บทที่ 106 ส่วนลึกในใจ

บุหลันเคียงรัก

มหาเทพจงซานหน้าซีดเผือด เขาจ้องมือทั้งสองของตนด้วยความขบขันอยู่บ้าง เขากลับถูกทะเลหลีเฮิ่นนี่ดูดกลืนเอาพลังมืดจู๋อินเข้าไปถึงครึ่งหนึ่งอย่างน่าพิศวง

 

 

รอบด้านเงียบสนิท เทพทั้งหลายต่างก็ถูกปรากฏการณ์ประหลาดนี้ทำให้ตะลึงงันกันไปหมด

 

 

หมอกสีดำที่ปกคลุมทะเลหลีเฮิ่นคือพลังมืดของตระกูลจู๋อิน และพลังเทพคืนชีวิตของตระกูลชิงหยางก็คือสิ่งที่ทำให้เผ่ามารทั้งหลายมีพลังสมานแผลอย่างนั้นได้ นี่คือสิ่งที่เทพทั้งหลายของแดนเทพรู้กันดี แต่เพราะตระกูลทั้งสองต่างก็ไม่น่าไปหาเรื่องทั้งนั้น เหล่าเทพจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกัน

 

 

แต่ใครก็นึกไม่ถึงว่า ทะเลหลีเฮิ่นยังสามารถกลืนพลังมืดตระกูลจู๋อินได้ และเมื่อกลืนลงไปแล้วยังมีขนาดใหญ่ขึ้นอีก ทะเลหลีเฮิ่นที่มีน้ำสีดำเหนียวหนืดตรงหน้านี้เริ่มมีหมอกสีดำเข้ามาปกคลุมจนเต็ม เหล่านักรบต่างรู้สึกแย่มากถึงขีดสุดขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“รีบกลับไปรายงานสถานการณ์ของทะเลหลีเฮิ่นที่ตำหนักอวี้หวาโดยเร็ว!” มหาเทพโกวเฉินสั่งการทันที “มหาเทพจงซาน ดูแล้วตระกูลจู๋อินคงจะเข้าใกล้ทะเลหลีเฮิ่นไม่ได้ มหาเทพอย่าได้อยู่ต่อเลยเพื่อป้องกันเกิดเหตุไม่คาดคิดอีก”

 

 

ยามที่มหาเทพจงซานพาเหล่านักรบหน่วยอี่ไฮ่จากไป เขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในพริบตาเมื่อครู่นั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

พลังมืดจู๋อินที่หายไปนั้น เมื่อเวลาผ่านไปก็จะสามารถใช้พลังเทพรวมขึ้นมาใหม่ได้ แต่อย่างน้อย ในหลายพันปีนี้พลังจะไม่มีอำนาจเท่าแต่ก่อนอีก เรียกได้ว่าเป็นหายนะที่คาดไม่ถึงอย่างแท้จริง

 

 

ถึงจะสามารถขจัดปัญหาอย่างราชาหนูไปได้อย่างราบรื่น แต่บรรยากาศของหน่วยอู้เฉินกลับดูกดดันกว่าแต่ก่อนมากนัก มหาเทพโกวเฉินมองไปยังหมอกสีดำในทะเลหลีเฮิ่นที่กำลังขยายออกไปช้าๆ จากในค่ายกล นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน

 

 

ข้างๆ มีนักรบกล่าวเตือนว่า “มหาเทพโกวเฉิน บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ หากว่าทะเลหลีเฮิ่นยังคงขยายตัวเหมือนอย่างแต่ก่อน พวกเรากลับจะสามารถอาศัยโอกาสนี้ฆ่าเผ่ามารของโลกเบื้องล่างให้หมดไปได้”

 

 

อย่างน้อยก็ไม่ต้องมากังวลว่ามันจะดีดเศษชิ้นส่วนออกไปข้างนอกนั่นอีก

 

 

มหาเทพโกวเฉินส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ “พลังมืดจู๋อินของมหาเทพจงซานจะนำไปเทียบกับมหาเทพจงซานในยุคก่อนหน้านั้นได้อย่างไร และตอนนี้พลังยังมาเหลือเพียงครึ่งเดียวอีก เกรงว่าเวลาคงจะไม่พอ”

 

 

แต่ก็หาวิธีอื่นไม่ได้แล้วจริงๆ เขานิ่งไปนานแล้วพลันสั่งไปว่า “เอากระดาษมา”

 

 

กระดาษขาวถูกส่งมาถึงมือเขาอย่างนอบน้อม เขากัดปลายนิ้วจนเป็นแผล แล้วใช้เลือดเขียนอักษรมากมายลงไปหนึ่งบรรทัด ติดตราประทับแล้วผนึกซอง เขามองไปรอบบริเวณก็เห็นว่าตระกูลชิงหยางที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้นกำลังนั่งตรวจแผลอยู่กลางแสงค่ายกล เขาจึงรีบเรียกเขาไว้ “ตระกูลชิงหยางทางนั้นน่ะ มานี่”

 

 

เขาส่งจดหมายให้เซ่าอี๋อย่างรวดเร็ว กำชับด้วยท่าทีจริงจังว่า “เจ้ากลับไปแดนเทพ แล้วนำจดหมายนี้ไปให้กับมหาเทพชิงหยวนของตำหนักอวี้หวา ส่วนเจ้า รอให้ไอขุ่นมัวถูกขจัดไปจนหมดเสียก่อนแล้วค่อยลงมาใหม่”

 

 

เซ่าอี๋อมยิ้มน้อยๆ พยักหน้า” ขอรับ”

 

 

เขาเหาะออกจากค่ายกลใหญ่ เอานิ้วมือเข้าไปในปากแล้วเป่าลมออกมา ไม่นาน หงส์แดงขนาดยักษ์ก็กระพือปีกพร้อมถลาลงมาตรงหน้าเขา มันก้มหน้าลงแล้วใช้หัวของมันคลอเคลียที่หน้าอกเขาอย่างสนิทสนม

 

 

จื่อซีคอยมองเขาจากที่ไกลๆ อยู่ตลอด นางเห็นเขาคิดจะไปก็ไป ซ้ำยังไม่กล่าวอะไรกับตนสักคำ จึงอดไม่ไหวไล่ตามไป นางรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยปากไปว่า “เซ่าอี๋ เพราะเจ้าช่วยข้า…ถึงได้บาดเจ็บ ข้า ให้ข้าส่งเจ้ากลับไปแดนเทพดีหรือไม่”

 

 

เซ่าอี๋หันกลับมาแล้วยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวว่า ีหรือไม่าจะส่งเจ้ากลับไปแดนเทพ? “ไม่ต้องรบกวนศิษย์พี่หญิงหรอก ข้าควรไปแล้ว หน่วยอู้เฉินมีภาระน่าเบื่อมากมายนัก ศิษย์พี่หญิงรักษาตัวด้วย”

 

 

จื่อซีมองหงส์แดงใต้ร่างเขากระพือปีกบินขึ้นไปอย่างนิ่งงัน พริบตาเดียวมันก็หายเข้าทะเลเมฆไป เสียงลมจากการกระพือปีกของหงส์แดงไกลออกไปเรื่อยๆ ใจของนางเองก็ราวกับจะออกจากร่างไปไกลเรื่อยๆ เช่นกัน

 

 

สองหมื่นกว่าปี นางเพิ่งจะมาถึง แล้วทำไมเขาถึงได้…จากไปอย่างนี้

 

 

ความไม่ยินยอมมากมายในใจกำลังฉุดกระชากให้นางก้าวไปบนหลังเซี่ยจื้ออย่างรวดเร็ว นางขี่ลมไล่ตามไปด้านหลัง ไล่ตามไปกว่าพันลี้ ในที่สุดเซ่าอี๋ก็หยุดหงส์แดงลงแล้วหันกลับมามองนางด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

“ศิษย์พี่หญิง?” เสียงเขาเข้มขึ้น

 

 

จื่อซีเองก็รู้สึกว่านางทำตัวประหลาดมาก จึงอดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ ทั้งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

 

 

สายลมพัดมากลางเมฆ ชุมคลุมยาวและผมยาวของเซ่าอี๋ถูกพัดจนพลิ้วไสว อัญมณีสีแดงที่หน้าผากก็แกว่งเล็กน้อย น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและเป็นมิตร แต่กลับแฝงไปด้วยความเย็นชา “กลับไปเถอะ อย่าดื้อ”

 

 

อย่างนี้อีกแล้ว เขากับนางถึงจะมีเวลาอยู่ด้วยกันไม่มากนัก แต่ท่าทีของเขามักจะดูอบอุ่นน่าเข้าใกล้ แต่ก็มักจะบีบบังคับให้นางเชื่อฟังตลอดเวลา

 

 

ที่มาขอให้ช่วยที่ตำหนักหมิงซิ่งครั้งนั้น คำพูดเหล่านั้นตอนมองทะเลหลีเฮิ่นที่โลกเบื้องล่าง ทำให้นางรู้สึกว่านางน่าจะต่างไปจากเหล่าเทพธิดามากมายที่คอยล้อมหน้าล้อมหลังเขา หรือเขาอาจจะมองว่านางเป็นคนรู้ใจ แม้จะไม่ได้มีความรักใคร่ แต่ก็น่าจะมีความห่วงใยกันบ้าง และความคิดเยี่ยงนี้ก็คือสิ่งที่คอยค้ำยันนางมาตลอดสองหมื่นกว่าปีนี้ ทำให้นางหาเหตุผลให้แก่ความรักที่มิอาจตัดใจของตนเอง ให้นางยอมทิ้งทุกอย่างไล่ตามมาอยู่ข้างกายเขา

 

 

หรือว่านี่จะเป็นอีกครั้งที่นางหลอกตัวเองและคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

 

“ข้า…ข้าแค่มาส่งเจ้าที่ประตูสวรรค์ทิศใต้เท่านั้น” จื่อซีกล่าวเสียงเบา

 

 

เซ่าอี๋ถอนหายใจด้วยท่าทีที่ทั้งจนปัญญาระคนเบื่อหน่าย เขากล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่หญิง อย่าตามติดข้าเลย ได้ไหม?”

 

 

ร่างของนางแข็งทื่อไปทันที ใจที่ไม่ยินยอมทำให้นางถามตัดพ้อไปว่า “แล้วทำไมเจ้าจะต้อง…ช่วยข้าด้วย”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มแล้วถอนหายใจ “ข้าไม่ได้ช่วยท่าน ข้าทำเพื่อตัวเอง”

 

 

เขาตบหัวของหงส์แดงแล้วหันหน้ากลับไป พร้อมกล่าวเนิบนาบว่า “คำพูดเดียวกัน ข้าไม่อยากพูดอีกเป็นครั้งที่สอง อย่าเอาความคิดไร้เดียงสาของท่านมาคิดกับข้า ขอตัวก่อน ศิษย์พี่หญิง”

 

 

 

 

ผืนหญ้าของเรือนไป๋จย่าถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนร้อนระอุและอ่อนนุ่ม ถึงจะเทียบกับพรมปุยเมฆไม่ได้แม้แต่หนึ่งในหมื่นก็ตาม แต่เสวียนอี่ก็ยังรู้สึกว่าการได้นอนลงบนนั้นมีความสุขกว่ายืนมากนัก

 

 

นางนอนตะแคงบนผืนหญ้า ปล่อยให้เสื้อผ้าและเรือนผมแผ่สยายยุ่งเหยิงเต็มพื้น หิมะสีขาวบนฝ่ามือถูกคลึงจนเริ่มขึ้นเป็นรูปหัวสุนัข นางกำลังใช้เล็บมือแกะลงไปจนเป็นรูปหูแหลมเล็กสองอันอย่างระวัง

 

 

กระบี่ไม้ร่วง” ตุบ” ลงมาข้างเท้านางเบาๆ นางไม่แม้แต่จะหันไปมอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “ข้าทำไม่ได้”

 

 

เดิมพูดว่าเมื่อวานจะนอนเร็วหน่อย วันนี้จะได้ตื่นแต่เช้าแล้วแอบหนีกลับไปที่เขาจงซานได้ได้ แต่ใครจะรู้ว่าออกมาจากเรือนไป๋จย่าก็เจอกับฝูชางที่กอดอกพิงต้นอู๋ถงอยู่นอกเรือน บุรุษชุดขาวชุ่มไปด้วยน้ำค้าง จนนางอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า เจ้านี่ไม่ได้กลับไปที่วังเทพบูรพาแต่ว่านอนอยู่ที่ตำหนักอวี้หวาใช่หรือไม่? !

 

 

ในเมื่อหนีไปไม่ได้ เสวียนอี่ก็ตัดสินใจว่าวันนี้นางจะนอนอยู่บนผืนหญ้านี้ทั้งวัน ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางก็จะกล่าวแค่ “ข้าทำไม่ได้” ตอบกลับไปเท่านั้น จนถึงวันนี้เท้าของนางก็ยังเจ็บอยู่มาก ราวกับจะขาดอย่างไรอย่างนั้น เขาอย่าคิดเลยว่าจะเรียกให้นางขยับตัวได้ และก็อย่าคิดว่านางจะเป็นอย่างเมื่อวาน ที่โง่งมไปเพราะเรื่องที่มาถึงกะทันหันเกินไป

 

 

โมโหสิ ระบายโทสะสิ ทุบตีมาเลย อย่างไรตอนนี้นางก็มีเกล็ดมังกร ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

 

 

เสียงเดินบนหญ้าดังเข้ามาใกล้ เงาขนาดใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ เทพที่อยู่ด้านหลังนั่งลงข้างกายนางช้าๆ แล้วมองมาที่หัวสุนัขปั้นจากหิมะบนมือนางเงียบๆ

 

 

ไม่ให้เขาดูหรอก เสวียนอี่เตรียมจะเอาหิมะยัดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ แต่กลับได้ยินฝูชางกล่าวเสียงเบาว่า “ราชาฟู่เฉวี่ยนไม่ได้มีหน้าตาเยี่ยงนี้”

 

 

เขารู้ได้อย่างไรว่านางกำลังปั้นราชาฟู่เฉวี่ยนอยู่

 

 

เสวียนอี่หันกลับไปถาม “แล้วเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร”

 

 

ฝูชางก้มหน้าลงมองหัวสุนัขที่ดูน่ารักไร้เดียงสานั้นบนฝ่ามือนาง มันมีหูแหลมสองอัน ดวงตากลม ฟันและเขี้ยวในปากก็ประณีตงดงาม แววตาของเขาปรากฏประกายรอยยิ้มขึ้น เขาใช้ปลายนิ้วแตะที่หูของสุนัขสีขาว “น่าเกลียดกว่านี้มาก มีฟันสามแถว”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเวลาเขาสู้คือใช้แต่เขี้ยวกัดอย่างเดียวหรือ”

 

 

เขาหัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านถูกเขากัดมาหรือ” นางจำได้ว่ามหาเทพชิงหยวนบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บมา

 

 

ฝูชางยังคงยิ้มแต่กลับไม่ยอมตอบอะไร เพียงกล่าวว่า “ในบรรดาราชาของเผ่าปีศาจโบราณ ราชาฟู่เฉวี่ยนไม่ได้มีหน้าตาประหลาดที่สุด”

 

 

นางรีบถามทันที “ใครหน้าตาประหลาดที่สุด”

 

 

“ราชาจั้งไฮ่น่ะ เขามีหัวเป็นสุกร” ซ้ำยังชอบพ่นน้ำลายด้วย

 

 

เสวียนอี่พลิกตัว เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่าท่านถูกหมูกัดจนได้แผลมา”