เซ่าอี๋ร้อง “โอ้” แล้วกล่าว “เดี๋ยวก่อน”
เดี๋ยว? เขาเกือบจะถูกทำร้ายอยู่แล้ว!
จื่อซีหมุนข้อมือ ทำลายร่างปีศาจสาวตนนั้นจนสลายไป แต่ใครจะรู้ว่านางเพียงหัวเราะออกมาแล้วรวมร่างขึ้นใหม่อีกครั้ง พลางกล่าวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “นี่ใครกัน ดุเสียจริง”
ร่างของนางกลายเป็นหนูสีขาวตัวเล็กนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว พวกมันแยกย้ายกระจายไปทั่ว แล้วไปรวมกันที่ด้านหลังของจื่อซีอย่างไร้สุ้มเสียง มีดในมือฟันลงมาที่ใบหน้าของนาง
แต่ไรมาจื่อซีมือไม้ร่างกายคล่องแคล่วว่องไว นางพลิกตัวหลบไป ด้านหลังพลันมีมือข้างหนึ่งยื่นมาแล้วคว้าจับไปที่มีดสีดำประหลาดนั่นอย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวเลือดสดๆ ก็ไหลชุ่มโชกออกมา นางได้แต่นิ่งอึ้งตะลึงงัน
เสียงของเซ่าอี๋ดังมาจากด้านบน “หนิงอิง ไม่ได้เจอกันเสียนาน”
เขาดันจื่อซีออกเบาๆ มือข้างขวากุมมีดสีดำแน่น ไม่ให้องค์หญิงสี่ของราชาหนู ซึ่งก็คือปีศาจตรงหน้าเก็บกลับไปได้
หนิงอิงหัวเราะน้อยๆ “ได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่นี่อย่างเงียบเหงาโดดเดี่ยว เดิมข้าคิดจะแอบมา แต่กลับถูกท่านพ่อพบเข้าเสียก่อน จึงได้แต่ต้องมาพร้อมกับเขา เซ่าอี๋ ตอนนี้พวกเราเป็นศัตรูกัน เจ้า…คิดว่าอย่างนี้น่าสนุกกว่าหรือไม่”
เซ่าอี๋หัวเราะเสียงเบา “เจ้านี่ลวดลายเยอะเสียจริง เจ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่”
หนิงอิงถอนหายใจน้อยๆ แล้วกล่าว “เกรงว่าช่วงนี้คงจะไม่ได้ พูดไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้เจอเทพฝูชางมานานแล้วเหมือนกัน เขาจะมาเมื่อไหร่ หากว่าเจ้ารู้จะต้องเขียนมาบอกข้านะ”
เซ่าอี๋แย่งเอามีดในมือนางมาแล้วกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “มีข้าแล้ว ยังอยากได้เทพอื่นอีกหรือ เจ้ามันปีศาจสาวตัวน้อยที่ไม่รู้จักพอ”
หนิงอิงลอบหัวเราะ แล้วเงาร่างของนางก็กลายเป็นหนูสีขาวนับไม่ถ้วนบนพื้นพร้อมกับกระจายไป เหลือเพียงเสียงสะท้อนว่า “ข้าทำเจ้าบาดเจ็บ เจ้าอย่าโกรธข้าเลย เพราะท่านพ่อข้าคอยเร่งข้าตลอด ใช่แล้ว อย่าลืมบอกเทพฝูชางให้ข้าด้วย ข้าก็ยังคงอยากจะแลกเปลี่ยนหยินหยางกับเขาที่สุด”
เซ่าอี๋แบมือออก ไม่ผิดจากที่คาด มีดสีดำสนิทเล่มนี้ถูกไอขุ่นมัวย้อมไว้ แผลที่ถูกกรีดบนฝ่ามือเขานั้นทั้งลึกและยาว บาดแผลเป็นสีดำสนิท มีไอขุ่นมัววนเวียนอยู่ตลอด
จื่อซีมองนิ่งอยู่นาน พลันราวกับได้สติขึ้นมา นางรีบคว้ามือของเขาและใช้เวทคืนสภาพบนบาดแผล
เซ่าอี๋ผลักนางออกอีกครั้ง “มีไอขุ่นมัวอยู่ ใช้เวทคืนสภาพไม่ได้”
“…ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดี” จื่อซีถามออกมาอย่างมึนงง ที่เขาลงมือช่วยเมื่อครู่นี้ ทำให้ตอนนี้นางยังคงตั้งสติไม่ได้
เซ่าอี๋ไม่ตอบแต่หันกลับไปมองม่านพลัง เพลิงหงส์อมตะไม่ได้รุนแรงเช่นก่อนหน้านี้แล้ว หนูสีขาวกรูเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าคงจะต้านไว้ไม่อยู่แล้ว
มหาเทพโกวเฉินกับราชาหนูในร่างปีศาจสู้กันอย่างรุนแรง ครั้นเห็นเพลิงหงส์อมตะโหมแรงขึ้นสูงและเริ่มมอดลงราวกับจะดับ เขาก็เริ่มบันดาลโทสะทันที “เพลิงเล่า?! พลังเทพของเจ้าหมดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?!”
เซ่าอี๋ฝืนยิ้มแล้วแบมือออก ฝ่ามือข้างขวาของเขาชุ่มไปด้วยโลหิต ไอขุ่นมัวสีดำพลิ้วไหวไปมาบนบาดแผล
มหาเทพโกวเฉินโมโหจนผมแทบชี้ชัน “ใครใช้ให้เจ้าไปถูกไอขุ่นมัวเข้า?!”
เหล่านักรบไม่ว่าบาดเจ็บหนักเท่าไหร่ก็ยังไม่เป็นไร เวททั้งหลายต่างสามารถสมานแผลได้ หากไม่ไหวจริงๆ ก็ยังมีขนหัวใจหงส์ตระกูลชิงหยางอยู่ แต่หากบาดแผลสัมผัสถูกไอขุ่นมัวเข้าก็ได้แต่ต้องกลับไปรักษาตัวที่แดนเทพเท่านั้น ต้องรอให้ไอบริสุทธิ์ขจัดพวกมันจนหมดไปก่อนถึงจะลงมาฆ่าเผ่ามารที่โลกเบื้องล่างได้อีก เหล่านักรบของหน่วยติงเหม่าฆ่าองค์ราชาฟู่เฉวี่ยนตายแล้วต่างก็กลับไปยังแดนเทพกันหมด นั่นเพราะว่ามีนักรบหลายคนที่บาดแผลสัมผัสถูกไอขุ่นมัวเข้า รัชทายาทฉางฉินยังได้แต่ทอดถอนใจออกมา คิดไม่ถึงว่าตัวเองก็ต้องมาเจอกับเรื่องบัดซบเช่นนี้เหมือนกัน
เซ่าอี๋แนะนำอย่างหวังดี “ไม่อย่างนั้นให้ข้าลองใช้พลังเทพดู หากไอขุ่นมัวเข้าไปไม่ถึงหัวใจก็น่าจะยังไม่ดับสูญ”
“หลบไปยืนรอข้างๆ เลย!”
มหาเทพโกวเฉินออกหมัดใส่ราชาหนูเสียจนคะมำ แล้วมอบหมายให้เหล่านักรบทั้งหลายช่วยกันจัดการ ตัวเขาบินไปยังหน้าม่านพลัง เห็นเพลิงหงส์อมตะกำลังจะมอดดับลงก็ได้แต่ทอดถอนใจ หากว่าให้เหล่าหนูขาวตัวเล็กเหล่านั้นบุกมายังค่ายกลได้ ก็น่าจะพอต้านได้อีกสักระยะ มีแต่ต้องอาศัยช่วงเวลาก่อนที่ค่ายกลจะถูกกัดจนพังฆ่าราชาหนูให้ได้เสียก่อนเท่านั้นแล้ว
มหาเทพโกวเฉินขมวดคิ้วมุ่น ราชาหนูนี่ก็ตื๊อนัก ยิ่งตอนนี้ตกต่ำไปเป็นเผ่ามารด้วยแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะต้องสู้พัวพันไปอีกนานเท่าไหร่ แต่สถานการณ์ตรงหน้าจะสู้นานไม่ได้ ปัจจัยไม่แน่นอนที่โลกเบื้องล่างมีมากเกินไป จะต้องขอกองหนุน เขาหยิบเอาป้ายคำสั่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วขมวดคิ้วมอง หยิบเอาใบที่เขียนว่า “อี่ไฮ่” ออกมาจุดไฟพร้อมโยนไปบนฟ้า
เพราะตระกูลจู๋อินและตระกูลชิงหยางก่อขึ้นแท้ๆ มีตระกูลชิงหยางแล้ว เขาก็จะไม่ยอมให้ตระกูลจู๋อินได้อิสระอยู่ข้างนอกนั่น!
มหาเทพโกวเฉินใช้พลังเทพออกมา ง้าวสีทองขนาดใหญ่เล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือเขา จับวางขวางในแนวระนาบกับอก พลันออกแรงผลักออกไป หนูขาวตัวเล็กมากมายที่มารวมกันอยู่ด้านนอกม่านพลังถูกพลังมหาศาลนั่นดันไปไกลถึงกว่าสิบล้านลี้ เขาจัดการกั้นม่านพลังขึ้นมาใหม่ เพียงไม่กี่เค่อ บรรดาหนูขาวตัวเล็กเหล่านั้นต่างก็วิ่งกรูกันกลับมาอีกครั้ง
มีแต่ต้องฝืนใช้พลังเทพแล้ว
มหาเทพโกวเฉินใช้พลังเทพคอยขวางเหล่าหนูขาวตัวเล็กไว้ เหล่านักรบเทพบนฟ้าเองก็เริ่มรู้สึกลำบากขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเวทหรืออาวุธ ทุกอย่างที่ใช้ออกไปล้วนไม่เกิดผลอันใดกับร่างของราชาหนูทั้งสิ้น เขาอาศัยความสามารถสมานแผลของตนแล้วปะทะกับนักรบทั้งสามพันตรงๆ หากใครขวางก็มีแต่เจ็บไปตามๆ กัน
การสู้ครั้งนี้ไม่คิดเลยว่าจะต้องสู้ที่โลกเบื้องล่างยาวถึงหนึ่งเดือน เหล่าเผ่ามารที่ราชาหนูพามาแทบจะสลายไปหมดแล้ว เหล่าเผ่ามารกระจัดกระจายทั่วๆ ไปที่มาลอบโจมตีก็ถูกขวางไว้ได้สำเร็จ ส่วนเหล่านักรบก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว มหาเทพโกวเฉินรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา เขาหอบหายใจแล้วเงยหน้าขึ้น ราชาหนูยังคงต่อสู้พัวพันด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่า
เขามีใจจะอยากจะไปสู้ แต่ตระกูลชิงหยางสัมผัสถูกไอขุ่นมัวเข้า ไม่มีนักรบสามารถต้านหนูขาวตัวเล็กได้ หากเหล่าหนูขาวตัวเล็กเข้าไปในทะเลหลีเฮิ่นได้ พวกเขาคงได้แพ้อย่างอนาถแน่
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง พลันมีเกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนปลิวลงมาจากท้องฟ้า ท้องฟ้าสลัวยิ่งดูมืดครึ้มลงไปอีก หนูขาวตัวเล็กมากมายเหล่านั้นเมื่อสัมผัสถูกเกล็ดหิมะเข้าฝีเท้าพวกมันก็พลันช้าลง และถูกแช่แข็งอยู่กับที่
สีหน้าเคร่งขรึมของมหาเทพโกวเฉินพลันมีความยินดีปรากฏขึ้นมา แล้วเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า ‘การที่ตระกูลจู๋อินมานี่ช่างดีจริงๆ’
“ท่านโกวเฉิน” นักรบจำนวนมากมายของหน่วยอี่ไฮ่ลงมาที่พื้นตรงหน้าเขาแล้วประสานมือคารวะ “นักรบหน่วยอี่ไฮ่จำนวนสามร้อยคนมาสนับสนุนแล้ว”
มหาเทพโกวเฉินพลันรู้สึกว่าความดีใจแทบคลั่งเมื่อครู่นี้ของเขาแลดูขายหน้าอยู่บ้าง จึงแสร้งปั้นหน้าแล้วกล่าวตำหนิไป “มาช้าเกินไปแล้ว!”
ราชาหนูที่เมื่อครู่ยังแสดงพลังอย่างน่าเกรงขามอยู่ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา เขาร้องเสียงต่ำก่อนจะกลายเป็นสายลมเย็นคิดจะหนีไป
กำแพงน้ำแข็งโปร่งใสพลันเข้ามาขวางตรงหน้าเขา มหาเทพจงซานพุ่งผ่านชั้นน้ำแข็งเข้ามาแล้วใช้มือคว้าสายลมเย็นกลุ่มนั้น เหล่าเทพทั้งหลายไม่มีใครมองเห็นชัดว่าเขาลงมืออย่างไร ทุกคนรู้แต่ว่ามันรวดเร็วมาก กลางอากาศมีเพียงเสียงร้องน่าสลดของราชาหนูดังมาเป็นระยะเท่านั้น
แสงสะท้อนแวบผ่านไป ร่างปีศาจใหญ่โตของราชาหนูก็ร่วงลงมาที่พื้นช้าๆ และหดเล็กลงจนเหลือเป็นร่างหนูสีขาวขนาดสามฉื่อตัวหนึ่งเท่านั้น มันนอนหงายท้องแน่นิ่งราวกับตายแล้วอย่างนั้น
มหาเทพโกวเฉินถอนหายใจออกมา นี่ก็คือตระกูลจู๋อิน มิน่าทำอะไรถึงได้ไม่สนใจอะไรและอวดดีโอหังอย่างนั้น พวกเขามีความสามารถเช่นนั้นจริงๆ แค่ไม่นานก็สามารถจัดการราชาหนูที่พวกเขาจัดการไม่ได้ถึงหนึ่งเดือนจนกลายเป็นก้อนเนื้อได้
เขารีบเดินเข้าไปประสานมือคารวะ “มหาเทพจงซาน ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ”
มหาเทพจงซานร่อนลงมาที่พื้นช้าๆ พยักหน้าเงียบๆ เป็นนัยว่ารับรู้ นับตั้งแต่เรื่องของเผ่าถงซาน นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไปมาก ไม่ได้ใจดีเข้ากับคนง่ายอย่างแต่ก่อนอีก ใบหน้าเขามีเพียงความเยือกเย็นและเศร้าสร้อย และความเยือกเย็นนี้กลับทำให้เทพทั้งหลายพากันรู้สึกเคารพยำเกรงจนไม่กล้าแอบหัวเราะเขาเรื่องที่เขาเสเพลในอดีตอีก
ร่างเดิมของราชาหนูที่ถูกแช่แข็งถูกพันธนาการเอาไว้หลายชั้น ทั้งยังใช้กระดาษสีขาวที่ใช้ชาดเขียนคาถาไว้จนเต็มแปะไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายชั้น จนแน่ใจว่าต่อให้เป็นราชาชือโหยวก็คงไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้แน่ เหล่านักรบถึงได้ยกเขาขึ้นแล้วส่งไปยังประตูสวรรค์ทิศใต้
“ไปเถอะ”
มหาเทพจงซานบทจะมาก็มา จะไปก็ไป เขายกมือแล้วใช้พลังมืดจู๋อินออกมา ใครจะรู้ว่าเขาใช้ออกมาได้ครึ่งเดียวก็พลันหมุนตัวกลับไปอย่างงงงัน และพบว่าพลังมืดจู๋อินอีกครึ่งของเขากลับลอยไปทางทะเลหลีเฮิ่นช้าๆ เขาตกใจมากและรีบร้อนไล่ตามไป
“มหาเทพ เข้าไปใกล้ทะเลหลีเฉิ่นมากไม่ได้!”
มหาเทพโกวเฉินเองก็ตกใจ ทะเลหลีเฮิ่นประหลาดนี้หากมีเทพเข้าไปใกล้ก็จะลากพวกเขาเข้าไปกระทั่งดับสูญแล้วก็ยังออกมาไม่ได้ เขากลายเป็นพายุไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่ากลับเห็นมหาเทพจงซานพุ่งผ่านค่ายกลไปและกำลังจะเรียกพลังมืดจู๋อินกลับมา แต่ทะเลหลีเฮิ่นที่สงบนิ่งกลับยกตัวขึ้น คลื่นสีดำม้วนเข้ามาและลากเขาเข้าไป
มหาเทพโกวเฉินรีบร้อนไปดึงเอวเขาเอาไว้ เขาออกแรงดึงทำให้คลื่นสีดำม้วนโถมใส่อากาศ แต่มันกลับไม่ยอมร่วงลงไป มันกลับคล้ายปากขนาดใหญ่ที่อ้ากว้างแล้วกลืนกินพลังมืดจู๋อินเข้าไปทั้งคำ จากนั้นก็กลับไปที่เดิมอย่างรวดเร็ว ทะเลกลับมาสงบราบเรียบอีกครั้ง เพียงแต่ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัว