บทที่ 244 – เมืองแห่งอนาธิปไตย (1)
สภาสูงคือแปดองค์กรที่ควบคุมอีวาเอาไว้ มันน่าตลกตรงที่สภาสูงนี้ไม่ได้มีราชวงศ์เข้าเกี่ยวข้องเลยสักนิด แต่ว่าคนที่รู้ก็ไม่อาจจะหัวเราะกับมันได้เลย
นั่นก็เพราะว่าการตัดสินใจของสภาสูงนี้จะส่งผลกระทบต่อสถานะการปกครองอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ในวันนี้ภายในห้องลับที่อีวาสภาสูงก็กำลังทำงานกันอยู่เช่นเคย ตอนนี้มีเพียงแค่ตัวแทนเจ็ดคนเท่านั้น แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาเนื่องจากว่าคนที่หายไปเป็นคนที่จะแสดงตัวออกมาเฉพาะเรื่องที่สำคัญเท่านั้น
เป็นธรรมดาที่หัวข้อการประชุมในวันนี้คือเรื่องการเคลื่อนไหวของคาเพเดี่ยม
แน่นอนว่าในฐานะสภาสูงที่เป็นเหมือนกับราชาแห่งฮารามาร์ค การที่พวกเขาจะเมินเฉยต่อคาเพเดี่ยมที่เป็นทีมเล็กๆก็ไม่ได้แปลกเลย สุดท้ายแล้วไม่ว่าทีมคาเพเดี่ยมจะมีมาตราฐานที่สูงขนาดไหน พวกเขาก็ไม่น่าที่จะต่อกรกับองค์กรทั้งแปดได้
แต่ปัญหามันอยู่ที่ซันเหอ
เนื่องจากว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทีมคาเพเดี่ยมกับซันเหอจะเคลื่อนไหวพร้อมๆกันเพราะความบังเอิญเท่านั้น มันเป็นไปได้สูงว่าพวกเขากำลังร่วมมือกันอยู่
และหากว่าทั้งสองนั้นร่วมมือกัน เรื่องราวก็จะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“พวกเขาจะมาแล้ว”
ใครบางคนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“ซันเหอได้ย้ายมาเรียบร้อยแล้ว”
อีกฝ่ายหนึ่งได้เคาะโต๊ะเสริมขึ้นมา
“ในตอนนี้คาเพเดี่ยมก็กำลังเดินทางมาที่นี่… ให้ตายสิ ทำไมพวกเขาถึงไม่อยู่ที่ฮารามาร์คกันล่ะ? ที่นี่มันมีอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องเดินทางไกลมางั้นหรอ?”
น้ำเสียงไม่พอใจได้ดังออกมา และอีกหกคน ไม่สิอีกห้าคนก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน จะมีก็แต่ปาร์คดงชุนที่แกล้งทำเป็นพยักหน้าเพราะบรรยากาศที่พาไป
ในฐานักหัวหน้าองค์กรพ่อค้าดงชุนแล้ว ปาร์คดงชุนก็เป็นสมาชิกของสภาสูงเช่นเดียวกัน ในแง่ตำแหน่งและอำนาจแล้ว เขาก็เป็นหนึ่งในสาม ‘ระดับปานกลาง’
สภาสูงก็มีการแบ่งลำดับชั้นคล้ายกันกับลำดับชั้นภายในองค์กรเช่นเดียวกัน
1 แข็งแกร่ง 3 ปานกลาง 4 อ่อนแอ
จริงๆแล้วมันมีเรื่องน่าตลกที่อยู่เบื้องหลังลำดับชั้นนี้อยู่เช่นเดียวกัน
องค์ประกอบแต่เดิมนั้นคือ 4 ปานกลาง และ 4 อ่อนแอ แต่ว่าในระหว่างที่สององค์กรระดับปานกลาง และสี่องค์กรระดับอ่อนแอได้ก่อตั้งพันธมิตรขึ้นเพื่อคานอำนาจ หนึ่งองค์กรระดับกลางที่เฝ้ามองอยู่เงียบๆก็ได้แอบเอื้อมมือไปทางราชวงศ์เพื่อก้าวไปสู่องค์กรระดับแข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว
ด้วยการสนับสนุนจากราชินี องค์กรระดับแข็งแกร่งก็ได้เริ่มใช้อำนาจที่ทรงพลังนี้ทำให้สององค์กรระดับกลาง และสี่องค์กรระดับอ่อนแอต้องรู้สึกถูกคุกคาม และผนึกกำลังเข้าด้วยกัน
หลังจากที่จับตากันอยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็มาได้ข้อสรุปที่จะแบ่งอีวากัน
ท่ามกลางองค์กรเหล่านี้ องค์กรพ่อค้าดงชุนได้อยู่ในตำแหน่งที่คลุมเครือ พวกเขาเป็นหนึ่งในสององค์กรระดับกลางที่จับตาดูความขัดแย้ง แต่ว่าเมื่อพวกเขากำลังจะแสดงสัญญาณจะเข้าร่วม และต่อต้านองค์กรระดับแข็งแกร่ง องค์กรพ่อค้าดงชุนถูกบังคับให้ไปเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร
และผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือพวกเขาไม่มีทั้งความสัมพันธ์อันดีหรือความสัมพันธ์แย่ๆกับองค์กรไหนเลย
ประเด็นสำคัญก็คือทั้งแปดองค์กรที่ซึ่งเคยกัดกันได้แบ่งผลประโยชน์ออกเป็นแปดส่วน และไม่แทรกแซงพื้นที่ของกันและกัน
แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการแทรกแซงเข้ามาจากภายนอก พวกเขาก็จะร่วมแรงกันต่อต้าน
‘พวกเราได้ทำแบบนั้นมาตลอด แต่ว่าตอนนี้…’
แม้ว่าทั้งแปดองค์กรจะมีความไม่ลงรอยกันอยู่เล็กน้อย แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามา พวกเขาก็จะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดีมาตลอด
ซันเหอกับคาเพเดี่ยม
“อืม… เรามองในแง่ดีหน่อยก็ได้นี่นา ซอลจีฮูจากคาเพเดี่ยมคือชาวโลกที่มีความสำเร็จอันน่าทึ่งเชียวนะ มันไม่มีอะไรรับประกันว่าป้อมปราการไทกอลจะไม่ล่มสลายไปอีก เพราะงั้นการที่คนอย่างซอลจีฮูมาที่นี่มันไม่ควรจะเป็นสิ่งที่เรากังวลที่สุด…”
“แล้วถ้าซันเหอมาที่นี่ล่ะ? ที่นี่ไม่ใช่โลก แต่คือพาราไดซ์ เจ้าพวกนั้นมันก็แค่สุนัขที่หลบหนีมาหลังจากพ่ายแพ้ให้กับซิซิเลียเท่านั้นแหละ…”
ทั้งสองคนได้แสดงความเห็นออกมาในแง่ดี
“มันไม่ได้เรียบง่ายแบบนั้นสิ”
แต่ว่าชายชราคนหนึ่งได้ปฏิเสธออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่ เขาคือคนแรกที่พูดขึ้นมา
“กำลังรบของคาเพเดี่ยมก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าซอลจีฮูคนนี้ก็ยังมีเส้นสายที่ซับซ้อนมากเช่นกัน เริ่มจากบุตรแห่งลูซูเรียไปจนถึงผู้อาวุโสจาง แล้วก็มีกระทั่งยัยคิมคนนั้น…”
น้ำเสียงหม่นหมองได้ดังออกมาจนทำให้ปาร์คดงชุนต้องหันไปมองคนพูด
‘โอมาร์ กราเซีย’
เขาเป็นหัวหน้าของแก๊งโอชัวร์ หนึ่งในองค์กรระดับปานกลาง เขาเป็นคนเม็กซิโกที่มาจากพื้นที่ที่ 4
“แน่นอนว่าในตอนนี้บุตรแห่งลูซูเรียเป็นแค่สัญลักษณ์ที่ไม่มีพลังรบเท่านั้น อาจารย์จางก็ได้เกษียรไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็ยัยจิ้งจอกนั่นก็ถูกไล่ออกจากถ้ำแล้ว… แต่ว่าเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกนั้นก็เป็นภัยเช่นเดียวกัน!”
ภายนอกเขาทำตัวเหมือนกับนักธุรกิจผู้อ่อนโยน แต่ว่าธาตุแท้ของเขาคือปีศาจ
แหล่งรายได้หลักของเขามาจากการค้าทาสที่ปลอมแปลงเป็นธุรกิจ เขาเป็นตัวการสำคัญในการออกคำสั่งจับสมาชิกของสหพันธรัฐโดยที่จะทำตามเป้าหมายให้สำเร็จโดยไม่สนใจวิธีการ
แน่นอนว่าเป้าหมายของเขาก็รวมถึงชาวโลกกับชาวพาราไดซ์ด้วยเช่นเดียวกัน
“เราจะมองข้ามซันเหอไปไม่ได้เหมือนกัน ใช่แล้ว ทุกคนก็รู้ดีนี่ว่าไอ้องค์กรนั่นมันบ้าขนาดไหน”
ปาร์คดงชุนได้กรอกตาหันไปมองชายล้ำบึ้กที่ตัดผมเหมือนกับทหารเรือ
‘สมบัติ ละอองมณี’
เขาคือหัวหน้าของรอยัลพัทยา เป็นอีกหนึ่งในองค์กรระดับกลาง เขาเป็นคนสัญชาติไทยที่มาจากพื้นที่ที่ 5
ละอองมณีเป็นไอ้ชั่วไม่ได้แพ้กับกราเซียเลยสักนิด ในช่วงแรกๆเขาได้ขยายอิทธิพลโดยการให้ชาวพาราไดซ์ที่ยากจนยืมเงิน และเมื่อชาวพาราไดซ์ไม่อาจจะจ่ายหนี้ได้ เขาก็จะเอาชาวพาราไดซ์คนนั้นมาเป็นทาสหรือไม่ก็ลากไปค้ากาม
เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องคนรักเพศเดียวกันพร้อมทั้งมีนิสัยโหดร้ายที่ชอบทรมาณเด็กหนุ่มที่เป็นคู่เซ็กด้วย ยังไงก็ตามความจริงเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันใดๆ
แต่ว่าสุดท้ายแล้วทั้งกราเซีย และละอองมณีต่างก็เป็นไอ้ชั่วอย่างแท้จริง ถึงขนาดว่าเมื่อเทียบกันแล้วปาร์คดงชุนก็จะกลายเป็นนักบุญไปได้เลย
“เราหยุดไม่ให้พวกมันลงทะเบียนเป็นองค์กรไม่ได้หรอ?”
“เราพยายามแล้ว แต่ว่าไอ้เจ้าซอกกูนีร์ได้จัดการเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง…”
ขณะที่การสนทนาได้ดำเนินไปจนกระทั่งปาร์คดงชุนสังเกตว่าสายตาของทุกๆคนตกลงมาที่เขา ละอองมณีกำลังจ้องมาที่เขาจากตรงข้ามของโต๊ะ
“ทำไมนายถึงขายที่ดินผืนนั้นให้พวกมันไป!?”
เมื่อพวกเขาได้สบสายตากัน ละอองมณีก็ระเบิดอารมณ์ออกมา
‘ไอ้เวรนี่…’
มันชัดเจนมากว่าละอองมณีกำลังจะทำอะไร เขากำลังพยายามที่จะโยนความผิดให้ใครสักคนหนึ่ง
แน่นอนว่าเนื่องจากว่าพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบอะไรโดยตรง พวกเขาจึงไม่ได้จะทำอะไรกับปาร์คดงชุน แต่ว่าในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น ละอองมณีก็กำลังแสดงความเห็นให้สภาสูงเปลี่ยนให้เขากลายเป็นแกะบูชายัญ
“คุณจะให้ผมทำยังไงล่ะ? ซอลจีฮูได้เดินเข้ามาที่สำนักงานของฉันพร้อมกับยัยจิ้งจอกนั่นโดยบอกว่าจะซื้อที่ดินของฉัน พูดตามตรงนะนายคิดว่าฉันจะปฏิเสธได้งั้นหรอ?”
ปาร์คดงชุนได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ และประท้วงออกมา พ่อค้าดงชุนเป็นหนึ่งในสามองค์กรระดับกลาง เขามีสิทธิ์ที่จะพูดออกมาได้
“นายจะทำอะไรได้งั้นหรอ? ก็หาข้ออ้างไงล่ะ นายถนัดอยู่แล้วนี่”
“ฮ่าห์ คุณก็พูดง่ายนะ ก็ได้สมมติว่าผมปฏิเสธพวกเขาไป คุณคิดว่าคุณจะทำแบบเดียวกันได้งั้นหรอ?”
“เจ้าโง่! อะไรจะมาบังคับให้เราขายที่ดินออกไปได้!?”
ละอองมณีได้ระเบิดอารมณ์ออกมาจนทำให้ปาร์คดงชุนต้องไอแห้งๆก่อนพูดขึ้น
“ก่อนที่จะมา ยัยจิ้งจอกนั่นรู้อยู่แล้วว่าผมมีที่ดินไว้ขาย”
“พระเจ้า ฉันพนันได้เยว่านายขายมันออกไปเพราะถูกเงินบังตา แล้วที่นี้จะเอายังไงล่ะ?”
ปาร์คดงชุนได้เม้มปากออกมา
“เอาเถอะ ในเมื่อมันกลายเป็นแบบนี้… ทำไมเราไม่รอดูก่อนล่ะ? พวกเราไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับแผนพวกเขาเลยนะ”
“อะไรนะ?”
ละอองมณีที่กำลังจะระบายความโกรธไปที่อื่นได้หันหน้าขวับกลับมาทันที อีกห้าคนที่เหลือรวมถึงตัวปาร์คดงชุนก็พยักหน้าออกมา
รอยยิ้มบางๆได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปาร์คดงชุน
ละอองมณีที่กำลังไม่พอใจก็เอียงหัวออกมา สำหรับซันเหออาจจะปล่อยไว้ก่อนได้เพราะพวกนั้นได้เข้ามาในอีวาแล้ว แต่ว่าทำไมทุกๆคนถึงได้ไม่รู้สึกกดดันถึงการเข้ามาของคาเพเดี่ยมเลยล่ะ?
ในตอนนั้นเองหญิงสาวเพียงคนเดียวในสภาสูงก็ได้หัวเราะเยาะออกมา
“คิคิ พอมาคิดดูแล้ว นายนี่ก็ชั่วเหมือนกันนะ คุณดงชุน”
“อ๊า นั่นมันเป็นการค้าที่ยุติธรรม ไม่ใช่ว่าทุกคนก็พอใจหรอกหรอ?”
“แต่ก็นะ นายคิดยังไงถึงขายที่ดินนั่นออกไปให้พวกเขา ฉันแทบจะรู้สึกผิดแทนเลยนะ”
“พอมาคิดดูแล้ว นายขายมันออกไปได้ยังไงกัน? นี่มันไม่สมกับเป็นยัยจิ้งจอกเลยนะ”
กราเซียก็ยังพูดเสริมขึ้นมาด้วยสีหน้าสนใจอีกคน ละอองมณีที่เริ่มสับสนได้มองสลับไปมาก่อนจะรีบพูดขึ้น
“ดะ เดี๋ยวก่อนสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องเลย”
“นายไม่เคยได้ยินข่าวลือเรื่องที่ดินนั่นหรอ?”
เมื่อหญิงสาวได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ละอองมณีก็ถามออกมา
“ที่ดินต้องสาปนั่นน่ะ รู้ไวเลยนะว่าทุกๆคนที่เข้าไปจะต้องตาย”
“อะไรนะ? ที่ดินต้องสาม…? โอ้ ที่นั่น! มันไม่ใช่ข่าวลือหรอกหรอ?”
“ไม่ใช่เลยสักนิด มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นนับสิบครั้ง และมีคนนับสิบต้องตายไป ที่นั่นมันไม่มีใครกล้าผ่านมาสี่เดือนล้ว”
เมื่อหญิงสาวได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ ละอองมณีก็ได้แต่นิ่งไป ครั้งแรกมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่ว่านับตั้งแต่ครั้งที่สามขึ้นไปมันก็จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีก
“แต่ว่า… พวกเขาต่างออกไป…”
“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน แม้กระทั่งนักบวชระดับสุงจากวิหารอินวิเดียก็ยังถูกฉีกท้องไปถึงปากเลยนะ”
“โอ้ จริงเหรอ?”
“มันแย่มากที่คุณปีศาจหน้าเงินนั่นพยายามยกที่นั่นให้ฉัน! เขาได้เสนอขายให้ฉันในราคาถูก ฉันก็สสงสัยแล้วก็ค้นคว้าอยู่นาน และก็ได้ข้อสรุปมาว่าที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ดีเลยสักนิด”
เมื่อหญิงสาวได้เหลือบมองไปข้างๆ ปาร์คดงชุนก็แอบหลบสายตาออกไป และละอองมณีก็มองปาร์คดงชุนแบบใหม่
“นายขายมันออกไปจริงๆงั้นหรอ?”
“ก็แน่นอนสิ คุณคิดว่าผมจะพูดว่าขายมันออกไปโดยที่ไม่ได้ขายมันได้งั้นหรอ?”
ปาร์คดงชุนได้ตอบกลับไปสั้นๆก่อนที่จะโยนกระดาษออกไป เมื่อละอองมณีได้เห็นสัญญาซื้อขายอย่างถูกต้องก็ถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมา
“ว้าว~ นายก็ไม่ได้เสียเปรียบเลยนี่”
“ไม่เสียเปรียบงั้นหรอ? คุณรู้ไหมว่าผมต้องเสียไปกี่เหรียญทองกัน?”
“ถ้าข่าวลือมันเป็นเรื่องจริง ถ้างั้นก็ไม่น่าจะมีใครซื้อที่นั่นใช่ไหมล่ะ?”
ละอองมณีได้หัวเราะออกมาก่อนจะโยนกระดาษกลับไป
“แล้วนายขายไปได้ยังไงล่ะ? ขายให้กับยัยจิ้งจอกนั่นน่ะ”
“อ่า ก็นะ มันก็ไม่ได้ยากนักหรอก”
ปาร์คดงชุนได้ผิวปากและพูดขึ้น
“เธอเพิ่งจะถูกเตะออกมาจากซินยองได้ไม่นาน เพราะงั้นแล้วเธอจะมีอำนาจภายในคาเพเดี่ยมได้ยังไงกันล่ะ? มันดูเหมือนกับว่าเธอแค่กำลังมองหาโล่คุ้มกันเท่านั้นแหละ เพราะงั้นผมก็เลยใช้ซอลจีฮูเอาชนะไงล่ะ?”
“ซอลจีฮู?”
“ถูกแล้วล่ะ ก็แค่ยกยอเขาสักหน่อยก็เรียบร้อยแล้ว ผมอยากจะให้พวกคุณได้เห็นหน้ายัยจิ้งจอกซะจริง”
ปาร์คดงชุนได้กางมือออกมาและหุบลงจนทำให้ละอองมณีระเบิดหัวเราะออกมา คนรอบๆข้างก็เช่นเดียวกัน
“เชี้ย นายมันขี้โกงจริงๆเลย! นายนี่มันน่ากลัวที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว”
ละอองมณีได้หัวเราะออกมา และมองไปรอบๆห้อง สีหน้าของพวกเขาดูสดใสกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก
“อ่า พวกนายควรจะบอกฉันก่อนนะ! ทุกๆคนดูหดหู่มากจนฉันคิดว่าเราแย่แล้วซะอีก!”
“แต่ว่าเรื่องที่พวกเขามาที่นี่ก็ยังเป็นความจริง”
นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ หลังจากที่ได้ดื่มน้ำผึ้งอยู่นาน หากว่ามีคนอื่นมาขอแบ่งก็จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ
“ยังไงในเมื่อมันไม่มีอะไรที่เราทำได้เลย เพราะงั้นการจับตาดูพวกเขาก่อนก็ไม่ได้แย่นะ… อย่างน้อยก็สักสองสามเดือน”
ปาร์คดงชุนได้แนะนำออกมาพร้อมเหลือบมองไปรอบๆห้อง จากนั้นริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นเป็นรอยแสยะยิ้มน่ากลัว
“…พวกนายคิดยังไงล่ะ?”
“ถ้ามันแค่สามเดือน…”
ละอองมณีได้ตอบกลับไปพร้อมทั้งลุกขึ้นยืน เขาได้ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและเดินออกไปจากห้อง
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ เรายังไม่มีเหตุผลอะไรไปขัดขวางพวกเขา เพราะงั้นตอนนี้แค่จับตาไว้ก็พอ”
กราเซียก็ยังลุกขึ้นยืน เมื่อการประชุมได้ปิดตัวลง ปาร์คดงชุนก็แอบยิ้มพอใจอยู่กับตัวเอง
***
ในเวลาเดียวกัน
“ดูสิ พวกเราเกือบจะเสร็จแล้ว… หืม?”
คนงานพาร์ทไทม์ที่กำลังยืดหลังและเช็ดเหงื่ออยู่ จู่ๆก็เบิกตากว้าขึ้น
ฟุบ ฟุบ! ไม้กวาดกำลังขยับกวาดสวนด้วยตัวมันเองอยู่
“เอ๋!?!?!”
คนงานตกใจมากจนขยี้ตาและเพ่งมองอีกครั้งหนึ่ง
“?”
และไม้กวาดก็กำลังพิงกำแพงราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“อะไรกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของเขา เพื่อนร่วมงานคนอื่นก็รีบวิ่งเข้ามา
“นะ นั่น…”
“ไม้กวาด? ไม้กวาดทำไม?”
เขาได้พึมพำกับตัวเองว่า “ฉันตาฝาดไป?” และเอียงหัวออกมา
“ไม่หรอก… ฉันเห็นมันจริงๆ…”
“ชิ จู่ๆนายมาพูดอะไรกัน…”
เพื่อนร่วมงานได้เดาะลิ้น และลูบหลังของเขา
“ถ้านายเหนื่อยก็ไปพักซะ เราเกือบจะเสร็จงานแล้ว เพราะงั้นอย่ามากวนเรา”
“อืมม”
“การก่อสร้างใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ควรจะพูดแบบนี้ในเมื่อฉันเป็นคนที่สร้างมันขึ้นมา แต่ฉันก็สงสัยว่าพวกเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน….”
เพื่อนร่วมงานได้เดินจากไปโดยทิ้งคำเหล่านี้เอาไว้
‘นี่ฉันตาฝาดเพราะเหนื่อยงั้นหรอ? บางทีฉันควรจะออกไปพักบ้างสินะ’
คนงานได้ยืดตัวตรงพร้อมทั้งเตรียมจะเดินจากไป จากนั้นเองเขาก็ได้รีบหันกลับมาอย่างกระทันหัน
ไม้กวาดยังคงอยู่ที่เดิม
***
คาเพเดี่ยมได้มาถึงอีวาในตอนที่พลบค่ำมากแล้ว
เมืองใหม่ ถนนใหม่ และผู้คนใหม่ๆ ในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ได้มาถึงฐานใหม่ของพวกเขาแล้ว
‘ฮ่าห์…’
ไม่ว่าจะมองดูกี่ครั้ง มันก็ไม่เคยทำให้เขาหายประทับใจเลยสักนิด
จริงๆแล้วเขาได้จินตนาการถึงอาคารสมัยใหม่พอสมควร แต่ว่าคิมฮันนาห์ได้สร้างปราสาทในยุคกลางขึ้นอยู่กลางเมื่อ
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจเมื่อเธอเห็นว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาดูจะตกใจกัน
“นี่คือบ้านหลังใหม่ของคาเพเดี่ยม”
คำว่า ‘บ้านใหม่’ ได้ทำให้ซอลจีฮูขยับตัว ไม่นานนักทุกๆคนก็รีบวิ่งเข้าไปข้างใน คิมฮันนาห์ได้รีบไล่ตามพวกเขาไปพร้อมทั้งส่งกระดาษโดยพูดว่า ‘พวกนายต้องการมัน’
ชัดเจนว่านี่คือแผนที่สำนักงาน
ประตูทางเข้าอันงดงามได้ทำขึ้นจากเหล็กที่เหมือนกับซุ้มประตูของยุคโรมัน เมื่อทีมพวกเขาได้เปิดประตูออก ภาพด้านในก็ได้เผยออกมาให้เห็น
ทางเดินสีขาวที่เชื่อมต่อเข้ากับทางเข้าสำนักงาน สวยสีเขียวดานซ้ายที่ให้ความรู้สึกสดชื่น และทะเลสาบสีน้ำเงินอันงดงามที่ด้านขวาซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้เขียวชอุ่ม
ที่สุดทางเดินได้มีบันไดแยกเป็นสองทางนำทางไปที่ทางเข้าสำนักงาน โดยที่มีต้นบอนไซที่ให้ความสดชื่นขนาดใหญ่ถูกปลูกเอาไว้ตรงกลาง
‘ว้าว…’
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ย่านกลางเมือง แต่ที่นี่ได้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของะรรมชาติ ซอลจีฮูที่ได้กลิ่นหอมอบอวลได้เชิดคางขึ้น
นี่มันคือตึกสิบชั้นแน่หรอ?
หน้าต่างโค้งแนวโรมันที่เรียงแถวได้สะท้อนแสงจนทำให้อาคารให้ความรู้สึกที่งดงามน่าเกรงขาม
แต่ตกแต่งภายในกลับโอ่อ่าอลังการยิ่งกว่าซะอีก ในทันทีที่ซอลจีฮูก้าวเข้าประตูสำนักงานเข้าไป เขาก็คิดว่าเขาอยู่ในห้องเต้นรำโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมทีมของพวกเขาได้เตร่ไปมาเหมือนกับคนเมา ซอลจีฮูก็มองลงไปที่แผนที่
‘ชั้นใต้ดินชั้นที่หนึ่งกับชั้นที่สองเป็นบ่อน้ำพุร้อน ชั้นที่หนึ่งเป็นล็อบบี้…’
หลังจากไปถึงโรงอาหารที่ชั้นสิบ ซอลจีฮูก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
‘ต้องใช้เวลากี่วันกันถึงจะเดินได้ทั่ว’
ซอลจีฮูได้ค่อยๆเดินออกไปพร้อมศึกษาแผนที่ไปด้วย
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?
หลังจากเดินดูทั่วทั้งสิบชั้น ซอลจีฮูก็ได้เดินกลับไปที่ชั้นหนึ่งด้วยสีหน้าอ่อนล้าเล็กน้อย
ความประทับใจแรกที่เขามีต่อบ้านใหม่ก็คือ… เอาเถอะ เขาไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย ทางเดินมันซับซ้อนเกินกว่าจะเดินได้ทั่ว และมีห้องอยู่เยอะเกินไป มันดูจะเป็นที่ที่หลงทางเอาได้ง่ายๆเลย
“เป็นยังไงล่ะ?”
เมื่อเขาเดินกลับมานั่งอยุ่ที่บันไดประตูหน้าเพื่อให้สงบใจเล็ก น้ำเสียงพึงพอใจก็ดังออกมา คิมฮันนาห์ได้เดินออกมาด้วยรอยยิ้มร่าเริงจนซอลจีฮูต้องถอนหายใจออกมา
“ไม่รู้สึก ฉันยังหลงทางอยู่เลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวอยู่ไปนานก็จะชินเอง”
คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะนั่งลงข้างๆซอลจีฮู
“ยังไงก็ตามพวกเราก็มาที่อีวาแล้วจริงๆ”
“ใช่แล้วล่ะ”
“นายจะทำอะไรก่อนล่ะ?”
มันเป็นคำถามที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
ซอลจีฮูได้เล่นกับไข่น้อยในกระเป๋า เขามีเป้าหมายอยู่อย่างชัดเจน แต่ปัญหาคือมีอยู่หลายเส้นทางและหลายความหมายในการไปให้ถึงเป้าหมายนี้
พูดตรงๆแล้วหากว่าเขาไปเดินตามถนนและตะโกนว่า ‘นับจากนี้ฉันคือราชาแห่งอีวา’ เขาก็มีแต่จะถูกมองว่าเป็นคนบ้า
เพื่อจะเป็นตัวแทนของอีวา เขาควรจะทำอะไรล่ะ?
แน่นอนว่านี่ก็คือสิ่งที่คิมฮันนาห์ถามออกมา
“ไม่รู้สิ เธอคิดยังไงล่ะ?”
ไม่ใช่ว่าซอลจีฮูไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าเขาเลือกถามเธอกลับไปแทน เขาอยากจะได้ยินในความคิดของเธอ
คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมา จากนั้นก็พูดขึ้น
“เรียนรู้”
“หืมมม?”
“การได้เห็นแค่ครั้งเดียวมันดีกว่าการได้ยินพันครั้งเป็นไหนๆ มากับฉันสิ”
คิมฮันนาห์ได้ลุกขึ้นและเดินออกไป ซอลจีฮูที่มองดูเธออยู่ได้รีบวิ่งตามไปทันที
***
คิมฮันนาห์ที่กำลังพาเขาเดินอยู่รอบย่านกลางเมือง จู่ๆก็ถามออกมา
“นายรู้จักอีวามากแค่ไหน?”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
“ไม่รู้สิ ที่นี่คงเป็นเมืองของนักบวชล่ะมั้ง?”
“อืมม… ผิดแล้วล่ะ”
คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าและเริ่มเดินต่อ
“นายรู้อะไรไหม?”
“อะไรงั้นหรอ?”
“ที่ว่าพาราไดซ์มีราชินีมากกว่าราชาน่ะ”
ซอลจีฮูได้หรี่ตาเล็กลง คิมฮันนาห์ได้พูดถึงสิ่งที่เขาไม่เข้าใจมากสักพักแล้ว แต่ว่ามันจะต้องมีความสำคัญแน่หากว่าออกมาจากปากของเธอ
“นอกเลือจากที่คาลิโก้กับฮารามาร์คแล้ว เมืองอื่นๆอีกห้าเมืองล้านถูกปกครองด้วยราชินี นายคิดว่ามันเพราะอะไรกันล่ะ?”
“…เพราะสงคราม?”
“ถูกแล้ว”
คิมฮันนาห์ได้ปรบมือออกมา
“สงครามที่ยาวนานไม่เพียงจะลดจำนวนประชากรเท่านั้น แต่ว่ายังส่งผลต่ออัตราส่วนของเพศด้วย มันไม่ใช่แค่เฉพาะสามัญชน แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูงและราชวงศ์อีกด้วย”
คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวออกมาเล็กน้อย
“อืมม- อย่างดีที่สุดอัตราผู้ชายต่อผู้หญิงก็น่าจะเป็น 3.5 ถึง 6.5 แล้วก็คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะถูกนำไปเกณฑ์เป็นทหาร”
คิมฮันนาห์ได้หันหน้าเหลือบไปมองซอลจีฮู
“อีวาก็เป็นเหมือนกัน”
“…”
“ราชินีคนปัจจุบัน ชาร์ล็อตต์ อาเรีย เป็นลูกคนกลางของพี่น้องทั้งสามคน เธอได้สูญเสียพ่อแม่ และน้องชายไปจากการโจมตีของพาราไดซ์ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องเสียพี่ชายไปอีกครั้งจากสงครามกับสหพันธรัฐ ชนชั้นสูงส่วนใหญ่ของอีวาก็ยังตายไป หรือไม่ก็ละทิ้งชื่อและหนีไป”
ก่อนที่เขาจะสังเกต ซอลจีฮูก็ถูกเรื่องเล่าของคิมฮันนาห์ดึงดูดไป
“แน่นอนว่าก็ยังมีชนชั้นสูงที่ยังคงรักษาความภักดีของราชวงศ์จนถึงที่สุดอยู่เหมือนกัน…”
ซอลจีฮูเข้าใจทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงซอกกูนีร์
“ลองคิดดูสิ เมื่อเห็นว่าราชินีวัยเยาว์ถูกทิ้งให้ปกครองเมืองทั้งเมืองเพียงลำพัง ชาวโลกจะคิดว่ายังไงกันล่ะ?”
ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับไป แต่ว่าจากสิ่งที่เขาได้ประสบพบเจอมาตลอดทำให้เขาพอจะเดาคำตอบได้แล้ว
คิมฮันนาห์ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุดเธอก็เล่าเรื่องราวต่อไปด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“พูดตามตรงแล้ว… ฉันอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับนายหลังจากที่เรามาที่อีวา”
เธอได้หมุนตัวกลับมาจ้องหน้าซอลจีฮู ก่อนจะก้าวถอยไปและถามออกมา
“ฮารามาร์คเป็นยังไงล่ะ?”
นี่มันหมายความว่ายังไง?
“ฮารามาร์คถูกรู้จักกันในชื่อเมืองแห่งอาชญากรรม แต่ว่านายรู้สึกแบบนั้นไหมล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วออกมาก่อนจะส่ายหัว
ฮารามาร์คครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่เลวร้ายที่สุด ขาวพาราไดซ์กับชาวโลกได้ปะทะกัน และชาวโลกก็มีส่วนร่วมในการฆาตกรรมชาวโลกคนอื่น
แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนซอลจีฮูจะเข้ามาในพาราไดซ์
หลังจากความขัดแย้งภายในสิ้นสุดลง ฮารามาร์คได้รีบสร้างเสถียรภาพขึ้นมา ราชวงศ์ได้ทำการเจรจากับกลุ่มกบฏ และซิซิเลียได้กลายเป็นคู่ค้ากับราชวงศ์เพื่อช่วยควบคุมชาวโลกทั้งหมดในเมือง มันถึงขนาดที่ชาวโลกจะวิ่งหนีไปในทันทีที่เห็นแอ็กเนส และซันเหอถูกกดดันให้ย้ายออกมา
หรือก็คือราชวงศ์ได้ควบคุมสถานการณ์อย่างเชี่ยวชาญ โดยที่ความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นได้เพราะซิซิเลียได้รักษาเกียรติตามข้อตกลงกับราชวงศ์
“มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสงครามชั่วนิรันดร์ สงครามจะต้องสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะเป็นการทำลายล้างหรือการสร้างสรรค์ก็ตาม”
พอมาคิดแบบนี้ดูแล้วก็พูดได้ว่าสงครามความขัดแย้งภายในฮารามาร์คได้จบลงอย่างสร้างสรรค์
แล้วถ้างั้นอีวาล่ะ?
“แล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือ…”
คิมฮันนาห์ได้หันกลับไปข้างหน้าก่อนจะพูดต่อ
“มันไม่ใช่ว่าทุกๆราชวงศ์จะมีอำนาจเหมือนกับเจ้าหญิงเทเรซ่าและราชาฟีไฮ”
น้ำเสียงของเธอได้เย็นชายิ่งขึ้น
จากนั้นเธอก็หยุดลงอย่างกระทันหัน ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนที่จะรู้สึกตัวขึ้น
ผู้คนโดยรอบๆ สภาพแวดล้อมรอบๆ ไม่สิ…
“ดูให้ดีนะ”
สภาพแวดล้อมของซอลจีฮูได้เปลี่ยนแปลงไปในทันทีราวกับเป็นเรื่องโกหก
เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้เดินไปไหนไกลเลย แต่ว่า…
“ภาพๆนี้…”
เมื่อมองไปรอบๆอย่างสับสน…
“…คือโฉมหน้าที่แท้จริงของเมืองที่นายอยากจะกลายมาเป็นราชานั่นแหละ”
ซอลจีฮูก็ถึงกับพูดไม่ออก