บทที่ 265 บททดสอบมากมาย
จนกระทั่งตอนนี้ นับว่าหลัวซิวนำสองระดับความเป็นตาย ยกระดับถึงตระหนักห้วงยุทธ์แล้ว
ถึงเป็นเขา ก็ไม่คิดว่าจะประสบผลสำเร็จขนาดนี้
เว้นแต่ตระหนักรู้ห้วงยุทธ์ชนิดที่สาม ตัวสำนึกของหลัวซิวผ่านระดับราชายุทธ์ขั้น 1 ไปสู่ราชายุทธ์ขั้น2 แล้ว
หลังตัวสำนึกฝ่าฟันมาได้ การโจมตีของตัวสำนึกในสำนักนี้ ไม่มีความน่าเกรงขามสำหรับเขาอีกแล้ว
เพราะสำนักไท่เสวียนให้ศิษย์ในสำนัก ฝึกตัวสำนึก ด้วยบททดสอบมากมาย ไม่มีทางใช้บททดสอบที่ยากเกินไป ไม่งั้นจะไม่ใช่การทดสอบ แต่จะเป็นการฆ่า
“เหลืออีกสามวัน แดนปริศนาจะปิดลง”
หลังจากลืมตา หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาฝึกตนในสำนักนี้เพียงครู่เดียว ก็ใช้เวลานานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเวลาที่เหลือสามวัน จะพอให้ค้นหาถ้ำโบราณแห่งนี้ต่อไปหรือเปล่า
ไม่กี่วันนี้ปี้เซียนเสว่ฝึกตนในอุโมงค์ ผลการฝึกตนยกระดับอย่างมั่นคงไม่น้อย การเคลื่อนไหวพลังจิตก็แข็งแกร่งกว่าก่อนมาก
หลัวซิวยังคงใช้ตัวสำนึกของตัวเอง คุ้มครองเธอกับหลงหมิงไว้ และเดินไปข้างหน้าสำนักรูปวงรีแห่งนี้
หลังเดินไปได้ประมาณสองชั่วยาม บริเวณรอบๆ ไม่มีแสงดำจู่โจมวิญญาณปรากฏออกมาอีกแล้ว
“มีคน!”
ทันใดนั้น หลัวซิวหรี่ตาลง เห็นเงาคนสองคนข้างหน้า เป็นหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี
นี่ทำให้หลัวซิวตกใจมาก จากที่เขารู้ คนมีความสามารถอายุน้อยของแต่ละอำนาจใหญ่ ที่เขามาในนี้จำนวนมาก ผลการฝึกตนมากที่สุด ไม่เกินฝึกจิตขั้น7 อย่าบอกนะว่าสองคนนี้ก็ฝึกวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ อีกทั้งตัวสำนึกทัดเทียมได้กับระดับราชายุทธ์
ตอนหลัวซิวเห็นอีกฝ่าย ชายหนุ่มสองคนก็เห็นเขากับปี้เซียนเสว่ แววตาประหลาดใจเช่นกัน
ทั้งสองหายตัวแวบพร้อมกัน ไม่นานก็เข้ามาใกล้ หลัวซิวจึงเห็นอย่างชัดเจน ชายหนุ่มสองคนนี้ คนหนึ่งคือกู้เค่ออาน เป็นอัจฉริยะของสำนักเสวียนหยาง ส่วนอีกคนคือซือโคงสวี่ อัจฉริยะของสำนักฉางเหอ
ขณะเดียวกัน หลัวซิวสังเกตเห็นว่า สองคนนี้ไม่ได้มีตัวสำนึกระดับราชายุทธ์ มาถึงที่นี่ ผลการฝึกตนอยู่ในฝึกจิตขั้น6 ต้องอาศัยสมบัติต้านทานจู่โจมวิญญาณอะไรบางอย่าง ถึงเข้ามาที่นี่ได้
สามสำนักใหญ่กับราชวงศ์ตระกูลฝาน ล้วนรู้ความลับบางอย่างในถ้ำโบราณ สำหรับสถานการณ์ข้างในก็ต้องรู้อยู่แล้ว และเตรียมแผนเอาไว้บางส่วน ไม่ได้น่าแปลกอะไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิววางใจลง ขอแค่อีกฝ่ายไม่ได้เอาพละกำลังที่แท้จริงมา เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
“ที่แท้ศิษย์พี่หลัวนี่เอง กระผมเคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของศิษย์พี่หลัว” ซือโคงสวี่สำนักฉางเหอ หัวเราะร่าแล้วเอ่ยขึ้น ดูภาคภูมิมาก
“ได้ยินว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ศิษย์พี่หลัวฝ่าฟันเข้าไปที่หอคอยมังกรบินชั้น7 โดนขนานนามว่าอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบหลายปี วันนี้ได้เจอ เป็นโชคดีทั้งสามชาติ” กู้เค่ออานดูสุภาพ ยิ้มแล้วหันมาประสานมือทำความเคารพหลัวซิว
“ทั้งสองท่านเกรงใจแล้ว” หลัวซิวยิ้มแล้วประสานมือทำความเคารพเช่นกัน
เรียกว่ามือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ แค่อีกฝ่ายไม่ล่วงเกินตัวเอง โดยปกติหลัวซิวก็ไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว
“ฉันได้ยินมาว่ามีคนเข้ามาไม่น้อย ทำไมมีแค่ทั้งสองท่าน คนอื่นล่ะ” หลัวซิวถาม
ได้ยินหลัวซิวถามเช่นนี้ สีหน้าของสองคนฝั่งตรงข้าม ไม่สู้ดีขึ้นมา ซือโคงสวี่ตอบว่า “ก่อนหน้านี้ มีสองสามคนที่ตายในสำนัก ในเมื่อศิษย์พี่หลัวเดินมาถึงที่นี่ได้ คงรู้ว่าการจู่โจมวิญญาณของสำนักนั้น ถึงระดับราชายุทธ์”
หลัวซิวพยักหน้า “ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมีสมบัติต้านทานการจู่โจมวิญญาณ คงต้องตายอยู่ในสำนักอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวหรี่ตาลง “ทั้งสองท่านคงอาศัยสมบัติ มาถึงที่นี่เหมือนกันสินะ”
กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ ไม่รู้ว่าคำพูดของหลัวซิว กำลังลองเชิง ยิ่งไม่คิดว่าในตัวหลัวซิว ไม่มีสมบัติต้านทานจู่โจมวิญญาณสักนิด แต่เขาอาศัยตัวสำนึกของตัวเอง ที่ทัดเทียมกับราชายุทธ์ ในการฝ่าฟันมา
พวกเขาคิดว่าหลัวซิวรู้ความลับของถ้ำโบราณ จึงเตรียมสมบัติต้านทานจู่โจมวิญญาณ เอาไว้ล่วงหน้าเหมือนตัวเอง
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว ทั้งสองพยักหน้า ซือโคงสวี่หัวเราะ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หลัวไปกับพวกเราไหม มีความคิดเดียวกันสี่คน ช่วยปกป้องกันและกัน คงจะเข้าไปลึกในถ้ำ และเอาสมบัติมาได้”
“ได้ ฉันก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน” หลัวซิวรีบตกลงทันที
เขากับปี้เซียนเสว่ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับถ้ำโบราณแห่งนี้ แต่สำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ ว่ากันว่าเคยมีคนได้สมบัติจากในถ้ำ ต้องรู้ข้อมูลอีกเยอะแน่นอน
ให้เดินมั่วซั่วไปทั่วคนเดียว สู้ไปกับสองคนนี้ดีกว่า หลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายไปได้ไม่น้อย
“อีกสามวันแดนปริศนาจะปิดแล้ว มีศิษย์พี่หลัวมาร่วมด้วย เวลาน่าจะเพียงพอแล้ว” กู้เค่ออานก็หัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้น
จากนั้นทั้งสี่คนเดินไปด้วยกัน กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ไม่รู้ว่า นอกจากสี่คนนี้แล้ว ยังมีมังกรไร้ร่างโบราณอีกตัวหนึ่ง ตามมาเหมือนเงา
“แม่นางคนนี้คือ……” ซือโคงสวี่มองปี้เซียนเสว่ข้างหลัวซิว อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้
เพราะเขาดูออกว่าผลการฝึกตนของผู้หญิงคนนี้ ไม่ต่างจากตัวเองเท่าไร และไม่เคยได้ยินว่าประเทศเทียนหวูมีคนแบบนี้อยู่ด้วย
แต่ก่อนถึงปี้เซียนเสว่เป็นร่างแห่งเสวียนหยิน แต่เพราะโดนวิชาสยบวิญญาณของราชวงศ์ตระกูลฝานควบคุม ผลการฝึกตนจึงไม่สูง ดังนั้นจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก
“นี่เป็นเพื่อนฉัน มาจากองค์กรนักล่ายุทธ์เหมือนกับฉัน ชื่อปี้เซียนเสว่”
“ที่แท้ก็แม่นางเซียนเสว่นี่เอง ยินดีที่ได้รู้จัก”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้างหน้ามีทางสลัวๆ ไม่เหมือนกับอุโมงค์มืดสนิทก่อนหน้านี้ ทางเดินนี้มีแสงสว่างเล็กน้อย สองข้างทาง มีรูปปั้นวางเรียงรายอยู่ มีความเย็นยะเยือกรายล้อมอยู่
“สำนักก่อนหน้านี้เป็นด่านแรก เป็นการทดสอบตัวสำนึก ทางเดินนี้เป็นด่านที่สอง ทดสอบร่างกาย ได้ยินว่าศิษย์พี่หลัวฝึกวิชากลั่นร่าง ร่างกายคงไม่อ่อนแอสินะ” ซือโคงสวี่ชี้ทางข้างหน้า แล้วเอ่ยขึ้น
ด่านแรกตัวสำนึก ด่านสองทดสอบร่างกายงั้นเหรอ
หลัวซิวจับจุดสำคัญได้จากคำพูดของกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ได้แม่นยำ
แต่กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่เข้าใจว่าหลัวซิวรู้เรื่องพวกนี้ จึงไม่อธิบายอะไรมาก
ชิ้ง!
ดาบและกระบี่ออกจากฝัก กู้เค่ออานจับกระบี่ยุทธ์ในมือ ซือโคงสวี่เอาดาบรบออกมา ล้วนเป็นอาวุธของนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง
“เซียนเสว่ เธอตามหลังฉันมา” หลัวซิวกำชับปี้เซียนเสว่ และใช้ตัวสำนึกส่งเสียง ให้หลงหมิงไปสำรวจ
ตัวของหลงหมิงหลอมรวมกับที่ว่าง บินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาสั้นๆ รูปปั้นสองข้างทางมีแสงทั่วตัว แต่ละตัวเหมือนถูกปลุกขึ้น มีประกายในตาทั้งสองข้าง
ส่วนร่างของหลงหมิง ก็โดนพลังที่เข้ามาในพื้นที่ กดดันเอาไว้ แสงสีเงินรูปมังกร ยาวกว่าเก้าเมตร ปรากฏในทางเดิน
“โฮก!”
เสียงคำรามทุ้มต่ำดังก้อง รูปปั้นทั้งสองข้างฟื้นคืนชีพ พากันกรูเข้าไปหาหลงหมิงเป็นจำนวนมาก