[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 423: ข่าวลือที่ชั่วร้าย!
เมื่อรู้ว่าวันนี้หลิงหยุนจะมาโรงเรียน ฉางหลิงก็แต่งตัวสวยงามออกมาจากบ้าน และใช้เวลาเลือกเสื้อผ้านานกว่าครึ่งชั่วโมง เธอจึงมาถึงโรงเรียนสายกว่าปกติ
เมื่อฉางหลิงมาถึงโรงเรียน ก็ได้ยินเด็กนักเรียนในโรงเรียนต่างพากันพูดว่าหลิงหยุนกลับมาเรียนแล้ว เธอรู้สึกมีความสุขอย่างมาก และรีบวิ่งตรงไปที่ห้องเรียนทันที
ฉางหลิงยืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตรงเข้าไปหาหลิงหยุนที่โต๊ะ..
“หลิงหยุน.. นี่นายมาโรงเรียนแล้วจริงๆเหรอ?!” ฉางหลิงวิ่งเข้าไปหาหลิงหยุนด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจ
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ถามยังกับว่าที่นั่งอยู่นี่ไม่ใช่ผม?”
หลิงหยุนเห็นใบหน้าสวยงามของฉางหลิง ก็อดที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาโอบกอดเธอเมื่อครั้งนั้นไม่ได้..
หลงหวู่ยังคงนั่งนิ่ง แววตาของเธอยังคงสงบไม่เปลี่ยน อากัปกิริยาก็ยังเป็นปกติ ดูคล้ายกับว่าจิตใจของเธอจดจ่ออยู่ที่นิตยสารตรงหน้าเท่านั้น ส่วนฉางหลิงและหลิงหยุนเป็นเพียงอากาศธาตู
“นี่.. คุณช่วยออกไปที่อื่นก่อนจะได้ไม๊ ผมต้องการคุยกับฉางหลิง..”
หลิงหยุนตบไหล่หลงหวู่ที่มีกลิ่นหอมเบาๆ เพื่อขอให้เธอช่วยลุกออกจากโต๊ะก่อนชั่วคราว เพราะเขากับบฉางหลิงมีเรื่องที่ต้องคุยกันยาว
เมื่อฉางหลิงได้ยินเช่นนั้น เธอก็ได้แต่ยิ้มมุมปากพร้อมกับขยิบตาให้หลิงหยุน พร้อมกับมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นสมควรได้รับรางวัลจากเธอ
หลงหวู่ค่อยๆปิดนิติยสารในมือ เธอเหลือบมองฉางหลิงที่ยืนอยู่ จากนั้นจึงหันไปมองหลิงหยุนที่ขอให้เธอออกไป แล้วจึงลุกขึ้นยืนและบอกกับฉางหลิงว่า
“หลีกทางให้ฉันด้วย..”
ฉางหลิงยิ้มเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าหลงหวู่จะยอมลุกขึ้น และยกที่นั่งให้กับเธอชั่วคราว เธอจึงหลบทางให้พร้อมกับมองตามหลงหวู่ที่เดินออกไป
หลงหวู่ถือหนังสือนิติยสารเดินตรงออกไปที่ระเบียงนอกห้อง..
หลิงหยุนมองไปที่ฉางหลิงพร้อมกับพูดยิ้มๆว่า “คุณไม่ต้องไปกลัวเธอ นั่งลงเร็วเข้าจะได้คุยกัน”
ฉางหลิงยิ้มพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ทันที และวางกระเป๋าถือในมือลงบนโต๊ะก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันรีบจนหมดแรง!”
หลิงหยุนหัวเราะแล้วจึงพูดหยอกฉางหลิง “นี่ยังเหลือเวลาอีกตั้งยี่สิบนาทีถึงจะเข้าเรียน คุณไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เลย?”
ฉางหลิงจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า “ฉันก็รีบมาหานายน่ะสิ! แล้วทำไมเมื่อวานนายถึงไม่มาเรียน?”
หลิงหยุนตอบความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว “น้าหญิงของผมมาที่บ้าน แม่ก็ไม่อยู่ ผมก็เลยต้องอยู่ต้อนรับแทน!”
“อ่อ.. ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ห๊ะ.. อะไรนะ?!” ฉางหลิงถึงกับตาโตพร้อมกับร้องถามกลับไปว่า “น้าหญิงของนายงั้นเหรอ?!”
หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า การที่เขามีน้าสาวมันเป็นเรื่องแปลกนักหรือยังไง? แต่ก็เพียงแค่พยักหน้าไม่ได้พูดอะไร
“ไม่เห็นนายเคยพูดถึง? ฉันจำได้ว่าครอบครัวนายไม่มีญาติที่ใหนนี่นา?”
“ไม่ได้พูด.. ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี..”
หลิงหยุนคิดในใจจว่าเขาไม่เพียงแค่มีญาติ แต่ญาติของเขายังเป็นคนของตระกูลเก่าแก่ที่หากใครรู้เข้าก็คงจะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นนอน!
“ทำไม? ญาตินายมาแล้วห้ามโทรหาใครเลยหรือยังไง? อย่างน้อยก็ส่งข้อความหาฉันหน่อยก็ได้นี่นา!” ฉางหลิงบ่นพึมพำ
หลิงหยุนเอ่ยขอโทษ “ผมเพิ่งกลับมาได้สองสามวัน ก็เลยยุ่งๆ มีหลายเรื่องที่ผมต้องจัดการ ให้เวลาผมจัดการธุระที่คั่งค้างให้เรียบร้อยก่อนนะ?”
“ต่อไปนายอย่าหายไปใหนนานๆแบบนั้นอีกนะ ฉันเป็นห่วง..!”
ฉางหลิงซึ่งเป็นคนตรงๆ จึงไม่คิดที่จะเก็บงำอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะรู้สึกยังไงเธอก็บอกหลิงหยุนไปตรงๆ
หลิงหยุนพยักหน้า “ผมรับปาก.. แล้วตั้งแต่เกาเฉินเฉินกลับไปบ้าน เธอได้ติดต่อคุณกลับมาบ้างไม๊?”
เมื่อหลิงหยุนถามถึงเกาเฉินเฉิน ดวงตาของฉางหลิงก็เปลี่ยนเป็นกังวลและเศร้าขึ้นมาทันที เธอขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า
“ไม่เลย.. โทรศัพท์มือถือก็ปิดติดต่อไม่ได้ ฉันส่งข้อความไปมากมาย แต่เธอก็ไม่เคยตอบกลับ ฉันคิดว่าตั้งแต่กลับไปเธอคงไม่ได้แตะโทรศัพท์อีกเลย”
ทันทีที่ได้ฟัง หลิงหยุนก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที เพราะดูเหมือนว่าเรื่องของเกาเฉินเฉินจะมีปัญหามากกว่าที่เขาคาดคิด
เกาเฉินเฉินกลับไปบ้านที่ปักกิ่งด้วยเรื่องส่วนตัว หากครอบครัวเกาเฉินเฉินไม่ต้องการให้เธอติดต่อกับเขาก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ แต่นี่เพื่อนสนิทที่สุดของเธอเองก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ จะต้องมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นกับเธออย่างแน่นอน
หลังจากพูดจบฉางหลิงก็สงบจิตสงบใจพูดต่อว่า “ฉันว่าเราลองถามครูประจำชั้นดูดีไม๊? ครูน่าจะรู้ข่าวของเกาเฉินเฉินบ้าง..”
“ก็ดีเหมือนกัน? ถ้างั้นผมจะหาโอกาสถามเรื่องนี้กับครูประจำชั้น..”
ท่าทางของหลิงหยุนก็ดูปกติดี ไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวกับข่าวลือ..
ฉางหลิงหันไปมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่เป็นกังวล เธอถอนหายใจเบาๆก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ
“หลิงหยุน.. นี่นายคงจะยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไม๊? ช่วงที่นายหายตัวไปหลายวัน มีเรื่องเกิดขึ้นในโรงเรียนของเราด้วย.. เอ่อ.. เป็นเรื่องระหว่างนายกับครูกง..”
หลิงหยุนกำลังจะอ้าปากถามฉางหลิงเรื่องนี้พอดี แต่เมื่อได้ยินฉางหลิงพูดขึ้นมา เขาถึงกับขมวดคิ้ว เพราะก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกู่หยุนฟะกับเสียเจิ้นเหยิน ที่คงจะร่วมมือกันหาแก้แค้นเขาในช่วงที่เขาหายตัวไป แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องระหว่างครูประจำชั้นที่ชื่อกงเสี่ยวลู่กับตัวเขา หลิงหยุนจึงค่อนข้างตกใจ..
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา.. ” หลิงหยุนดูอึดอัด และสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป
แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนหรือกระวนกระวายใจนัก เพราะต่อให้เป็นเรื่องใหญ่โต ก็คงจะไม่มีเรื่องใหนใหญ่โตกว่าเรื่องของคนตระกูลซันอีกแล้ว!
อีกอย่างตอนนี้ทั้งเสียเจิ้นเหยินและกู่หยุนฟะต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้ามาโรงเรียน และหลิงหยุนมั่นใจว่าเรื่องของสองคนนั้นเป็นเรื่องที่เขาสามารถจัดการได้ไม่ยาก..
ฉางหลิงยกนิ้วชี้ขึ้นกระดิกเข้าหาตัวเป็นการส่งสัญญาณให้หลิงหยุนเอียงหูเข้าไปใกล้ๆเธอ จากนั้นเธอก็โน้มเข้าไปใกล้ใบบหูของหลิงหยุนพร้อมกับกระซิบเสียงเบา
“มีอยู่สองเรื่อง.. เรื่องแรก – เมื่อวันพฤหัสที่แล้วหลังจากที่นายหายตัวไป ทางโรงเรียนก็ได้ตัดสินใจที่จะไล่นายออกตั้งแต่วันนั้น”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับคิดว่า ไม่ต้องมานั่งเรียนแบบนี้อีกแล้ว ก็ยิ่งดีเสียอีก..!
“เรื่องที่สอง – พอครูกงรู้เรื่องที่ทางโรงเรียนมีมติจะไล่นายออก ครูประจำชั้นของเราก็ไม่เห็นด้วย อีกทั้งช่วงนั้นนายเองก็ติดต่อได้ ครูกงจึงเข้าไปหาผู้อำนวยการโรงเรียนกับครูใหญ่คัดค้านเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และยืนกรานไม่ยอมให้ทางโรงเรียนไล่นายออก..”
หลิงหยุนได้ฟังแล้วถึงกับซาบซึ้งใจอย่างที่สุด พร้อมกับคิดในใจว่าเธอช่างเป็นคนที่กล้าหาญมาก!
แต่เรื่องนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไรนี่นา..? และเมื่อหลิงหยุนกำลังจะเอ่ยถาม ฉางหลิงก็เล่าต่อ..
“แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องนั้น.. หลังจากวันที่ครูกงเข้าไปพบผู้อำนวยการหลิวกับครูใหญ่จางหนึ่งวัน.. ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงเรียนว่า..”
“ข่าวลือเรื่องอะไรกัน?!” หลิงหยุนถามขึ้นทันที เพราะดูเหมือนว่าปัญหาน่าจะอยู่ตรงนี้
ฉางหลิงทำเสียงกระซิบเบากว่าเดิม “ก็วันที่ครูกงเรียกนายไปติววิชาภาษาอังกฤษให้ตัวต่อตัวน่ะสิ มันดันมีคนปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไปพร้อมกับสร้างข่าวลือว่า ครูกงกับนาย.. มีอะไรกันในวันที่นายขึ้นไปที่หอพักของครูวันนั้น..”
“ช่วงที่นายไม่อยู่.. ข่าวลือเรื่องนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงเรียน ทุกคนต่างก็ซุบซิบนินทาเรื่องนี้กัน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ชายคนใหนได้ขึ้นไปที่หอพักของครูกงเลยแม้แต่คนเดียว หลายคนถึงกับเข้าใจว่า เพราะนายกับครูกงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน ครูกงถึงได้ยอมออกหน้าไปโวยวายกับครูใหญ่ และยืนกรานไม่ให้ทางโรงเรียนไล่นายออก”
คิ้วของหลิงหยุนขมวดเข้าหากันแน่น แต่แววตากลับเยือกเย็นและสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก
“มีใครเชื่อข่าวลือเรื่องนี้บ้าง? แล้วพอจะรู้ไม๊ว่าใครที่เป็นคนปล่อยข่าว?”
ฉางหลิงถอนหายใจก่อนจะพูดต่อว่า “เฮ้อ.. เพื่อนๆในห้องของเราไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้หรอก แต่นักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียนนี่สิ อย่างที่นายรู้.. กระพือข่าวเก่งนักล่ะ! คนที่ปล่อยข่าวก็ช่างเลือกช่วงเวลาได้เหมาะเจาะมาก เลือกที่จะปล่อยข่าวช่วงที่นายไม่อยู่พอดี ต่อให้ครูกงของเรามีร้อยปาก ก็ยังอธิบายให้คนฟังไม่ทันเลย อีกซ้ำเรื่องแบบนี้ ยิ่งพูดก็ยิ่งดูเหมือนการแก้ตัว..”
หลิงหยุนเข้าใจสิ่งที่ฉางหลิงพยายามจะบอกได้เป็นอย่างดี เพราะเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นเรื่องที่แพร่สะพัดได้เร็วยิ่งกว่าสายลม อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผู้คนนิยมซุบซุบนินทากัน
อีกทั้งกงเสี่ยวลู่ก็พาหลิงหยุนขึ้นไปที่หอพักของเธอจริง และทั้งคู่ก็อยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสองจริง หญิงโสดและชายโสดอยู่ในห้องด้วยกันแบบนั้น หากมีคนตั้งใจที่จะปล่อยข่าวลือเรื่องนี้ออกไป ประกอบกับจินตนาการของเด็กนักเรียนมัธยมด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่าแพร่สะพัดได้เร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอย่างแน่นอน!
อีกทั้งคนที่จงใจสร้างข่าวลือเรื่องนี้ ก็หาช่วงเวลาปล่อยข่าวได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งนัก หลิงหยุนหายตัวไปสี่วัน คนรอบตัวเขาล้วนถูกทำร้าย กู่หยุนฟะและเสียเจิ้นเหยินเองก็ใช้ข่าวลือนี้ปลุกปั่น และกดดันให้ทางโรงเรียนไล่หลิงหยุนออกให้ได้
และเมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไปเช่นนี้ กงเสี่ยวลู่จะอธิบายกับทุกคนได้อย่างไร? เว้นแต่เธอจะพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนได้ว่าเธอยังเป็นสาวพรหมจรรย์ และบริสุทธิ์ผุดผ่องอยุ่ แต่แน่นอนว่ากงเสี่ยวลู่ไม่ได้ทำเช่นนั้น
แต่ต่อให้เธอสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์ คนที่จงใจสร้างข่าวนี้ขึ้นมา ก็คงจะเบี่ยงประเด็นว่าทั้งหลิงหยุนและเธอกำลังคบหาดูใจ และกำลังค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์
“แล้วไงต่อ?” หลิงหยุนครุ่นคิดไปด้วยพร้อมกับเอ่ยถามฉางหลิงไปด้วย
ฉางหลิงเล่าต่อ “โรงเรียนมัธยมทุกโรงเรียนมีกฎห้ามไม่ให้ครูกับนักเรียนมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน เมื่อข่าวลือเรื่องนี้แพร่ออกไป ทางโรงเรียนก็เลยต้องประกาศไล่นายออก และทำทัณฑ์บนขั้นรุนแรงกับครูกง พร้อมกับระงับการทำหน้าที่ครูประจำชั้นของครูกง แต่เพราะทางโรงเรียนเห็นว่าหากเปลี่ยนครูประจำชั้นทันทีในตอนนี้ อาจเกิดผลต่อการเรียนของนักเรียน จึงยังคงให้ครูกงสอนต่อจนกว่าจะเสร็จสิ้นการสอบปลายภาค..”
หลิงหยุนฟังแล้วถึงกับพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ทำไมครูใหญ่กับผู้อำนวยการถึงได้ไร้เหตุผลแบบนี้? ทำไมถึงได้ใช้ข่าวลือมาตัดสินโทษ ไม่แยกแยะผิดถูกไม่พอ ยังไม่คิดแม้แต่จะสอบสวนหาข้อเท็จจริงก่อนตัดสินเสียอีก?”
ฉางหลิงเล่าต่อว่า “หลิงหยุน.. นายอย่างเพิ่งโมโห นายฟังฉันเล่าให้จบก่อน! นายอย่าลืมว่าช่วงนั้นกู่หยุนฟะและเสียเจิ้นเหยินเองก็ช่วยกันใส่ไฟแล้วก็กระพือข่าว! นายไม่เห็นพวกมันสองคนช่วงนั้นว่ากร่างแค่ใหน? ใหนจะยังหลู่เจิ้งเทียนซึ่งเป็นลูกชายของผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาอีก มันทั้งอิจฉาแล้วก็เกลียดนายเข้ากระดูกดำ”
“ดี..” หลิงหยุนพูดได้เท่านั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ
ก่อนที่หลิงหยุนจะลงไปสำรวจหลุมยักษ์นั้น เขาได้รีดเงินหลู่เจิ้งเทียนไปสองแสน ส่วนกู่หยุนฟะใครๆก็รู้ว่าเกลียดหลิงหยุนแค่ใหน ทางด้านเสียเจิ้นเหยินก็ชอบหนิงหลิงยู่ มีหรือช่วงที่เขาหายไปพวกมันจะไม่กร่างขนาดนั้น!
ทั้งสามคนคิดหาหนทางที่จะจัดการกับหลิงหยุนอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีข่าวลือเรื่องนี้แพร่ออกมา พวกมันจึงรีบฉวยโอกาสใช้ข่าวลือนี้จัดการกับหลิงหยุน
“ในเมื่อโรงเรียนไล่ผมออกแล้ว ทำไมผมยังเข้ามานั่งเรียนในห้องได้อีกล่ะ?” หลิงหยุนถามด้วยความสงสัย
ฉางหลิงเล่าต่อ “ตอนนี้ใครๆก็รู้เรื่องที่นายรื้อสำนักงานกับบ้านสองหลังนั่น ใหนจะเรื่องผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงนั่นอีก แล้วใครจะกล้าไล่นายออกอีกล่ะ?!”
“เมื่อวานนี้นายไม่ได้มาโรงเรียน ตอนเจ็ดโมงเช้าก็มีประกาศออกอากาศว่าทางโรงเรียนยกเลิกการไล่นายออก เพราะหลังจากที่ได้ทำการสอบสวนอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด นายก็เลยยังเป็นนักเรียนของที่นี่ต่อไป ไม่อย่างนั้นเพื่อนๆในห้องคงไม่ศรัทธาในตัวนายขนาดนี้หรอก..”
หลิงหยุนพูดเสียงเย็นว่า ผู้อำนวยการกับครูใหญ่จะต้องได้รับผลจากการกระทำของตัวเอง..
เขายังคงถามต่อ “แล้วเรื่องของครูประจำชั้นล่ะ? มีใครช่วยกู้ชื่อเสียงที่เสียหายไปให้กับครูกงหรือเปล่า?”
ฉางหลิงตอบกลับไปว่า “ถ้ากู้คืนได้ก็ดีน่ะสิ.. ทุกคนในโรงเรียนต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว ต่อให้ครูกงได้กลับมาทำหน้าที่ครูประจำชั้น ชื่อเสียงของเธอก็เสียหายไปแล้ว..”
เรื่องแบบนี้ใช่ว่าพูดเพียงคำสองคำจะสามารถลบล้างสิ่งที่เสียหายไปได้ ทุกอย่างคงต้องใช้เวลา..
หลิงหยุนกระซิบถามต่อว่า “แล้วรู้ไม๊ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องนี้?”
ฉางหลิงกัดฟันกรอดพร้อมกับเดาว่า “เพื่อนๆในห้องต่างก็ช่วยกันหาว่าต้นตอข่าวลือมาจากใหน และดูเหมือนว่าต้นตอจะมาจากคนในห้องของเราเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร?”
หลิงหยุนกวาดสายตามองไปทั่วห้อง และสายตาเย็นชาของเขาก็ไปหยุดนิ่งอยู่ที่แผ่นหลังของเว่ยเถียนกัง..
“นายคงไม่เสียหายอะไรหรอก! แต่คนที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นครูกงของเรา ล่าสุดฉันได้ข่าวมาว่าครูกงกำลังถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนอยู่ แต่ผลยังไม่ออกมา”
หลิงหยุนแสยะยิ้ม “ผมทนนั่งเรียนต่อไม่ไหวแล้ว ผมจะไปจัดการคิดบัญชีก่อน..”
หลิงหยุนคล้ายคนที่ผงเข้าตาตัวเอง เขาทำท่าจะลุกขึ้นไปจัดการปัญหาท่าเดียว
ฉางหลิงรีบคว้ามือหลิงหยุนไว้อย่างกังวล “หลิงหยุน.. อย่าใจร้อนไปสิ! นายคิดว่าถ้านายลุกขึ้นเรียกร้องความยุติธรรมให้กับครูกงในตอนนี้ ไม่ยิ่งเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่าข่าวลือเป็นจริงหรือยังไง.. และยิ่งจะทำให้ครูกงเสียชื่อจนยากที่จะแก้ไขอะไรได้อีก..”