ตอนที่ 246

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 246 – อีวายามค่ำคืน (1)

ซอลจีฮูไม่ได้กลับไปที่บ้านในทันที

เขาได้เดิน เดินไปเรื่อยๆโดยไร้จุดหมาย

เขาอยากที่จะทำให้ตัวเองใจเย็นลง แต่ยิ่งเขาเดินได้ทั่วมากเท่าไหร่ ไฟภายในใจของเขามีแต่ใหญ่มากยิ่งขึ้น

ซอลจีฮูได้เดินไปทั่วเมือง และสลักภาพที่ได้เห็นเอาไว้ในความทรงจำ

จากนั้นการก้าวเดินที่ไร้จุดหมายของเขาก็ได้มาหยุดลงที่ตรงหน้าวิหาร

วิหารกู่ลา

ซอลจีฮูได้ค่อยๆเดินขึ้นบันไดไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีธุระอะไรให้มาที่นี่ แต่ว่าเขาก็ได้เดินเข้าไปราวกับต้องมนต์

บางทีอาจจะเพราะตอนนี้เป็นช่วงกลางดึกทำให้ที่วิหารว่างเปล่า

ในทันทีที่เขามองเห็นรูปปั้นหนึ่ง ซอลจีฮูก็หยุดลงและโค้งคำนับทันที

เขาได้ทำให้จิดใจของเขาว่างเปล่า ไม่สิ เขาอยากจะทำแบบนั้น

กู่ลาก็ไม่ได้เป็นคนเริ่มพูดก่อน เธอได้ค่อยๆยื่นมือมาลูบหัวของซอลจีฮูอย่างแผ่นเบา

ภายในค่ำคืนอันงดงามนักรบได้ยืนคำนับอยู่หน้ารูปปั้น และเทพธิดาก็ได้ลูบหัวของเขา

ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ? จากสัมผัสอันอ่อนโยนได้ค่อยๆทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเขาช้าลง

ในที่สุดเขาก็ใจเย็นลง

[ไม่ใช่ว่าเราอยากจะเมินมันหรอกนะ]

เมื่อผ่านไปประมาณหนึ่งเสียงของกู่ลาก็ได้ดังออกมา

[มันก็เหมือนกับมนุษย์ที่ถูกผูกมัดได้สัตย์สาบาน พวกเทพอย่างเราก็ถูกผูกมัดด้วยกฏแห่งกรรมที่สร้างโลกขึ้นมา การกระทำอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ต่างไปจากการยื่นดาบให้ราชินีปรสิตเลย]

‘…’

[แน่นอนว่าในตอนที่เราทำอะไรได้เราก็ทำไปแล้ว อย่างการกำจัดพวกเขาผ่านงานจัดเลี้ยง หรือว่า…]

กู่ลาได้หยุดอยู่ครู่หนึ่ง…

[ใช้หอกของเจ้าซะ]

ก่อนที่เธอจะพูดจบประโยคอย่างใจเย็น

[เจ้าคิดไหมว่าทำไมลูซูเรียถึงได้มอบชื่อคลาสนั้นให้กับเจ้า?]

เนเมซิส เทพธิดาแห่งการล้างแค้นที่จะลงทัณฑ์ผู้ที่ล้ำเส้นไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่วร้ายก็ตามที

ชาวโลกได้ล้ำเส้นมานานแล้ว และซอลจีฮูก็คือหอกของกู่ลา

[ลูกข้า เรามีเวลาไม่มากแล้ว ราชินีปรสิตกำลังวางแผนอีกครั้ง]

[แผนที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าสงครามหุบเขาอาร์เดน…]

ตามปกติแล้วซอลจีฮูจะไม่เข้าใจในถ้อยคำอันคลุมเครือของกู่ลาเลย แต่ว่าในคราวนี้เขาได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้

‘พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว’

มันชัดเจนมากว่าภัยของปรสิตได้เข้ามาประชิดตัวพวกเขาแล้ว สิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่ในตอนนี้มันไม่ควรค่าให้ไปเสียเวลาคิดเลย

[เจ้ากำลังรออะไรอยู่อีกล่ะ?]

ซอลจีฮูได้หลับตาลง และส่ายหัวออกมา

[ขนนกสามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้เล็กน้อย]

น้ำเสียงกู่ลาได้ดังออกมาอย่างสงบ…

[แต่ว่าแค่การยกเท้าของยักษ์สามารถที่จะสร้างสึนามิขึ้นได้…!]

ทันใดนั้นน้ำเสียงของเธอก็กลายเป็นดุดันขึ้น

[ไปซะ!]

น้ำเสียงของกู่ลาได้ดังก้องอยู่ในหัวของเขา และซอลจีฮูก็ตัวสั่นขึ้นด้วยความตื่นเต้น เลือดที่ไหลอยู่ภายในตัวของเขาได้กลายเป็นเดือดพล่านขึ้นมา

[ไป…]

ในท้ายที่สุด…

[และทำตามประสงค์ของนามเนเมซิส!]

ยักษ์ที่หลับไหลได้ตื่นขึ้นมาแล้ว

***

คิมฮันนาห์ที่กำลังนั่งอยู่ที่ล็อบบี้ได้เงยหน้าขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงเท้าดังมาจากทางเข้า

“เฮ้!”

ทันทีที่เธอเห็นซอลจีฮูเดินเข้ามาแต่ไกล เธอก็พุ่งออกจากเก้าอี้ทันที

“นายไปอยู่ไหนมา!?”

“ห้องสมุดกับร้านค้า”

“ถ้างั้นก็บอกกันก่อนสิ การไปคนเดียว…”

“คิมฮันนาห์”

ซอลจีฮูได้ขัดเธอ ก่อนจะพูดต่อทันที

“เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองนี้อยู่ใช่ไหม?”

คิมฮันนาห์ได้ผงะไปกับน้ำเสียงอันนิ่งสงบของเขา

“เตรียมจัดทำรายงานทั้งหมดเกี่ยวกับองค์กรที่ทำให้อีวาวุ่นวาย อย่าได้พลาดรายละเอียดไปแม้แต่นิดล่ะ”

“…หืม?”

“แล้วก็นอกจากอาจารย์จางกับพี่สาวยูฮุยแล้ว ช่วยเรียกตัวทุกๆคนที่มีระดับ 4 หรือสูงกว่านั้นมาเดี๋ยวนี้เลยด้วย”

ซอลจีฮูได้ทิ้งคำพูดเหล่านี้ไว้ และเดินขึ้นบันไดไป

“อ่า”

คิมฮันนาห์ที่ตกตะลึงจู่ๆก็รู้สึกว่าเธอพลาดอะไรไป เธอได้คิดขึ้นทันทีว่า ‘ไม่มีทาง’ และรีบไล่ตามเข้า แต่ว่าก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ซอลจีฮูได้เข้าไปสวมเกราะในห้องซึ่งเป็นของราคาถูกที่หาได้ง่ายๆตามร้านค้า

เมื่อมั่นใจถึงข้อสงสัย คิมฮันนาห์ก็ได้รีบพุ่งมาข้างหน้าทันที

“ฮะ เฮ้! นี่นายบ้าไปแล้วหรอ? นายกำลังทำอะไรอยู่?”

ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับ และกระชับสายหนังให้แน่นขึ้น

“เฮ้!”

เมื่อคิมฮันนาห์กำลังโวยวายอยู่…

“มีเรื่องเล่ามาจากตำนานสามก๊ก”

ในที่สุดเขาก็ได้พูดออกมา

“ในตอนที่โจโฉอยู่ในกองทัพสวนตะวันตกในฐานะพันเอกคอยจัดการกองทัพ ลุงของเกนหวนขันทีผู้มีอิทธิพลได้ทำผิดกฏหมาย โจโฉได้จัดการเฆี่ยนเขาจนตาย และนับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครที่กล้าแหกกฎอีกต่อไป”

คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา แต่ไม่นานเธอก็กลับมารักษาท่าที และสงบสติอารมณ์ลงไป

“นั่นมันคือเรื่องสามก๊กที่เป็นนวนิยาย แต่ที่นี่คือพาราไดซ์”

แทนที่จะตอบเธอ ซอลจีฮูได้โบกมือออกมาเบาๆ พร้อมทั้งมีหนังสือเล่มหนาตกลงที่แทบเท้าคิมฮันนาห์

หนังสือกฎหมายของอีวา

คิมฮันนาห์ได้หรี่ตาลง

“กฎหมายสงครามเกี่ยวข้องกับสหพันธรัฐ มาตรา 22 วรรคที่ 1 ชาวโลกไม่ควรที่จะใช้กำลังรบมากเกินไปในเขตพรมแขนของสหพันธรัฐ เว้นแต่ว่าจะเป็นเพื่อการทหารหรือการปกป้องตัวเอง มิเช่นนั้นหากว่าพวกเขาสร้างความเสียหายมากเกินไปจากการใช้พลังเกินขอบเขต พวกเขาก็จะถูกจับกุม”

ซอลจีฮูได้พูดต่อ

“เกี่ยวเนื่องกับมาตรา 22 วรรคที่ 1 หากว่าเชลยศึกที่มาจากการต่อสู้ ราชวงศ์อีวาจะเป็นผู้ชี้ขาดในการดำเนินงานต่อไปทั้งหมด ชาวโลกจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงทางร่ายกายและจิตใจกับเชลย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆก็ห้ามเด็ดขาด หากพบเห็นผู้ละเมิดจะถูกจับกุมโดยทันที”

คิมฮันนาห์ได้เงียบลงไปเมื่อซอลจีฮูได้เน้นคำว่า ‘ห้าม’ เธอแทบจะพูดอะไรไม่ออกเลย

“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้พูดถึงกฎหมายที่ไม่ได้มีอยู่จริง”

ซอลจีฮูได้หันสายตาไป และสอดหอกขว้างเข้าไปในเข็มขัด คิมฮันนาห์ได้สงบลงหายใจก่อนที่จะฝืนยิ้มเข้าไปหาซอลจีฮู

“จีฮู ฉันเข้าใจนะว่านายรู้สึกยังไง ฉันเข้าใจจริงๆ แต่ว่านายต้องใช้เวลาคิดให้มากกว่านี้”

“…”

“นายก็รู้นี่ว่าการกระทำของนายมันจะทำให้เกิดผลแบบไหนออกมา”

ซอลจีฮูได้แค่นเสียงขึ้น

“นี่มันเป็นเรื่องที่ยังไม่คิด”

“อะไรนะ?”

“ไม่ใช่ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการหรอ?”

ลมหายใจของคิมฮันนาห์ได้ชะงักลงไป

“ภาพยามค่ำคืนก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าเราไม่จำเป็นถึงกับขนาดต้องลงไปถึงชั้นใต้ดินของโรงประมูลเลยนี่”

น้ำเสียงของซอลจีฮูนั้นนิ่งสงบ แต่ว่ามันก็ให้ความรู้สึกเย็นชาเหมือนกับคมมีด

“เธอพาฉันไปที่นั่น แสดงให้ฉันเห็นมัน”

ในที่สุดคิมฮันนาห์ก็รู้แล้วว่าอะไรที่แปลกไป

ซอลจีฮูตรงหน้าเธอไม่ใช่ซอลจีฮูที่เธอรู้จัก ท่าทีไร้กังวลตามปกติของเขาได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยออร่าปีศาจร้ายอันเย็นชา

มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกครอบงำ

เธอได้ทำพลาดไปแล้ว เธออยากที่จะกระตุ้นความโกรธของซอลจีฮู และทำให้เขามุ่งเป้าความโกรธลงไปที่องค์กรทั้งแปดที่ควบคุมอีวา

แต่ปัญหาก็คือเธอคำนวณพลาดไปมาก

เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะชักดาบออกมาในวันแรกที่มาถึงที่นี่

ในความเป็นจริงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซอลจีฮูตอนถูก ‘สับสวิต’ หากว่าเธอเคยเห็นเขาอยู่ในสภาพนี้มาก่อนสักครั้ง หรือหากว่าเธอเคยได้ยินที่ฟีโซรามักจะเรียกเขา เธอก็คงจะหยุดลงอย่างเหมาะสมก่อนที่สวิตจะถูกสับไป

“…คิดมากกว่านี้หน่อยนะ”

ถึงเธอจะรู้ว่ามันสายเกินแก้ไปแล้ว แต่เธอก็ยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“พวกเราสามารถจะขยายกองกำลัง และค่อยๆกดดันพวกเขาอย่างช้าๆก็ได้นะ ในตอนที่มันถึงเวลา พวกเขาก็จะคลานเข้ามาหาเราด้วยตัวเอง ในตอนนี้เราควรที่จะใช้เวลาตั้งตัวซะก่อน”

แผนของเธอไม่ผิด แต่แค่มันต่างกัน

นอกไปจากนี้พวกเขาไม่มีเวลาแล้ว

ซอลจีฮูได้หยุดสนใจเธอโดยหันไปแกะห่อผ้าสีน้ำเงินที่คลุมหอกพิสุทธิ์เอาไว้ หอกยังคงหนักอยู่ และเขาก็ยังรู้สึกว่ามันต่อต้านเขา

ซอลจีฮูได้ถอนหายใจ และวางหอกลงไป จากนั้นขณะที่เขากำลังไปเรียกพรรคพวก… เขาก็เห็นไข่สีแดงกำลังนั่งอยู่ตรงกลางประตู

มันมาทำอะไรที่นี่? ในตอนที่เขาคิดแบบนี้…

วูมม! พลังงานไร้รูปร่างได้ระเบิดออกมาจากไข่พร้อมๆกับเสียงดัง

แม้ว่าตาเขาจะมองไม่เห็นไข่ไปแล้ว แต่การไหลของพลังงานก็ได้กระจายออกมาเป็นระลอกคลื่น มันได้ผ่านซอลจีฮูไปสัมผัสกับหอกพิสุทธิ์

วูมมมมมมม! จังหวะนั้นเองก็ได้เกิดปรากฏการณ์แปลกๆขึ้นในตอนที่พลังงานสัมผัสกัน หอกโปร่งใสได้เริ่มมีสีสันขึ้นมา

เพียงแค่ไม่กี่วินาทีแสงสีขาวเงินก็ได้กระจายไปทั่วตัวหอกเหมือนกับสีน้ำ

หอกที่ดูเหมือนกับถูกแกะสลักมาจากน้ำแข็งได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นหอกที่เหมือนกับสร้างมาจากหิมะแทนแล้ว

ซอลจีฮูได้จับหอกพิสุทธิ์ที่กำลังเปล่งแสงสีเงินออกมาโดยไม่รู้ตัว และเขาก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นทันที

น้ำหนักและการต่อต้านได้หายไปอย่างสิ้นเชิง หอกมันเบาเหมือนกับเขาถือเส้นก๋วยเตี๋ยว และเขาสามารถจะขยับหอกได้อย่างอิสระตามต้องการ

นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก แต่ว่าสิ่งสำคัญก็คือในตอนนี้เขาใช้หอกพิสุทธิ์ได้แล้ว

ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ไข่สีแดง

จนถึงตอนนี้ไม่ใช่ว่ามันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเขามาตลอดหรอกหรอ แล้วถ้างั้นทำไมมันมาอนุญาตให้เขาใช้หอกเอาตอนนี้ล่ะ?

คำตอบนั่นก็ง่ายมา ภูติอาคัสเป็นผู้ตรวจสอบที่คอยตรวจสอบการกระทำของเจ้าของ และอนุญาตให้ใช้หอกได้ตามความเหมาะสม

‘เข้าใจแล้ว’

ดวงตาของซอลจีฮูเป็นประกายออกมา นี่มันคงจะหมายความว่าภูติอาคัสเห็นด้วยกับเขา

“อะไรกัน? เราจะไปสู้กับใครงั้นหรอ?”

“เกิดอะไรขึ้น?”

เพื่อนร่วมทีมของเขาได้รีบวิ่งขึ้นมาก่อนที่จะถูกเรียกเพราะเสียงการกระเพื่อมของพลังอันรุนแรง

“ฉันมีบางอย่างอยากจะพูด”

ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างสงบ

ทุกๆคนที่รู้ถึงบรรยากาศได้เงียบลงไป ยี่ซอลอาก็ได้มองซอลจีฮูด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“พวกนาย… เชื่อฉันแล้วตามฉันมาสักครั้งได้ไหม?”

นี่เป็นคำพูดที่กระทันหน โชฮงกับฮิวโก้ได้แสดงสีหน้าประมาณว่า ‘นี่นายพูดบ้าอะไร?’

แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น หลังจากพวกเขาเห็นชุดเกราะกับหอกในมือของซอลจีฮู พวกเขาก็หันไปสบตากัน

และจากนั้นก็เดินหายไปพร้อมๆกัน

ไม่นานนักพวกเขาก็ได้กลับมาพร้อมชุดเกราะ และอาวุธเต็มตัว

“…เอาล่ะ”

โชฮงได้ยกแท่งเหล็กหนามพาดบ่า และพยักหน้าออกมา

“ไปกันเถอะ”

เธอได้ตอบตกลง

“ฉันไม่รู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่านายต้องมีเหตุผล ไปกันเถอะ ไว้ค่อยมาอธิบายทีหลัง”

ฮิวโก้ก็ยังบิดคอพยักหน้าเห็นด้วยออกมา

ซอลจีฮูได้สร้างความเชื่อมั่นขึ้นมานับตั้งแต่ที่ป่าแห่งการปฏิเสธแล้ว

มาแชล จิโอเนียที่ยืนกอดอกอยู่ก็ยังพยักหน้าและเดินหายไป เขาคงจะไปเตรียมอุปกรณ์เช่นเดียวกัน

“มันเพิ่งจะวันแรกเองนะ… หาววว”

มาเรียได้หาวออกมาราวกับเธอไม่ได้สนเลย

“เจ้าหมอนี่มันเอาอีกแล้ว…”

จะมีก็แค่ฟีโซราที่แสดงสายตาสงสัยออกมา

ซอลจีฮูได้เดินไปข้างหน้า ขณะที่เขากำลังจะออกไป เขาก็เห็นจางมัลดงยืนอยู่เงียบๆ และหยุดลง

“นายจะไปจริงๆงั้นหรอ?”

“…ไม่ได้หรอครับ?”

“ชาวโลกจะมองนายเป็นคนบ้า”

น้ำเสียงของเขาฟังดูหนักหนา มันเหมือนกับว่าจางมัลดงกำลังห้ามปรามเขา

‘ฉันบ้างั้นหรอ?’

ซอลจีฮูรู้ดี

[โลกที่ผู้คนใฝ่หาเพียงแต่อิสระภาพและความสำเร็จของตัวเอง ล่ะทิ้งซึ่งศีลธรรมและความรับผิดชอบ โลกที่เป็นพิษร้ายจากการเอาแต่ใจ]

พาราไดซ์จะไม่เปลี่ยนไปเพราะแบบนี้

สิ่งที่องค์กรทั้งแปดทำ วิธีการที่ราชวงศ์ตอบสนอง และมุมมองของชาวโลกในเรื่องนี้ ทั้งหมดนี่มันชัดเจนอยู่แล้ว

บางคนอาจจะบอกว่าเขาแสร้งทำ บางคนก็อาจจะประนามในสิ่งที่เขากระทำลงไป

แต่ว่า…

[มันเป็นเรื่องดีที่นายโกรธกับการสูญเสีย การดูถูกตัวเองและมองย้อนดูการกระทำของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องผิด ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่า-]

[แต่ว่า… นี่คือทั้งหมดแล้วหรอ?]

โลกนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงหากว่าเขาอยู่นิ่ง

ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่เขาทำกับคุณ นี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาที่งานจัดเลี้ยง

เขาได้บอกกับซอกกูนีร์แล้ว เขาจะไม่อยู่เฉย

ในระหว่างสงครามตอนที่เขากำลังจะยอมแพ้กับความสิ้นหวัง เขาได้ละทิ้งทุกๆอย่างและตัดสินใจออกมา นั่นคือเขาจะไม่ทนมันอีกต่อไป

สำหรับซอลจีฮู ชาวโลกคือคนบ้า

สำหรับชาวโลก ซอลจีฮูก็ควรจะเป็นคนบ้า

พาราไดซ์ก็บ้าเหมือนกัน

และมันมีแต่จะจมดิ่งลงไปในความบ้าคลั่งเท่านั้น

ถ้างั้นก็ได้เลย ให้มันเป็นแบบนั้นแหละ ต่อให้เขาจะกลายเป็นคนบ้า-

[พวกชั่วที่ละทิ้งหน้าที่ และไม่แม้กระทั่งจะร่วมสงคราม การเห็นพวกเขาเชิดหน้าชูตามันไม่ทำให้นายขยะแขยงเลยหรอ?]

[พวกสารเลวที่แอบวางแผนทำลายคนอื่นเพื่อความสนใจของตัวเอง นายไม่อยากจะจับพวกมันมาฆ่าทิ้งให้หมดหรอ?]

เขาจะเผชิญหน้ากับพวกมันโดยไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไปแล้ว

[นายไม่คิดจะกลายเป็นราชาบ้างหรอ?]

ในตอนนี้มันถึงเวลารักษาสัญญาที่เขาได้ทำไว้กับตัวเอง และคนอื่นๆได้แล้ว

“…ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำนี้มันถูกไหม”

เขาได้พูดออกมาอย่างสงบ

“แต่ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องทำ”

“นายบอกว่าสิ่งที่จะต้องทำสินะ…”

จางมัลดงได้เน้นย้ำในสิ่งที่ซอลจีฮูพูด และก้าวถอยไป

“ระวังตัวด้วย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ซอลจีฮูได้โค้งตัว และเดินก้าวออกไป ความหวังของคิมฮันนาห์ที่หวังให้จางมัลดงหยุดซอลจีฮูได้พังทลายลงไปแล้ว

“อ่า… นี่เธอไปทำบ้าอะไรกับเขากัน…”

ฟีโซราได้เกาหัวอย่างแรงก่อนจะหันไปสะกิดคิมฮันนาห์ที่กำลังสับสน

“ว่ายังไงล่ะ? ฉันขอเอาอุปกรณ์คืนได้ไหม? เร็วเข้าสิ”

คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบกลับมา ในตอนนี้เธอกำลังมองออกไปที่บันไดอย่างเหม่อลอย

ซอลจีฮูกำลังมุ่งหน้าไปที่โลกที่ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเขาเอง

ไม่นานนักเมื่อเขาเดินผ่านประตูออกไป คิมฮันนาห์ก็ได้หลับตาแน่น

ความตายได้ถูกกำหนดแล้ว

***

สมาชิกปาร์ตี้ทั้งหกคนได้เดินตัดผ่านความอันอ้างว้าง ผ่านถนนยามราตรีมุ่งหน้าไปสู่เขตชานเมืองที่ที่โรงประมูลตั้งอยู่

อาคารซอมซ่อได้ปรากฏให้เห็นจากไกลๆ

โชฮงกับฮิวโก้ได้เดินอยู่อย่างเงียบๆ มาแชล จิโอเนียได้ใส่กระสุนหน้าไม้ และมาเรียได้รีบร่ายเวทย์ออกมา

“นายจะเอาจริงๆสินะ?”

ฟีโซราได้ถามอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นี่มันเป็นครั้งที่แปดแล้ว

“นายแน่ใจนะ?”

ครั้งที่เก้า

“นายรู้ใช่ไหมว่าการทำแบบนี้คือการประกาศสงครามกับองค์กรทั้งหมดในอีวา? นายมั่นใจว่านายรับมือ-“

ฟีโซรายังไม่ทันได้พูดจบประโยคเลย นั่นเพราะสายตาของซอลจีฮูได้มองมาที่เธออย่างไม่พอใจ

แม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ว่าเจตนาของเขาได้ถูกส่งมาแล้ว

ถ้าถามออกก็ออกไปซะ

“ฮึ่ม ฉันก็แค่เป็นห่วงนายเท่านั้นเอง”

ฟีโซราได้บ่นออกมาอย่างไม่พอใจ และเธอก็ได้เปลี่ยนเป้าความโกรธไปลงที่อาคารซอมซ่อตรงหน้าแทน

ก่อนจะรู้ตัวพวกเขาก็ได้มาอยู่ตรงหน้าอาคารแล้ว เพราะการที่พวกเขาเดินมาตรงๆโดยไม่หลบซ่อนใดๆทำให้ยามที่เฝ้าอยู่ที่หน้าทางเข้าหันมามองในทันที

แทนที่จะถามอีกเป็นครั้งที่สิบ ฟีโซราที่กำลังบ่นได้ชักดาบยาวออกมาจากฝักแทน

“ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ นายเป็นคนต้องการแบบนี้เอง”

ซอลจีฮูได้ค่อยๆพยักหน้าออกมา

ต่อจากนั้นบรรยากาศรอบตัวเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันที เธอได้หยุดและงอเข่าลงไป

ในอีกด้านหนึ่ง

“เจ้าพวกนี้เป็นใคร?”

หนึ่งในยามที่เห็นถึงความเป็นปรปักษ์ได้ก้าวออกมา

“ตรงนั้นน่ะ-“

ฟุบ! แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้พูดจบก็เกิดลมรุนแรงพัดออกมา ยามได้มองไปตามสัญชาตญาณ และเห็นดาบยาวในมือของหญิงสาวกำลังลอยอยู่อย่างสง่างาม

ฉั๊วะ! คมดาบได้ตัดผ่านเป้าหมายเหมือนกับเต้าหู้ และในเวลาเดียวกันเลือดก็ได้ไหลออกมา

“…”

ภายในแค่พริบตาเดียวร่างกายของยามก็ตกลงไปบนพื้น ยามที่อยู่ด้านหลังได้อ้าปากค้างออกมา

“อะไร-“

ตูม! ใบหน้าของเขาได้ถูกระเบิดไปก่อนจะรู้ตัว สิ่งสกปรกที่ผสมด้วยเลือดกับสมองได้กระจายออกไปทั่ว เหลือยามเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่มองมาอย่างสับสน

ตรงนั้นมีชาวหนุ่มกำลังสะบัดแขนอยู่ และกลุ่มของพวกเขาที่กำลังใกล้เข้ามา

พวกเขาก็ยังเห็นหอกมานาสองเล่มลอยเข้าใส่พวกเขาด้วยความเร็วอันน่ากลัวอีกด้วย

ตูม ตูม!

ด้วยเวลาที่ต่างกันเพียงเสี้ยววินาที หัวของพวกเขาก็ระเบิดออกเหมือนกับลูกโป่ง ทันทีที่เสียหัวไป ร่างกายของพวกเขาก็ล้มลงไปกับพื้นทีล่ะคน

จุดเริ่มต้นพายุอันน่ากลัวได้โหมกระหน่ำออกมาจากร่างของซอลจีฮู จิตสังหารอันรุนแรงที่ถูกยับยั้งเอาไว้มาตลอดได้ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระ

และเพราะแบบนี้…

“เราจะทำการฝังกลบ”

ในค่ำคืนแรกที่มาถึงอีวาของพวกเขา…

“ทุกคน”

คาเพเดี่ยมภายในคำสั่งของซอลจีฮู…

“กำจัดพวกมันให้หมด”

…ได้เปิดฉากปะทะกับองค์กรทั้งแปดในอีวา