บทที่ 245 – เมืองแห่งอนาธิปไตย (2)
ท่ามกลางท้องฟ้าที่ถูกย้อมไปด้วยสีของดวงอาทิตย์ได้หายไป และถูกความมืดมิดเข้าปกคลุมจนกลายเป็นกลางคืน
ซอลจีฮูได้มองดูส่วนของเมืองที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจากแสงอาทิตย์ที่หายไป
‘ที่นี่…’
มันที่ไหนกัน? ทำไมมันถึงเละเทะแบบนี้?
ซอลจีฮูได้ยืนนิ่งกับที่อยู่นานก่อนจะเดินออกไปข้างหน้าอย่างโซเซราวกับเขาเป็นคนเมาค้าง
ภาพมากมายได้ผ่านเข้ามาในสายตาของเขา คู่แม่ลูกตัวสกปรกที่นั่งอยู่ข้างถนนพร้อมกับกระป๋องใบเล็กๆตรงหน้า และชาวโลกที่เดินผ่านพวกเขาไปอย่างไม่แยแส
ผู้เป็นแม่ได้เงยหน้ามองดูชาวโลกที่เดินผ่านไป เด็กชายที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนให้ชายคนหนึ่งคืนของเขากลับมา และชาวโลกที่เตะเด็กชายไปอย่างขยะแขยง
หญิงชราที่สะบัดแขนไปมาในระหว่างที่ถูกชาวโลกจิ๊กผมดึงไป
ชาวโลกที่คำรามใส่หญิงสาวให้ชำระหนี้ของเขามา ชาวโลกที่ทำร้ายหญิงสาวชาวพาราไดซ์ที่ร้องเรียกหาแม่ของเธอ
ชาวโลกที่ยืนตรงหน้าตู้กระจกโดยไม่สนใจความวุ่นวายโดยรอบ และมองดูร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวภายในตู้กระจก
หญิงสาวชาวพาราไดซ์ที่ขายตัวเองให้กับลูกค้าจนต้องทนกับสายน่าสกปรกและการลูบคลำอันน่าขยะแขยง
“!”
จู่ๆซอลจีฮูก็นิ่งไปกับที่ เขาได้หันไปมองที่ตรอกมืดๆมุมหนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็ได้เต็มไปด้วยความสงสัยในทันที
มีร่างเล็กๆที่เป็นศพไหลออกมาจากถังขยะจนตกลงไปที่พื้น
สายตาของซอลจีฮูได้สั่นไหวออกมา ไม่ว่าเขาจะมองมันยังไง นั่นก็เป็นศพที่ตายมานากว่าสองสามเดือนไปแล้ว
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังออกมาพร้อมๆกับเสียงตบดังสนั่น แต่ว่าก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจกับเสียงอันน่าหวาดกลัวนี้เลย
กลับกันมีแต่เสียงหัวเราะเท่านั้นที่ดังยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวกเขาไม่สนแม้กระทั่งกลิ่นของศพที่เหม็นเน่า และเพลิดเพลินไปกับชีวิตยามค่ำคืนอันบ้าคลั่ง
ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังฝันไปอยู่
‘อันไรกัน?’
ที่นี่ไม่มีทั้งศีลธรรมและสิทธิมนุษยชน
‘นี่ฉันกำลังดูอะไรอยู่?’
มีเพียงแค่การกระทำตามอำเภอใจที่สวมหน้ากากคำว่าอิสรภาพเท่านั้นเอง
“นี่มันบ้าอะไรกัน…!”
ซอลจีฮูได้ส่งเสียงออกมาก่อนที่จะเงียบลงไปโดยไม่รู้ตัว นั่นก็เพราะว่าเข้าจำได้ว่าคิมฮันนาห์ได้บอกกับเขาว่าไม่ใช่ว่าทุกราชวงศ์จะมีอำนาจ
เขาเอาแต่มองดูความสำเร็จของชาวโลกที่เข้ามาเท่านั้น เขาไม่เคยดูความล้มเหลวที่ชาวโลกไดด้ทำอะไรเลย เขามันทึ่มสิ้นดี
นี่มันไม่ควรที่จะเป็นเหตุผลที่พวกเขาสร้างองค์กร นี่มันไม่ควรเป็นเหตุผลที่พวกเขาเข้ามาในพาราไดซ์ แต่ว่า… เรื่องพวกนี้มันได้เกิดขึ้นตรงหน้าเขาแล้ว
“นี่คือเหตุผลง่ายๆที่ทำให้อีวาเป็นเมืองที่นิยมสำหรับชาวโลก”
เสียงของคิมฮันนาห์ได้ดังออกมา
“นั่นเพราะที่นี่เป็นเมืองที่ค่อนข้างจะปลอดภัย มันอยู่ห่างไกลจากเขตแดนของปรสิต และยังมีป้อมปราการไทกอลอันมีชื่อเสียงเป็นด่านหน้า ถึงแม้ว่าป้อมปราการนั่นจะเคยถูกพิชิตมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม”
“…”
“ที่นี่มีภัยคุกคามที่น้อยมาก เพราะงั้นแล้วชาวโลกจึงแห่กันมาที่นี่เป็นรองจากสกีเฮราซาร์ด ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังจะได้เห็นสหพันธรัฐอีกด้วย”
ซอลจีฮูได้เงียบลงไป แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ยังพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ที่นี่คืออีวา เมืองที่มีองค์กรมากมายทำงานร่วมกันเพื่อปิดตาราชินีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และรีดเค้นผลประโยชน์ออกมาให้มากที่สุด”
“…คนพวกนี้”
ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่น
“ทำไม… ทำไมพวกเขาถึงได้เข้ามาในพาราไดซ์…?”
น้ำเสียงของเขาได้เต็มไปด้วยความสั่นเทา
คิมฮันนาห์ได้หันสายตาออกไปมองดูเด็กชายที่คลานอยู่บนพื้น…
“นายจะไถเงินได้”
…มองดูหญิงชราที่กรีดร้องอยู่กับพื้น
“นายจะขโมยเงินได้”
…และมองดูหญิงสาวชาวพราไดซ์ที่ถูกดึงผม
“และนายก็หาเงินได้”
ต่อจากนั้นเธอก็หันมามองซอลจีฮู และหยักไหล่ออกมา
“แล้วก็นะคนส่วนใหญ่ที่นี่จะวิ่งหนีไปในทันทีที่ราชวงศ์ได้มีโองการเกณฑ์ทหารมาทำสงคราม”
“หากว่าพวกเขาเข้ามาในพาราไดซ์-!”
ซอลจีฮูได้ตะโกนออกมา ประกายไฟได้ปรากฏขึ้นที่สายตาของคิมฮันนาห์ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น
จริงๆแล้วคำตอบที่เธอหวังไว้ก็คือ ‘มันไม่มีเหตุผลให้ทำถึงขนาดนี้เลย!’ แต่การตอบกลับของซอลจีฮูต่างจากที่เธอคาดไว้มาก
‘…หากว่าพวกเขาเข้ามาในพาราไดซ์’
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ซอลจีฮู ชาวโลกที่กำลังละทิ้งหน้าที่ ละทิ้งชาวพาราไดซ์ที่น่าสงสาร และทำให้เมืองอันน่าอัศจรรย์ต้องกลายสภาพไป
‘ก็ไม่สำคัญหรอกนะ’
คิมฮันนาห์ได้ทำตามเป้าหมายสำเร็จแล้ว
นี่คือเหตุผลที่เธอพาซอลจีฮูมาที่นี่ในวันแรก เมืองแห่งอนาธิปไตยนี้ได้เต็มไปด้วยความครื้นเครงและความบันเทิงที่ทุเรศ เมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรในอีวาทั้งแปด มันได้แสดงให้ชัดว่าไม่มีพื้นที่เหลือไว้ให้สำหรับซอลจีฮู
แต่แน่นอนว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้มาที่อีวาเพื่อขอที่นั่ง ไม่เลย เขามาเพื่อกลืนกินทุกอย่างลงไป และเพื่อจะทำแบบนั้น เขาจะต้องผลักดันองค์กรทั้งแปดออกไป
นั่นมันหมายความว่าเขาจะต้องคิดว่าองค์กรทั้งแปดคือศัตรู
‘นี่ก็น่าจะพอแล้วล่ะ แต่ว่า…’
คิมฮันนาห์ได้ตัดสินใจจะกระตุ้นเขาอีกหน่อย เธอรู้ที่ที่มีความขัดแย้งกับสิ่งที่ซอลจีฮูอยากจะทำให้สำเร็จอย่างชัดเจนอยู่ ไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่าที่นี่ที่จะกระตุ้นเขาอีกแล้ว
“ไปกันเถอะนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็หันไปจ้องคิมฮันนาห์ สีหน้าของเขาแข็งกระด้างอย่างน่าหวาดกลัว
“เรามีของที่ต้องซื้อเหมือนกัน”
“คิมฮันนาห์”
“ใครจะไปรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกกัน?”
คิมฮันนาห์ได้มองสำรวจซอลจีฮูจากบนลงล่าง
“อย่างน้อยนายก็ต้องมีชุดเกราะดีๆไม่ใช่หรอกหรอ?”
เมื่อได้ยินถึงความตั้งใจของเธอ ซอลจีฮูก็กลืนคำพูดลงไป
“นายไม่ต้องห่วงเรื่องเงินหรอกนะ ด้วยชื่อของฉันแล้วการมัดจำเอาไว้ก่อนก็ไม่มีปัญหาหรอก พวกเราแค่ไปเลือกของที่ต้องการก็พอแล้ว”
คิมฮันนาห์ได้เหวี่ยงกระเป๋า และยิ้มหวานออกมา
“นายยังจำเรื่องที่ฉันบอกนายในสกีเฮราซาร์ดได้ไหม?”
***
คิมฮันนาห์ได้เดินตัดผ่านถนนยามค่ำคืนเพื่อนำทางซอลจีฮูไปอาคารซอมซ่อในเขตชานเมือง
ภายนอกที่แห่งนี้ดูเหมือนคฤหาสน์ล้าง แต่ว่าจริงๆแล้วมันคือโรงประมูล มันไม่ใช่โรงประมูลเป็นทางการ แต่ว่าเป็นโรงประมูลสำหรับ VIP ที่ใช้สำหรับเป็นตลาดมืด
เมื่อคิมฮันนาห์ได้เดินมาถึงอาคาร ยามทั้งสองคนที่ยืนอยู่ที่ทางเข้าก็เดินออกมา
“ต้องขออภัยด้วย แต่ว่าวันนี้ทางเข้าถูกปิดแล้ว การประมูลได้กำลังดำเนินการอยู่”
“ฉันรู้”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขึ้นพร้อมตอบกลับไปว่า “พวกเราไม่ได้มาเข้าร่วมการประมูล แต่มาเจอคนๆหนึ่ง”
จากนั้นเธอก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋า และหยิบมันออกมา เธอได้แสดงบางอย่างให้ยามเห็น แต่ว่าซอลจีฮูที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอมองไม่ชัดเลย
สิ่งที่เขาเห็นก็คือท่าทีของยามได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
“ต้องขออภัย ผมควรจะบอกว่าใครมาครับ?”
“บอกเขาไปว่าจิ้งจอกมาแล้ว”
ยามทั้งสองคนได้ผงะไป แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น
“คุณมาทำอะไร…”
คิมฮันนาห์ได้กระซิบเบาๆ
“…ได้โปรดรอสักครู่”
ยามคนหนึ่งได้เดินออกไปไกลเพื่อใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อหาใครบางคนก่อนจะพยักหน้าออกมา
เขาได้เดินกลับมา และพูดขึ้น
“เขาบอกว่าเขาจะพบคุณครับ”
“ฉันต้องไปที่ไหน?”
“อ่า ถ้าคุณไม่ว่าอะไรช่วยรอสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมครับ? เขากำลังอยู่ระหว่างการฝึก”
“การฝึกงั้นสินะ”
คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา
“ก็ได้นะ อ่า พวกเราขอไปดูการประมูลสักเดี๋ยวได้ไหม? การยืนเฉยๆตั้งครึ่งชั่วโมงมันน่าเบื่อตายชัก”
“หากว่าแค่ดูก็ได้ครับ ให้ผมนำทางไหม?”
“ไม่เป็นเลย ฉันเคยมาก่อนหน้านี้สักสองสามครั้งแล้ว”
“ถ้างั้นผมจะกลับมาในอีกยี่สิบนาทีนะครับ”
ยามได้โค้งคำนับออกมา คิมฮันนาห์ได้จับมือของซอลจีฮูที่กำลังสับสน และดึงมือเขาเข้าไปข้างใน
ภายในอาคารได้เต็มไปด้วยบรรยากาศร้อนอบอ้าว ทุกๆครั้งที่เขาหายใจเขาจะรู้สึกถึงความร้อนแสบจมูกแปลกๆ
ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ดึงม่านสีดำและเดินเข้าไปในแหล่งที่มีความร้อนออกมา
มีคนนับสิบนั่งอยู่บนบันไดอัฒจันทร์หน้าเวที พวกเขากำลังดื่มไวน์ กินอาหาร หรือไม่ก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาเบาๆ ทุกๆคนต่างก็ใส่หน้ากากและสวมฮูดเป็นอย่างดี
การประมูลกำลังดำเนินงานอยู่เหมือนอย่างที่ยามได้บอกเอาไว้จริงๆ
“นี่คือของชิ้นต่อไป-!”
พิธีกรได้ยืนอยู่บนเวทีได้ยกแขนพร้อมทั้งส่งเสียงดังกังวาลออกมา
ต่อจากนั้น…
“มันคือ- แฟรี่ท้องฟ้า!”
ซอลจีฮูถึงกับสงสัยในสิ่งที่เขาได้ยิน เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อได้เห็น ‘สิ่งของ’ ที่ถูกเอามาตรงหน้าเวที
“ผมจะขออธิบายสั้นๆนะครับ แฟรี่ท้องฟ้าเพศช้าจะหาได้ยากมากๆ ผมมั่นใจมากว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าแฟรี่ท้องฟ้าเพศชายในวัยรุ่นนั้นจะเป็นเหมือนกับสมบัติแม้ว่าจะอยู่ในเผ่าพันธุ์ของตัวเองก็ตาม!”
คำพูดของพิธีกรไม่ได้เข้าหูซอลจีฮูเลยสักนิด สายตาของเขาได้จับจ้องอยู่ที่แฟรี่ท้องฟ้าหนุ่มที่กำลังร้องไห้ พร้อมทั้งถูกโซ่ล่ามขากับคอเอาไว้
คนๆหนึ่งได้ชูมือขึ้นมา จากแขนเรียวบางแล้ว คนๆนี้จะต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน
เมื่อเธอได้ใช้นิ้วชี้กวักมือ พิธีกรก็ได้ผลักแฟรี่ท้องฟ้ามาด้านหน้า มือของหญิงสาวได้ค่อยๆลูบไล้ตามร่างกายของแฟรี่จนทำให้เขายิ่งตัวสั่นมากขึ้น
ยิ่ง ‘สิ่งของ’ ได้แสดงปฏิกิริยาขยะแขยง หญิงสาวก็ยิ่งกลายเป็นหัวเราะตื่นเต้นและรุนแรงขึ้นเท่านั้น
ในตอนนั้นเองชายอ้วนเตี้ยก็ได้ยกมือขึ้นมา
เสียงหัวเราะได้หยุดลงไป จากนั้นพวกเขาก็ได้เสนอราคาแข่งกันอย่างดุเดือดก่อนที่พิธีกรจะพาแฟรี่ท้องฟ้าออกไป
หญิงสาวได้ถ่มน้ำลายลงพื้น และนั่งกลับลงไปอย่างไม่พอใจ
การได้เห็นฉากทั้งหมดนี้ได้ทำให้ซอลจีฮูอ้าปากค้างออกมา วิญญาณของเขาดูจะหลุดจากร่างไปแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นการค้าทาส
“คิมฮัน-“
“ผมมานำทางแล้วครับ”
คำพูดของซอลจีฮูได้ถูกยามที่กลับมาอย่างพอดีขัดเอาไว้
“ได้ ไปกันเลย”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขึ้น และคล้องแขนกับซอลจีฮู
ซอลจีฮูรู้สึกได้ถึงแรงกดที่แขนของเขา ซึ่งสื่อว่าคิมฮันนาห์กำลังบอกให้เขาอยู่เฉยๆ
ซอลจีฮูไม่อาจจะละสายตาไปจากเวทีได้เลย แต่ว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไปพร้อมกับคิมฮันนาห์
เมื่อเขาได้เดินผ่านม่านดำอีกครั้ง เขาก็รู้สึกตัวว่าลมหายใจของเขามันยากยิ่งกว่าเดิม หัวใจของเขาก็ยังเต้นเร็วกว่าปกติอยู่หลายเท่า
ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่นพร้อมทั้งพยายามสูดหายใจ ในตอนนี้เขาคิดได้แล้วว่าอีวาเป็นสถานที่แบบไหน เขาคิดว่ามันไม่มีอะไรให้เขาตกใจไปกว่านี้อีกแล้ว
ยังไงก็ตามความคิดของเขาก็ต้องพังลงเมื่อเขาได้มาถึงชั้นใต้ดินจากการนำของยาม
“หลังจากที่ใส่เสื้อแล้วเขาจะออกมาครับ การฝึกเพิ่งจะจบลง”
ยามได้โค้งคำนับก่อนที่จะจากไป ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้มองเขาเลยสักนิด
กลิ่นของดอกเกาลัด กลิ่นเหม็นหื่น กลิ่นเลือด และกลิ่นเนื้อเน่า กลิ่นเหม็นทุกชนิดได้อบอวนอยู่ทั้งห้อง
…ไม่สิ กลิ่นเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเขาน้อยที่สุดเลยด้วยซ้ำไป
มีกรงทรงลูกบาศก์อยู่หลายสิบกรง แต่ล่ะกรงต่างก็มีเผ่าพันธุ์ต่างถิ่นถูกขังเอาไว้อยู่
ยังไม่หมดเท่านั้น การได้เห็นโซ่ที่ห้อยออกมาจากกลางเพดานก็ได้ทำให้ซอลจีฮูต้องหยุดหายใจ และเมื่อเขาเห็นก้อนเนื้อที่ห้อยอยู่บนตะขอ เขาก็ตาถลนออกมา
ไม่ว่าเขาจะมองยังไง นั่นมันก็คือศพของแฟรี่ท้องฟ้าที่ถูกจัดการให้เป็นก้อนเนื้ออย่าง ‘เชี่ยวชาญ’
“…”
มันไม่มีคำไหนหลุดออกมาจากปากของเขาอีกแล้ว
ซอลจีฮูรู้สึกคุ้นๆกับฉากนี้มาก่อน มันเป็นในตอนที่เขาแทรกซึมเข้าไปในศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยนดัชชี่ย์หรือเปล่านะ? ตอนนั้นเขาก็เจอฮิวโก้ถูกแขวนเอาไว้แบบนี้เหมือนกัน
“นายเคยได้ยินเรื่องแคปซูลเนื้อมนุษย์ไหมล่ะ?”
แม้กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ก็ยังคงนิ่งสงบ
“ในพาราไดซ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ฉันควรจะพูดว่ายังไงดีล่ะ… ชาวโลกค่อนข้างมีจิตนการกับเผ่าพันธุ์แฟรี่น่ะ”
คิมฮันนาห์ได้หยักไหล่ออกมา
มันอาจจะไม่ถึงขนาดที่เป็นอมตะ แต่ว่าก็มีบางคนที่เชื่ออย่างไร้มูลเหตุว่าเนื้อแฟรี่จะช่วยให้พวกเขาสุขภาพดี หรือกระทั่งมีค่าสถานะพิเศษด้วย แต่คนประเภทนี้ก็มีไม่ค่อยเยอะหรอก”
ซอลจีฮูได้กำหมัดแน่นเพื่อควบคุมความขยะแขยงที่พวยพุ่งออกมา ในอีกด้านหนึ่งอาการคลื่นไส้รุนแรงก็ได้ตีขึ้นมาที่คอของเขา
มนุษย์ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะไปว่าปรสิตได้เลยสักนิด
แค่มองดูการทำงานของมนุษย์ในอาคารนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเหมือนกับคนต่างเผ่าพันธุ์เหมือนกับปศุสัตว์ชัดๆ มันไม่ได้ต่างไปจากที่ออร์คกลายพันธุ์ทำกับมนุษย์เลยสักนิด
ทันใดนั้นเสียงครางเบาๆก็ดังออกมา มันฟังดูเหมือนกับเสียงกระซิบ
ซอลจีฮูได้เดินไปข้างหน้าและขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
ภายในกรงนั้นได้เต็มไปด้วยความน่ากลัวที่ไม่อาจจะอธิบาย เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะทนมองได้เลยสักนิด
แฟรี่ท้องฟ้าเพศหญิงกำลังนอนเกือบหมดสติด้วยสภาพที่เปลือยเปล่า แค่มองที่เธอก็พอจะบอกได้เลยว่าเธอจะเผชิญกับความทรมาณขนาดไหน และ ‘การฝึก’ ที่ยามหมายถึงคืออะไร
ซอลจีฮูได้เผลอจับไปที่กรงโดยไม่รู้ตัว หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะช่วยเธอออกไป
ถึงมันจะสายเกินไปแล้ว แต่ว่าเขาก็อยากจะส่งเธอกลับสหพันธรัฐ
แต่ยังไงล่ะ?
เขาไม่ได้เอาเงินมาด้วยเลย กระทั่งหอกก็ยังไม่มี
“คุณโอเคไหม?”
ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้แต่ถามคำถามโง่ๆออกไป
แฟรี่ท้องฟ้าได้แต่ร้องพึมพำออกมาอย่างตะกุกตะกัก
“ลูก…”
‘ลูก?’
“ลูก… ลูกของฉัน…”
เธอได้มองหาลูกแม้กระทั่งในตอนที่ร้องไห้ไม่หยุด
หากว่าสหพันธรัฐได้มาเห็นแบบนี้ พวกเขาจะคิดว่ายังไงกัน?
“มนุษย์สารเลว”
น้ำเสียงไม่พอใจได้เสียดแทงเข้ามาจากด้านหลังของเขา ที่กรงด้านหลังซอลจีฮูได้เห็นมนุษย์สัตว์กำลังจ้องมาที่เขาด้วยความอาฆาต ตัดสินดูจากหางจิ้งจอกของเธอแล้ว เธอดูเหมือนจะเป็นมนุษย์จิ้งจอก
“เผ่าพันธุ์อันดุร้ายที่เอาแต่แสวงหาความโลภที่ไม่สิ้นสุดของตัวเองทั้งๆที่ยังคงมีภัยคุกคามจากปรสิตปกคลุมอยู่ก็ตาม”
เมื่อซอลจีฮูได้หันไปจบสายตากับมนุษย์จิ้งจอก คำสบถด่ามากมายก็ได้ไหลออกมาราวกับว่าเธอรอเวลานี้มาตลอด ซอลจีฮูอยากที่จะปฏิเสธมัน แต่ว่าเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อเห็นร่องรอยการทรมานอยู่ทั่วร่างของเธอ
“รอก่อนเถอะ ถึงฉันจะตายกลายเป็นวิญญาณร้าย ฉันก็จะ-“
“ไอหย๊าา ยัยบ้านี่เอาอีกแล้ว”
หญิงสาวมนุษย์จิ้งจอกที่กำลังสบถด่าได้สะดุ้งและก้มหน้าลงไป ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมได้ค่อยๆเดินออกมา ดวงตาของหญิงสาวมนุษย์จิ้งจอกได้ฉายแววดุดันออกมา
“แก…!”
“หุบปากได้ไหม? เรามีแค่นะ อยากจะได้รับการฝึกอีกงั้นหรอ?”
“ลองแตะมาที่ตัวฉันสิ! เดี๋ยวนี้เลย!”
“ถ้าอยากจะตายก็เอาเลยสิ แต่ว่าเด็กๆมนุษย์จิ้งจอกตรงนั้นก็จะต้องลำบากแทนเธอ”
ชายวัยกลางคนได้เหลือบมองไปที่กรงใกล้ๆเธอพร้อมทั้งพูดเยาะเย้ยออกมา หญิงสาวมนุษย์จิ้งจอกได้สูดหายใจยาว และเงียบลงไปในระหว่างที่ชายวัยกลางคนหัวเราะออกมา ตัดสินจากการรับมือของเขาแล้ว เขาดูจะเชี่ยวชาญเอามากๆ
คิมฮันนาห์ที่ได้ยินเสียงขบฟันอย่างรุนแรงดังขึ้นก็ถอนหายใจออกมา
“ทำไมนายถึงอยากเจอเราที่นี่ล่ะ? แค่เจอกันที่ห้องก็ได้นี่”
ชายวัยกลางคนได้เบิกตากว้างขึ้นมา
“เธอกำลังพูดอะไรอยู่? เธอบอกว่า-“
ชายวัยกลางคนได้หยุดชะงักไป และหรี่ตาออกมา เขาได้กระพริบตามองดูชายหนุ่มเกาะกรงจ้องอยู่ที่ทาสของเขา
“เขาคือใคร?”
“ผู้ซื้อ”
“โอ้? เขาดูยังเด็กนะ ยังไงก็ตามทำไมเขา-“
ซอลจีฮูได้หันหน้ามาจ้องชายวัยกลางคนอย่างรุนแรง
ชายวัยกลางคนได้สะดุ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มจับกรงแน่น
“ไอหย๊า~ ตาดีนะนี่พ่อหนุ่ม แต่เสียใจด้วยนะ ยัยนี่ไม่ได้มีไว้ขาย เธอเป็นสินค้าชั้นดีเลยนะ มีคนมากมายต่างก็ต่อแถวแย่งเธอกันทั้งนั้น”
‘อะไรนะ?’
“แฟรี่ท้องฟ้าถูกจับได้ง่ายขึ้นในตอนที่พวกเขาสูญเสียพลังภูติ(แก้จากจิตวิญญาณ) ไป เพราะงั้นในช่วงนี้จึงมีแฟรี่ท้องฟ้ามาบ่อยขึ้น แต่ว่ามนุษย์จิ้งจอกน่ะหายากอยู่ตลอดเลย ถ้าอยากจะได้เธอจริงๆล่ะก็ให้มาเข้าร่วมการประมูลคืนพรุ่งนี้สิ”
ซอลจีฮูเข้าใจได้ในทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุผลบางอย่างชายวัยกลางคนกำลังคิดว่าเขาเป็นเหมือนกับคนพวกนั้น
“เอาล่ะๆ อย่าพึ่งอารมณ์เสียไป นายเป็นแขกของจิ้งจอก เพราะงั้นฉันก็อยากจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับนายเหมือนกัน”
ชายวัยกลางคนได้เลียริมฝีปากและพูดต่อมา
“แล้วมีอะไรที่นายสนใจอีกไหมล่ะ? อยากจะได้กลับบ้านหรือทำเป็นยาดีล่ะ? ถ้าต้องการฉันจัดให้ได้เลยนะ”
ชายวัยกลางคนได้พูดออกมาพร้อมชี้ไปที่เนื้อที่ถูกแขวนเอาไว้อยู่
คิ้วซอลจีฮูได้กระตุกขึ้นมา เขาได้จับเอวตามสัญชาตญาณแต่ว่าก็ไม่มีหอกอยู่ เมื่อเขาล้วงมือไปในกระเป๋าก็มีแต่ไข่เท่านั้นเอง
ชายวัยกลางคนได้เดาะลิ้นออกมา
“ฉันบอกแล้วนี่ว่ายัยนี่ไม่ได้มีไว้ขาย ต่อให้จะเสนอเป็นล้านเหรียญทองก็ไม่ขายหรอก ไม่ได้เด็ดขาด เพราะนี่เป็นเรื่องของเครดิตน่ะ”
“…”
“ยังไงก็ตามนอกจากมนุษย์จิ้งจอกแล้วจะเอาอะไรไปก็ได้เลย”
ซอลจีฮูได้หันกลับไปมองกรงด้วยความยากลำบาก
เขาได้มาถึงขีดสุดแล้ว
ขีดสุดของสายในที่ดึงรั้งสติของเขาเอาไว้ได้ตึงขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาได้เห็นสิ่งต่างๆในถนนยามค่ำคืน หากว่ายังคงดึงมันอีกสักนิด มันก็จะต้องขาดลงไป
คิมฮันนาห์ได้รีบส่งสัญญาณทางสายตาให้เขารีบกลับมา จากนั้นเธอก็รีบพูดขึ้น-
“เฮ้”
“ฉันไม่ใช่ผู้ซื้อ”
คำพูดของซอลจีฮูที่กลั้นเอาไว้ได้ระเบิดออกมา
สายตาชายวัยกลางคนได้เบิกกว้างขึ้น
“อะไรนะ”
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้ออะไร ไม่ว่าพวกเขาจะยอดเยี่ยมแค่ไหน มันก็สกปรกเกินไปสำหรับรสนิยมของฉัน”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาทั้งๆที่กัดฟันอยู่ จากนั้นเขาก็รีบเดินผ่านพวกเขา และออกไปจากชั้นใต้ดิน
ชายวัยกลางคนได้หัวเราะแห้งๆออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มหายไป
“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นเด็กหนุ่มขี้หงุดหงิดซะจริง”
“อ่า เฮ้!”
คิมฮันนาห์ได้เรียกเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้สนใจเธอ เขาไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำไป
‘เจ้าพวกเศษสวะพวกนี้…!’
ซอลจีฮูได้เดินออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว เขาอยากที่จะออกไปจากอาคารอันน่าขยะแขยงนี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำไดด้
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้รู้ตัวเลย
ไข่ที่เขาจับมันเอาไว้ได้บิดตัวยื่นหัวออกมาจากกระเป๋า
จากนั้นมันก็เด้งตัวออกมาอยู่บนไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยน และเอียงออกไปข้างหน้า
มันราวกับว่ามันกำลังโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อค่อยๆสังเกตดูใบหน้าที่โกรธแค้นของซอลจีฮู