ตอนที่ 247

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 247 – อีวายามค่ำคืน (2)

โรงประมูล Vip เป็นสถานที่ที่เรียกว่าที่เก็บสมบัติ

มีสินค้าล้ำค่าที่คนทั่วไปไม่อาจเอื้อมได้ถูกนำมาจัดแสดงมากมาย และด้วยความจริงข้อนี้ผู้จัดการโรงประมูลจึงต้องลงแรงไปกับการเฝ้าระวังภัยที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก

นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยจากการที่ชาวโลกได้กระโดดออกมาเต็มไปหมด และนักธนูก็ได้ประจำตำแหน่งบนหลังคาในทันทีที่เกิดความวุ่นวายที่หน้าทางเข้าโรงประมูล

“หืม? เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน?”

อีกฝ่ายมีคนแค่ครึ่งโหลเท่านั้นเอง

นักธนูคนหนึ่งกำลังใช้ธนูเล็งออกไปอย่างไม่แยแส

แต่แล้วในตอนที่เขาพาดลูกธนู และเปิดใช้งานสายตาพันไมล์ เขาก็ได้เห็นมันอย่างชัดเจน

…ชายผมเทากำลังเล็งหน้าไม้สีขาวมาที่ตัวเขาอย่างแม่มยำ

ทันทีที่เขาตระหนักถึงความผิดพลาด-

ฉึก!

ร่างกายของนักธนูได้สั่นออกมา ทั้งธนูและลูกธนูไปหลุดจากมือเขาไป จากนั้นร่างกายของเขาก็โซเซไปมาก่อนที่ท้ายที่สุดจะเสียการทรงตัวและตกลงไปจากหลังคาเหมือนกับหุ่นไม้… พร้อมด้วยลูกศรที่ปักอยู่หว่างคิ้ว

นักธนูอีกคนที่หยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมาหลังจากเห็นความวุ่นวายได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา

และในวินาทีต่อมาที่หน้าผากของเขาก็ได้ถูกปักเอาไว้ด้วยลูกศพเช่นเดียวกัน

นี่คือจุดเริ่มต้นเพียงเท่านั้น

ฉึก ฉึก! ร่างกายได้ตกลงมาจากหลังคาในทุกๆครั้งที่มีเสียงลมแหวกผ่านอากาศดังออกมา

ด้วยทักษะการซุ่มยิง และการเติมกระสุนที่รวดเร็ว มันจึงใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่ทุกๆคนที่อยู่บนหลังคาจะถูกจัดการ

“คนที่อยู่บนหลังคาทั้งหมดถูกกำจัดแล้ว”

มาแชล จิโอเนียที่ลดหน้าไม้ลงได้พูดออกมา

“โอเค ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องกลังเรื่องการถูกยิงแล้วใช่ไหม?”

ฟีโซราได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ และหยิบโล่ออกมาตั้งด้านหน้า จากนั้นเธอก็ย่อตัวตั้งท่า

พลังงานความร้อนแปลกประหลาดได้ไหลออกมาจากทั่วร่างของเธอเหมือนกับเธอกำลังโคจรมานา

“ไม่ต้องช่วยนะ!”

หลังจากทิ้งคำเหล่านี้ไว้ ฟีโซราก็ได้พุ่งเข้าไปใส่ฝูงชนตรงหน้าโดยไม่แยแสสักนิด

เธอได้เร่งความเร็วในทันที และเริ่มการปะทะด้วยพลังอันมหาศาลจนราวกับว่าแค่กระทืบพื้นก็ทำให้พื้นร้าวออกมาได้เลย

สภาพของเธอในตอนนี้เหมือนกับกระทิงคลั่งที่พุ่งออกไปจนทำให้อีกฝ่ายที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเธอต้องผงะ และลดความเร็วลงไป

แต่ว่าก่อนที่ฝูงชนจะได้แยกตัวหลบเธอ ฟีโซราก็กระทืบเท้าถีบตัวออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

“ย่าห์!”

ตูม!

“อ๊ากกก!”

ชาวโลกได้กระเด็นลอยออกไปพร้อมกับเลือดทั่วร่างทันที

ยังไม่หมดเท่านั้น

คลื่นกระแทกของการปะทะได้กระจายออกมาจนถึงขนาดทำให้หลายคนต้องเสียสมดุล และลมลงไป

และหญิงสาวผมสีแดงก็ได้กระโจนเข้าใส่ฝูงชน

“อย่า~!”

ดาบยาวอันงดงามของเธอได้ตัดผ่านคอของคนที่อยู่ตรงหน้า

“มาโทษฉัน~!”

และกระทืบใบหน้าของคนที่ล้มอยู่…

“ที่เป็นคนไร้ปราณี~!”

ปัง!

เธอได้ใช้โล่กระแทกเข้าใส่ใบหน้าอีกคนหนึ่งที่พยายามรักษาสมดุลเอาไว้

ฟู่!

ต่อมาเปลวเพลิงสว่างก็ได้ถูกจุดขึ้นจากดาบยาวของเธอ ฟีโซราได้เหลือบมองซ้ายขวาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจก่อนจะส่งเสียงออกมา

“ฉันแค่จะเปิดทางเท้านั้นเอง~!”

ฝูงชนรอบๆตัวเธอได้รีบแยกกันออกไปด้านข้างในทันที สายตาของพวกเขาดูเหมือนกับกำลังมองไปที่คนบ้า

ฟีโซราได้ยิ้มออกมา และเปลี่ยนท่าจับดาบใหม่ ซอลจีฮูที่มองดูสถานการณ์อยู่ได้ค่อยๆเดินต่อไป

ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงทักษะของฟีโซราสักนิดเลย เธอคือแรงค์เกอร์ระดับสูงที่แท้จริงซึ่งได้รับการยอมรับจากจางมัลดง ที่เธอบอกให้เขาไปก่อนนั่นคงจะเพราะเธอมั่นใจ

ซอลจีฮูได้ผลักประตูเข้าไปข้างในอาคารโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

ภายในนั้นยังคงมืดสนิท ที่สุดทางเดินก็มีบันไดนำไปสู่ชั้นที่สองอยู่

มาแชล จิโอเนียได้พูดขึ้น

“ดูจากภายนอกแล้วที่นี่เหมือนจะมีสามชั้น หากว่าผู้จัดการอยู่ข้างในมันก็เป็นไปได้สูงที่เขาจะอยู่ชั้นบนสุด”

แน่นอนว่านี่มันไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีคนอยู่ที่ชั้นหนึ่งเลย

เมื่อตัดสินจากความวุ่นวายที่ด้านนอก มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยากันยังไงแม้ว่าจะสายหน่อยก็ตาม

“ผมจะจัดการตรงนี้เอง”

มาแชล จิโอเนียได้หันหน้ากลับไป และคุกเข่าลงข้างหนึ่งในทันทีที่มาถึงตรงกลางบันได

ความตั้งใจของเขาก็คือจะคอยขัดศัตรูที่จะตามพวกเขาไป เนื่องจากการถูกล้อมสองฝั่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย

ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรเลยสักนิด และเดินขึ้นบันไดต่อไป

จะมีก็แต่มาเรียหยุดลง และไม่ได้ตามซอลจีฮูไปหลังจากสบตากับเขา เธอได้จับอาร์ติแฟคไม้กางเขนเอาไว้ และหมุนคอกลับมา

“ผมไม่ต้องการให้ช่วยหรอกนะ”

มาแชล จิโอเนียได้พูดออกมาตรงๆโดยไม่กระทั่งจะสบสายตาของเธอ

มาเรียได้หัวเราะออกมา

“นายคงจะมั่นใจมากเลยสินะ?”

มาแชล จิโอเนียได้ยกหน้าไม้ขึ้น และเล็งลงไปที่ทางลงบันได เขาได้ยิ้มยิงฟัน และใช้มานาเสริมพลังให้กับหน้าไม้

“ผมรับมือไหว”

“ฉัน…”

เขาได้เล็งหน้าไม้จากซ้ายไปขวา

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ลูกศรหน้าไม้ได้พุ่งออกไปเป็นชุดพร้อมๆกันกับที่ศัตรูเผยตัวออกมาจากทางเดิน

“ใครมัน…อั๊ก!”

ในทันทีที่คนๆนั้นตะโกนออกมา เขาก็ถูกลูกศรหน้าไม้ปักเข้าที่อกกับน่องขาไปแล้ว แรงปะทะของหน้าไม้มันมากพอที่จะทำให้คนถูกยิงต้องตัวสะบัดก่อนจะทรุดลงไปกับพื้นได้เลย

ทุกๆคนต่างก็จบลงด้วยการทรุดลงไปกับพื้นในทันทีที่โผล่ออกมา

มาเรียได้ผิวปากขึ้น

“ว้าว สมกับเป็นนักธนูเหล็กกล้าซะจริง นายนี่ส่งพวกเขาไปโลกหลังความตายพร้อมๆกันเลยนี่”

“ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือ ขึ้นไปเถอะ”

มาแชล จิโอเนียได้พูดออกมาพร้อมหยิบลูกศรหน้าไม้ออกมาหนึ่งกำมือ เขาได้ใส่ลูกศรลงไปอย่างชำนาญก่นอที่จู่ๆจะมองจ้องไปทางด้านหน้า

“ฉันก็คิดงั้นนะ”

มาเรียได้ยิ้มออกมา จากนั้นก็ชูอาร์ติแฟคไม้กางเขนขึ้นพร้อมร่ายเวทย์

“ลูซู ลู ลูซูร่า”

ในเวลาเดียวกันกับที่บาเรียสีขาวได้ถูกสร้างขึ้นก็มีลูกธนูจำนวนมากมายยิงมาจากทางหน้าประตู และปะทะเข้ากับบาเรีย

“เจ้าโง่ นายคิดว่าศัตรูมีแค่นักรบงั้นหรอ?”

“…”

“เอาเถอะนะ ยัยบ้าพวกนั้นคงเอาแต่เล่นจนปล่อยเจ้าพวกนี้หลุดมานั่นแหละ”

มาแชล จิโอเนียได้หัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็จริง ผมก็คิดว่าเธอก็น่ากลัวอยู่หน่อยนะ”

เขาได้ยอมรับนิ่งๆ และจัดการกับศัตรูตรงหน้าไปทีละคน

มันยังไม่จบ ทางเดินได้เริ่มวุ่นวายมากยิ่งขึ้นเมื่อฝ่ายศัตรูได้เห็นซากศพของพวกเดียวกันเอง

มาแชล จิโอเนียก็ได้เล็งหน้าไม้ออกไปอีกครั้งหนึ่ง มาเรียก็ยังคงรักษาสภาพบาเรียเอาไว้ และพูดออกมาอย่างชัดเจน

“นายก็รู้ไหมว่าแค่ฆ่าเจ้าพวกนี้มันไม่สนุกเลยสักนิด เพราะงั้นเรามาพนันกันสักหน่อยไหม? นายก็มีเงินอยู่ตั้งเยอะ เพราะงั้นเรามาตั้งเดิมพันสูงๆกันหน่อยดีกว่านะ”

“พนัน”

“ทุกๆครั้งที่มีคนมาถึงบาเรียของฉัน นายจะต้องให้เงินฉัน 200 เหรียญเงินต่อคน”

“แล้วถ้าผมไม่ปล่อยให้มีใครสักคนมาถึงมาเรียล่ะ?”

“ถ้างั้นฉันก็จะให้ไข่ทองคำกับนายแล้วกัน”

“นั่นมัน…”

มาแชล จิโอเนียได้ยกหน้าไม้ขึ้นกระชับระดับไหล่ เมื่อเขาปรับสายตาให้เข้ากับศูนย์เล็งที่เขาปรับแต่งมาด้วยตัวเองแล้ว เขาก็เผยเขี้ยวออกมา

“…ก็ไม่ได้แย่อะไร”

และพร้อมๆกับคำพูดนั้นลูกศรหน้าไม้อันน่ากลัวก็ได้พุ่งออกไป และเสียงร้องดังสนั่นก็ได้ดังไปทั่วทั้งชั้นหนึ่ง

ในเวลาเดียวกัน

ซอลจีฮู โชฮง และฮิวโก้ก็ได้เดินขึ้นบันไดไปอีกชั้นหนึ่ง

“ผู้บุกรุก!”

พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มศัตรูที่กรูกันออกมาจากประตูทางด้านซ้ายขวาราวกับรออยู่แล้ว

บันไดไปสู่ชั้นสามอยู่ที่สุดทางเดินตรงกลาง พวกเขาจะต้องเดินผ่านทางนี้เพื่อขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง

“จากที่ดูเจ้าพวกนี้มันก็แค่กลุ่มก้อนแมลงเม่าเท่านั้นเอง”

โชฮงได้ถูมือเข้าด้วยกันและเดินไปทางเดินทางซ้าย

“ฉันจัดการทางซ้ายเอง”

“ถ้างั้นฉันจัดการทางขวา”

ฮิวโก้ก็ยังก้าวออกไปทางขวาในทันที

พวกเขาได้จับอาวุธแน่น และบิดคอไปมา

“ซอล พวกเราจะเปิดทางให้ เพราะงั้นนายตรงขึ้นไปชั้นสามได้เลย”

หลังจากพูดแบบนี้โชฮงก็หันไปมองฮิวโก้

“อยากจะพนันกันหน่อยไหมว่าใครจะปล่อยคนไปหาซอลได้น้อยที่สุด?”

“ฉันเอาด้วยถ้าเธอไม่ใช่ความสามารถของแรงค์เกอร์ระดับสูง”

“ขี้ขลาด”

“ใช่แล้ว ฉันมันขี้ขลาด”

พวกเขาได้ล้อกันเล่นขำๆ แต่ว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขามันอันตรายเป็นอย่างมาก นี่คือวิธีในการคลายความเครียดของพวกเขาก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้

“อะ ไอ้เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน?”

ชาวโลกที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุดสามารถจะสัมผัสได้ถึงอันตราย และถอยกลับไปด้วยความกลัว

ด้วยแบบนี้ราวกับจะเป็นสวิต ดวงตาของโชฮงและฮิวโก้ได้เปลี่ยนแปลงไป

พวกเขาทั้งคู่ได้พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดันพร้อมๆกัน

โชฮงได้เหวี่ยงแท่งเหล็กหนามเข้าใส่ชาวโลกที่กำลังถอยไปอย่างเต็มแรง

ผั๊วะ!

มันได้กระแทกเข้าใส่ซี่โครงของคนๆนั้นจนทำให้ร่างกายของเขางอ และกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง

“อ๊ากกกกกก!”

เขาได้กรีดร้องลั่นออกมา

“น่ารำคาญ”

เมื่อโชฮงยกไม้กระบองขึ้นมาอีกครั้งก็มีเศษเนื้อติดขึ้นมาด้วย ร่างกายชายที่ติดอยู่กับกำแพงในที่สุดแล้วก็ไหลลงมา

“พวกนายคิดอะไรอยู่ถึงเอาแต่ดู แล้วไม่ยอมเข้ามากันล่ะ?”

ฮิวโก้ได้ชี้ไปข้างหน้า และเยาะเย้ยพวกเขาออกมา ชายคนหนึ่งได้พุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ และตะโกนออกมา

“เชี้ย จัดการพวกมัน!”

ด้วยคำพูดนี้ได้ทำให้คนนับยี่สิบได้พุ่งเข้ามาพร้อมๆกัน ถึงด้วยพื้นที่ทางเดินที่แคบทำให้ไม่เหมาะกับการต่อสู้เป็นกลุ่มเลย แต่พวกเขาก็เสียเปรียบทางด้านจำนวนอย่างสิ้นเชิงอยู่ดี

ถึงแบบนั้นโชฮงกับฮิวโก้ก็เคยต่อสู้กับศัตรูที่มากกว่าตัวเองเป็นสิบเท่ามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และครั้งหนึ่งยังเคยต้องปะทะกับกองทัพที่หนึ่งอันเกรียงไกรของเหล่าปรสิตอีกด้วย

“ฮ่าห์”

โชฮงได้แค่นเสียง และก้าวออกไปข้างหน้า

เธอได้ใช้ไม้กระบองฟาดเข้าใส่หน้าของชายที่พุ่งเข้ามาโดยไม่คิดเหมือนกับเป็นนักเบสบอลที่ตีลูกโฮมรัน

ในทันทีที่ชายคนนั้นถูกฟาดออกไป เธอก็ได้บิดแขนกลับ และฟาดเข้าขมับคนที่อยู่ด้านหลังของเธออย่างเต็มแรง

ผั๊วะ!

เธอรู้สึกได้เลยถึงความรู้สึกที่หัวของศัตรูแตกออกมาเหมือนกับเป็นลูกแตงโม

สำหรับฮิวโก้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

“โฮ่”

เขาได้เอียงหัวหลบดาบยาวที่ถูกเหวี่ยงออกมามั่วๆ และจับแขนของเจ้าของดาบเอาไว้

“ย่ะห์!”

เมื่อฮิวโก้ก็แรงบิดแขนนิดหน่อย แขนของชายคนนั้นก็บิดผิดรูปไปทำให้ดาบยาวหลุดออกจากมือเขา

ไม่ว่าชายคนนี้จะร้องหรือไม่ก็ตาม ฮิวโก้ก็ได้จับคอของชายคนนี้ และยกขึ้นมาไว้ตัวหน้าของตัวเอง

ฮิวโก้กำลังใช้เขาเป็นโล่มนุษย์ และในมืออีกข้างก็ยื่นง้าวเปล่งประกายออกมา หัวหอกที่แหลมคมได้แทงทะลุคนตรงหน้า….

“อืมมมม!”

และในขณะที่ฮิวโก้เบิกตากว้าง พร้อมกับงอแขน หัวหอกก็ได้แทงทะลุร่างของชายคนนั้นจนมิด และทะลุไปโดนคนข้างหลังอีกคนหนึ่ง

แนวศัตรูที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดค่อยๆล้มลงไปทีละคน

ภาพนี่มันค่อนข้างจะแปลกตามาก

ผู้คนนับสิบพยายามที่จะกดดันพวกเขา แต่ฝ่ายคนนับสิบกลับถูกกดดันกลับไปด้วยคนเพียงแค่สองคนเท่านั้นเอง

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่พวกเขาเป็นสมาชิกขององค์กรจริงดิ? ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนี้เป็นแค่ยามทั่วๆไปหรอกหรอ?”

พวกเขากระทั่งมีเวลามาพูดคุยสบายๆในระหว่างต่อสู้ด้วยซ้ำไป

นี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา

คนเหล่านี้อย่างมากก็แค่เข้าร่วมปฏิบัติการหรือการสำรวจที่ค่อนข้างปลอดภัยของเมืองอีวาเท่านั้น อย่างที่อันตรายที่สุดที่พวกเขาทำก็เป็นแค่การออกล่าคนจากสหพันธรัฐกลุ่มเล็กๆ

มันเป็นธรรมดามากที่ชาวโลกที่ใช้ชีวิตไปวันๆเหมือนกับเล่นเกม จะไม่มีวันเอาชนะนักรบจากฮารามาร์คที่ต่อสู้กับพวกปรสิตโดยเอาชีวิตเข้าแลกได้

เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูสามารถจะเดินผ่านทางเดินไปได้สบายๆโดยไม่ต้องเหวี่ยงหอกเลยสักครั้ง แต่ทันใดนั้นเองคิ้วของเขาก็กระตุกขึ้นมา

เขามองเห็นนักธนูสองคนที่กำลังจะยิงธนูใส่เขาจากสุดทางเดิน

ในทันทีที่เขายกแขนซ้าย และโคจรมานาออกมา หอกสีน้ำเงินสี่เล่มก็ได้พุ่งออกไปจากฝ่ามือของเขา

การพัฒนาความสามารถขึ้นทำให้ในตอนนี้เขาสามารถจะขว้างหอกออกไปได้อย่างแม่นยำ และทรงพลังโดยไม่ต้องตั้งท่าอะไรแล้ว

นักธนูดูเหมือนจะตกใจกับหอกมานาที่พุ่งทะลวงผ่านอากาศมา แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้ขยับเลยสักนิด

นั่นก็เพราะว่ามีแผ่นแสงสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาแทบจะทันที

ตึง ตึง ตึง

บาเรียได้ป้องกันหอกเอาไว้ได้สามเล่ม แต่ก็ไม่อาจจะทนเล่มที่สี่ได้ และหายไปหลังจากถูกฉีกขาดเหมือนกระดาษ

ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง

‘นักบวช?’

ด้วยการเสริมสร้างสายตาของเขาให้พัฒนาขึ้นไปมากหลังจากกินฟินิกซ์สายลมทองคำทำให้เขาสามารถจะมองเห็นชาวโลกที่สวมใส่ชุดคลุมสีขาวได้ทันที

เขาได้แค่นเสียงออกมาก่อนจะยิงหอกมานาออกไปด้วยสีหน้าที่พูดว่า ‘ลองกันอีกอันสิ’

“อึก!”

นักบวชที่กำลังโซเซได้เริ่มกระอักเลือดออกมา…

‘นี่มันเป็นไปไม่ได้…!’

… และเธอก็ต้องตกใจอย่างหนักเมื่อเห็นหอกมานาอีกอันกำลังลอยเข้ามาหาเธอ

‘มานาของฉันคือปานกลาง (ต่ำ) นะ…!’

เนื่องจากว่าเธอยังอยู่แค่ระดับ 3 มันจึงไม่ได้ต่ำเลย แต่ว่ามานาของซอลจีฮูคือ สูง (สูง)

มันเป็นความแตกต่างที่มากจนไม่อาจจะเอามาเทียบกันได้เลย

แถมเธอก็ไม่ได้มีอาร์ติแฟคไม้กางเขนหรือมีเวลาให้ร่ายเวทย์ใหม่อีก ในตอนนี้มันไม่มีอะไรที่เธอทำได้อีกนอกจากค่อยๆมองดูหอกมานาลอยเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“นี่มัน…!”

ฉึก

นักบวชได้ถูกหอกปักเข้าที่กลางท้อง

“โกง-“

แรงปะทะของหอกได้ส่งให้เธอลอยออกไปจนกระแทกเข้ากับบันได

ซอลจีฮูได้ลดแขนซ้ายลงก่อนจะลังเลออกมา

ชายคนหนึ่งที่ผ่านโชฮงกับฮิวโก้มาได้โดยบังเอิญกำลังมองไปรอบๆอย่างสับสน

ซอลจีฮูได้หันกลับไปมองด้วยสายตาสมเพช ชายคนนี้ทำอะไรไม่ถูกในระหว่างการต่อสู้ เขากำลังลังเลอยู่ มันชัดเจนมากว่าเขาขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง

ขณะที่เขากำลังลังเล คอของเขาก็ถูกหอกมานาเป่าจนหายไปแล้ว

ซอลจีฮูได้ผลักซากศพไร้หัวออกไป และค่อยๆเดินหน้าต่อ

จำนวนของศัตรูได้ลดลงไปกว่าครึ่งในพริบตาเดียว

ซอลจีฮูได้เดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยการสังหารอย่างราบรื่น เขาได้ผ่านซากศพของนักธนูสองคน และในที่สุดก็มาถึงจุดที่นักบวชที่มีอยู่อยู่ตรงท้องกำลังนอนอยู่

เธอดูเหมือนกับจะไม่ได้ตายไปในทันที แต่ตัดสินจากอาการชักของเธอ เธอคงกำลังตกอยู่ในอาการช็อคอยู่

ซอลจีฮูได้ยกเท้าขึ้นอย่างเฉยเมย

กร๊อบบ!

เขาได้บดขยี้หน้าอกของนักบวชก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปด้วยเท้าที่โชกไปด้วยเลือด

ไม่นานนักซอลจีฮูก็ได้ขึ้นมาถึงชั้นที่ 3 แล้ว