บทที่ 47 คางคกหมายปองห่านฟ้า

ข้าแค่อยาก “กิน” อย่างเงียบๆ

“องค์หญิงลำดับที่หกเสด็จมา”

เป็นตอนนี้ที่เสียงกึ่งหนุ่มกึ่งแก่ได้พูดออกมาจากโต๊ะคนรับสมัครศิษย์สำนักหวู่เตียน

องค์หญิงลำดับที่หกและเจียงหยวนมองไปยังต้นเสียงก็เห็นชายแต่งตัวเวอร์วังมองมาที่ทั้งสองคนอย่างสงสัยใคร่รู้ และแน่นอนว่าชายคนนั้นจับจ้องไปที่องค์หญิงลำดับที่หกเป็นหลัก

เมื่อองค์หญิงลำดับที่หกเห็นชายคนนี้ก็มีท่าทางแขยะแขยงเล็กน้อยก่อนจะกระซิบเข้าที่ข้างหูของเจียงหยวน “หลิวเมิ่ง ลูกชายนายพลหลิว”

เมื่อเห็นว่าองค์หญิงลำดับหกไม่คิดตอบสนองต่อการทักทายของตน หลิวเมิ่งก็เดินเข้ามาหาอย่างหน้าด้านๆแล้วพูดออกมา “องค์หญิงลำดับที่หก ท่านจะมาลงสมัครที่สำนักของข้าใช่หรือไม่ วันนี้ ข้าเป็นคนรับศิษย์ด้วยตัวเอง ท่านรีบลงชื่อสมัครสิ ข้าจะได้ทำประวัติศิษย์ให้กับท่าน”

องค์หญิงลำดับที่หกเมื่อได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเบาๆ “นี่เจ้ารับข้าเลยอย่างนั้นรึ เจ้าไม่คิดจะทดสอบข้าก่อนเลยรึไง”

“แน่นอนว่าเรื่องนั้นไม่ต้องหรอกขอรับ องค์หญิงเป็นผู้ที่อยู่ในระดับจอมยุทธด้วยวัยสิบห้าปี ความอัจฉริยะภาพนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วทุกตัวคนในเมืองเทียนหลันอยู่แล้วขอรับ”

ในขณะที่พูดนี้ หลิวเมิ่งยังคงพยายามที่จะยัดเยียดกระดาษในมือให้กับองค์หญิงลำดับที่หกแล้วพูดออกมา “โปรดลงชื่อได้เลยขอรับ องค์หญิง”

องค์หญิงลำดับที่หกนิ่งเงียบไป ก่อนที่จะรับมาแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษ

เมื่อเห็นว่าองค์หญิงลำดับที่หกไม่คิดจะพูดอะไรกับตน นี่ทำให้หลิวเมิ่งมองไปที่เจียงหยวนอย่างตาขวาง

“ไอ้หนู แกมาทำอะไรที่นี่”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ท่าทางของเจียงหยวนได้เปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นึ่งลึก “มาสมัครเข้าเป็นศิษย์สี่สำนักใหญ่”

“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างเจ้าเนี่ยนะ นี่เจ้ารู้รึเปล่าว่ากฎในการรับศิษย์เข้าสำนักของสี่สำนักใหญ่เป็นเช่นไร ห้ะ ข้าก็พอรู้อยู่บ้างนะว่าองค์หญิงลำดับที่หกเป็นผู้ที่มีใจประเสริฐใจดีมีเมตตา ชอบเก็บลูกหมาลูกแมวมาที่ไม่มีพ่อแม่มาคอยเลี้ยงดู”

“แต่เจ้านี่ก็ไม่คิดดูตัวเองเลยจริงๆที่มากับองค์หญิงลำดับที่หกแบบนี้ นี่เจ้าคิดจะเป็นคางคกหมายกินเนื้อห่านฟ้ารึไงกัน”

เมื่อได้ยิน ท่าทางของเจียงหยวนเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นเย็นยะเยียบ เขาย่อมไม่ปล่อยให้ใครมาล่วงล้ำถึงพ่อแม่ของเขาแบบนี้ให้อยู่ดีอย่างแน่นอน

มือขวาของเขาแลบลั่นออกไปปานสายฟ้าฟาด

*เพี๊ยะ*

นี่ทำให้มีรอยฝ่ามือสีแดงกล่ำปรากฎที่หน้าของหลิวเมิ่ง

“กะ แก ไอ้ตัวระยำ แกกล้าตบข้า”

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็นิ่งอึ้งด้วยเสียงตบนี้ ไม่มีใครคิดว่าเจียงหยวนจะกล้าลงมือในที่นี้

*เพี๊ยะ*

เพียงสิ้นคำของหลิวเมิ่ง เจียงหยวนก็ตบไปที่หน้าของหลิวเมิ่งอีกฉาดหนึ่ง และในครั้งนี้ เขาได้ใช้พลังวิญญาณลงไปด้วย และนี่ทำให้ทั่วทั้งลานประลองกลางเมืองแห่งนี้เกิดเสียงตบที่สนั่นหวันไหว

“แก ไอ้เลวระยำต่ำช้ารนหาที่ตาย”

“เจียงหยวน ไม่ต้องห่วง”

องค์หญิงลำดับที่หกที่เพิ่งจะเขียนอะไรบางอย่างในกระดาษเสร็จได้รีบวิ่งเข้ามาเมื่อเห็นฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“เจียงหยวนรึ”

“อัจฉริยะผู้ที่ถูกขโมยชีพจรยุทธไปนั่นน่ะเหรอ”

“เขามีชื่อเสียงแม้แต่ในเมืองเทียนหลันแห่งนี้เลยนะ”

“ไม่คิดว่าเขาจะดูดีขนาดนี้ แต่น่าเสียดาย…”

เมื่อได้ยินชื่อของเจียงหยวน ทุกคนต่างก็นึกถึงบุตรของสวรรค์ที่เคยมีชื่อเสียงเกรียงไกรมาถึงเมืองเทียนหลันได้ในทันที พร้อมกับข่าวคราวที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนด้วยเช่นกัน

“แค่ขยะเองนี่หว่า”

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตน ผู้เป็นถึงจอมยุทธระดับสี่ดาว กลับถูกตบตีด้วยขยะจนมาอยู่ในสภาพนี้ นี่ทำให้หลิวเมิ่งกลายเป็นเดือดแค้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาที่กำหมัดแน่นก็ได้กระตุ้นพลังวิญญาณในร่างของตนระเบิดพลังออกมา

“เฮ้อออ แค่เนี่ยนะ”

เจียงหยวนพูดออกมาราวกับไม่แยแสเมื่อเห็นคลื่นพลังที่หลั่งไหลออกมาจากร่างหลิวเมิ่ง นี่ทำให้เขาปล่อยคลื่นพลังของตนเองออกมา

“ตาย หมัดพายุ”

เมื่อหลิวเมิ่งได้ยินแบบนี้ก็โกรธเสียยิ่งกว่าเดิม และรีบต่อยหมัดของตัวเองออกไปอย่างทุ่มสุดแรง

มันเป็นหมัดทักษะยุทธระดับขั้นสูง

พลังที่ปลดปล่อยออกมาจากหมัดนี้ได้ทำให้ผู้คนรอบข้างร่างกายโซเซไปมาจนต้องใช้เท้าจิกพื้นเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกพัดไป

หรือจะให้พูดให้ถูกก็คือเป็นหมัดที่มาพร้อมกับลมที่พัดไปมาอย่างรุนแรง

“หยุดนะ นี่คือเพื่อนของข้า”

เมื่อเห็นฉากนี้ องค์หญิงลำดับที่หกก็ใช้ร่างกายเข้ามายืนขวางอยู่ที่หน้า ก่อนที่จะปลดปล่อยคลื่นพลังสีแดงฉานและตั้งท่าป้องกัน

แต่เป็นตอนที่เธอตั้งท่าป้องกันนี้ เธอก็พบว่าเจียงหยวนกลับมาอยู่ตรงหน้าเธอแทนแล้ว

“เมื่อไหร่กัน”

องค์หญิงระดับที่หกนิ่งอึ้งไปในทันที เพราะเธอไม่เห็นว่าเจียงหยวนปรากฎอยู่ตรงหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไหร่

“ขยะเช่นนี้ขอข้าเป็นผู้จัดการเองก็แล้วกัน ไม่ต้องรบกวนองค์หญิงหรอก”