนิก้ายังสบายดีไหมนะ?
ความคิดมากมายได้เข้ามาในหัวของเขา ในด้านหนึ่งการออกจากฮารามาร์คมันให้ความรู้สึกเหมือนกับเขตพื้นที่เป็นกลาง
มันเป็นที่ที่เขาเติบโตขึ้น
มันเป็นที่ที่เขาได้เจอกับผู้คนมากมาย
มันคือฮารามาร์ค
แต่ว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับอีวามันต่างไปเล็กน้อย หากว่าเขาตื่นเต้นและมีความคาดหวังกับการไปฮารามาร์ค ถ้างั้นตอนนี้เขาก็กำลังรู้สึกมวลท้องและตื่นเต้น
นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา
หากว่าเขตพื้นที่เป็นกลางกับฮารามาร์คเป็นที่ที่เขา ‘พัฒนา’ ถ้างั้นอีวาก็คือสถานที่ที่เขาจะแสดงผลลัพธ์นั้นออกมา
ซอลจีฮูไม่ใช่ชาวโลกหน้าใหม่แล้ว ในตอนนี้เขาอยู่ระดับ 5 เป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงที่ได้รับการยอมรับและเคารพในทุกๆที่
ในตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่ต่างออกไป และความคิดก็ต่างไปแล้วด้วย
“…”
เมื่อฮารามาร์คได้หายไปจนลับสายตา อารมณ์เหล่านี้ภายในใจของเขาก็ค่อยๆลดลงไป
จากนั้นเมื่อซอลจีฮูหลับตาลง อารมณ์ที่คั่งค้างก็ได้ค่อยๆหายไปจนหมดสิ้น
ลาก่อนฮารามาร์ค!