บทที่ 159 รนหาที่ตาย ก้าวข้ามความท้าทาย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 159 รนหาที่ตาย, ก้าวข้ามความท้าทาย
สวนป๋ายฉ่าวถูกฝูงหมาป่าจู่โจม และที่ยอดเขาของสวนป๋ายฉ่าวเสด็จอาเก้ากับองค์ชายชุนหยูไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของฝูงหมาป่า แต่ยังมีการซุ่มโจมตีจากมือสังหารอีกด้วย
องค์ชายชุนหยูเชิญชวนให้เสด็จอาเก้าออกมาล่าสัตว์ และให้มีองครักษ์ติดตามมาด้วย แต่องครักษ์เหล่านั้นต่างพากันถูกฝูงหมาป่าพุ่งโจมตีใส่ เหลือเพียงองครักษ์ไม่กี่คนที่วิ่งหนีกันอย่างกระเจิดกระเจิง
“เสด็จอา พวกเรามาแข่งกันว่าใครจะยิงหมาป่าได้มากกว่ากัน” องค์ชายชุนหยูที่ได้เผชิญหน้ากับฝูงหมาป่า ไม่เพียงแต่ไม่เกรงกลัว แต่ยังตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น เขาร่นถอยไปข้างหลังและยิงธนูไปพร้อมๆกัน
ช่างเป็นการกระทำของลูกผู้ดีเสียจริง
“ซวบ……” ลูกธนูพุ่งออกไปปักคอหมาป่า องค์ชายชุนหยูหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ ไม่สนใจฝูงหมาป่าที่กำลังบุกเข้ามาและง้างธนูอีกครั้ง
“คุ้มกันองค์ชายชุนหยู อย่าให้เขาเป็นอะไรไป” เสด็จอาเก้าบอกกับองครักษ์ข้างกายของเขา ในขณะเดียวกันก็สั่งให้คนอีกหกคนออกไปปกป้ององค์ชายชุนหยูเอาไว้
องค์ชายชุนหยูไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทาง และการคุ้มกันที่รอบคอบของเสด็จอานี้ ทำให้เขาไม่สามารถเข้าใจถึงความอันตรายของเหตุการณ์ในขณะนี้ได้
“แต่ว่า ท่านอ๋อง….. รอบกายของท่านเหลือเพียงไม่กี่คนแล้วนะ”
องครักษ์เกิดความลังเลใจ
พวกเขานั้นรู้ดีว่าเสด็จอานั้นเป็นห่วงองค์ชายชุนหยูเป็นอย่างมาก จะให้องค์ชายชุนหยูเกิดอันตรายมิได้เป็นเอันขาด
“ข้าไม่เป็นอะไร” ตงหลิงจิ่วมองไปที่ฝูงหมาป่าด้วยสายตาที่เย็นชา เขาขี่ม้าขึ้นที่สูงโดยไม่แสดงอาการตื่นตระหนกใดๆ ตงหลิงจิ่วมีท่าทีที่สุขุม ตรงกันข้ามกับองค์ชายชุนหยูที่ไม่รู้จักแยกแยะความทุกข์ยากและความสนุกสนานของโลกมนุษย์
และม้าที่เขาขี่นั้นไม่เหมือนกับม้าศึกทั่วๆไป ในขณะที่ฝูงหมาป่าโจมตี มันไม่เพียงแต่ไม่ร้องออกมาอย่างตกใจ แต่กลับก้าวขาอย่างสงบและวิ่งไปอย่างมั่นคง
“ครับ” องครักษ์มองไปที่เสด็จอาเก้าและเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นอะไร แต่องครักษ์ที่คุ้มกันอยู่รอบๆองค์ชายชุนหยู กลับล้มลงทีละคน
องค์ชายชุนหยูได้รับการคุ้มกันที่ดีมาก ดังนั้นการเผชิญหน้ากับการโจมตีของฝูงหมาป่าและมือสังหาร จึงเป็นเพียงการเล่นสนุกของเขา ในขณะที่สู้และล่าถอยไปพร้อมๆกัน เขาเหวี่ยงองครักษ์ไปมา มีหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บเพราะการทำตามอำเภอใจของเขา และเขาเองก็ไม่ได้สนใจ
ตงหลิงจิ่วเหลือบมองไปที่มือสังหารอย่างครุ่นคิด และที่มุมปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มที่เย็นชาขึ้นมา
“ไป…..” แส้ บังเหียน และม้าดีที่กำลังถูกควบ เซิงเซิงหันศีรษะและเปลี่ยนทิศทาง พุ่งเข้าหาฝูงหมาป่าจากที่สูงลงมา
“เสด็จอาเก้า…..” องครักษ์ตกใจและพากันไล่ตามเขาไป แต่ม้าของพวกเขานั้นกลัวจนขาอ่อนเมื่อได้เผชิญหน้ากับเสียงขู่ของเหล่าหมาป่า และเมื่อพวกเขาหันม้าไปรอบๆ เสด็จอาเก้าก็ออกไปจนไกลจากพวกเขาแล้ว
“เสด็จอา…..” องค์ชายชุนหยูก็ตกใจเช่นกัน เขาโยนลูกธนูในมือทิ้งทันทีและหันม้ากลับหวังจะไล่ตามไป
“ไป…..”
ม้าของเสด็จอาเก้ายกกีบเท้าหน้าขึ้นมา กระโดดข้ามหัวของฝูงหมาป่าไป และเมื่อมีเสียงกีบเท้าที่หลังตกลงถึงพื้น มันก็กระโดดเข้าไปเหยียบหมาป่าผู้หิวโหย บดขยี้สมองของหมาป่าโดยตรง
“จื่อชุน เสด็จอาจะคุ้มกันหลังเอาไว้ เจ้ารีบกลับไปที่วัง” เสด็จอาเก้าดูเหมือนมีตาข้างหลัง องค์ชายชุนหยูที่กำลังเตรียมตัวจะไล่ตามมา ถูกเสด็จอาเก้าห้ามเอาไว้
“ไม่ จื่อชุนไม่อาจปล่อยให้เสด็จอาตกอยู่ในอันตรายได้ จื่อชุนจะอยู่ที่นี่ช่วยเสด็จอา” ตงหลิงจื่อชุนหรือก็คือองค์ชายชุนหยู เขาตีแส้และควบม้าไล่ตามไปทันที แต่ก็ถูกฝูงหมาป่าขวางเอาไว้
ในเวลานี้ มือสังหารฆ่ากลุ่มองครักษ์อย่างไม่สนใจ พวกมันดึงร่างของเหล่าองครักษ์ออกและไล่ตามเสด็จอาเก้าไป
ไม่รู้ว่าบนร่างกายของพวกมันมีอะไรอยู่ ไม่ว่าพวกมันไปที่ไหน ฝูงหมาป่าเหล่านั้นไม่ใช่แค่ไม่กล้าลงมือกับพวกมัน แต่กลับหลีกเลี่ยงออกไปเองด้วย
ตงหลิงจิ่วเมื่อได้หันไปเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ยิ่งเข้าใจได้ว่าฝูงหมาป่าเหล่านี้ถูกคนเลี้ยงมา
เพื่อการฆ่าแล้ว นี่ถือว่าเป็นความอุตสาหะเสียจริง
มีรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาที่มุมปากของตงหลิงจิ่ว และเขายังคงควบม้าเข้าไปในป่าลึก
มือสังหารที่อยู่ด้านหลังผิวปาก และม้าดีหลายสิบตัวก็วิ่งออกมาจากในป่า แต่ละคนขี่มันออกไป ไล่ตามเสด็จอาเก้า วิ่งกลับไปกลับมาในป่าลึก
…….
อาศัยความเป็นแพทย์ที่ไวต่อการได้กลิ่นของเลือด ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินได้มาถึงพื้นที่ล่าสัตว์ ก็ได้พบกับสถานที่ที่หมาป่าปรากฏตัวออกมาเป็นที่แรก และมีศพเต็มเกลื่อนไปหมด
ม้าศึกที่ถูกหมาป่ากัดตาย องครักษ์และหมาป่าที่ถูกองครักษ์ฆ่าตาย ภาพบรรยากาศที่หดหู่ ลมที่พัดกลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่ว
เฟิ่งชิงเฉินอดทนกับอาการสะอิดสะเอียนและลงจากม้าเพื่อตรวจดู แทบจะไม่มีใครรอด สถานที่นี้น่าเวทนาไม่น้อยไปกว่าถนนที่ถูกทิ้งระเบิด
อย่างไรก็ตาม เฟิ่งชิงเฉินซึ่งคุ้นเคยกับสนามรบอันน่าสลดใจไม่รู้สึกอะไรมาก และหลังจากตรวจดูรอบๆไม่พบใครที่รอดชีวิต เฟิ่งชิงเฉินก็เริ่มมองหาร่องรอยที่ได้ออกไปจากที่นี่
“ทำไมถึงมุ่งหน้าเข้าไปในป่า?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่รอยบนพื้น และไม่สามารถเข้าใจได้
ถ้ามีสมองสักหน่อยก็คงไม่เลือกไปข้างในป่าเพราะข้างในนั้นจะยิ่งอันตราย
มีคน มีม้า และมีหมาป่า
“หรือไม่ใช่ว่าหนีไป แต่ถูกฝูงหมาป่าไล่เข้าไปอย่างนั้นหรือ?”
แต่เมื่อได้มองดูสักพัก ทิศทางที่หมาป่าเหล่านั้นตายไม่ถูกต้อง ฝูงหมาป่านั้นออกมาจากป่า ถ้าหากว่าถูกบีบบังคับให้หนีก็ต้องเป็นการวิ่งหนีไปข้างหลัง แต่ดูจากร่องรอย นี่เป็นการบุกไปด้านหน้า
“นี่มันโง่ไปหน่อยหรือเปล่า?” เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าการตัดสินใจเช่นนี้ควรจะเป็นขององค์ชายชุนหยู
เสด็จอาเก้าคงไม่ตัดสินใจทำอะไรที่ไม่ฉลาดแบบนี้
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว ก็เกิดความไม่สบายใจเล็กน้อย
ในป่าลึกตอนกลางคืนไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัย
แต่เมื่อนึกถึงเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินจึงกัดฟัน “เสด็จอาเก้าอยู่ด้านใน ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ต้องเข้าไป”
และเฟิ่งชิงเฉินก็เตรียมพร้อมก่อนที่จะเข้าไปในป่า
กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะเป็นสิ่งที่แพทย์ทหารเตรียมเอาไว้ อุปกรณ์ทางทหารถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเทียบได้กับของทางการทหาร แต่ก็ถือว่าพอมีอยู่บ้าง
หยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมา นำอุปกรณ์ฉุกเฉินเข้าไป เมื่อคิดขึ้นได้ว่าในป่านี้มีแมลงและงูอยู่มาก ก็หยิบเซรุ่มใส่เข้าไปด้วย หลังจากจัดเตรียมยาจนเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็หยิบเข็มทิศ เต็นท์ ไฟฉุกเฉินพลังงานแสงอาทิตย์ ไม้ขีดไฟ และยังมีเครื่องปรุงรสออกมา สุดท้ายคือเครื่องมือป้องกันตนเอง
เมื่อเห็นว่ากระสุนยิ่งเหลือน้อยลง ความกังวลในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินก็เพิ่มมากขึ้น
มีกระสุนทั้งหมดสิบซอง และนางใช้กล่องที่สองจนจะหมดแล้ว กระสุนกับปลอกกระสุนที่นางขุดมาได้นั้นทำได้เพียงแค่โยนทิ้งไป ถือเป็นเพียงขยะ
“น่าเสียดาย สิ่งของข้างในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะไม่สามารถจัดหามาเพิ่มได้ เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินลูบปลอกกระสุนเหล่านั้นอย่างไม่เต็มใจ
“จากที่นักวิชาการเหล่านั้นบอก จุดประสงค์ของกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะนี้คือการทำให้สิ่งของในกระเป๋าถูกเติมเต็มได้โดยอัตโนมัติ แต่น่าเสียดายที่ในมือของฉันเป็นแค่ตัวทดลอง คงจะไม่สามารถทำแบบนั้นได้หรอก
ต่อให้สามารถทำแบบนั้นได้ ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะเปิดระบบอัตโนมัตินั่นอย่างไร หรือต่อให้ระบบเติมเต็มสิ่งของอัตโนมัติใช้งานได้ ในสองช่วงเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกันแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะจัดหาสิ่งของในช่วงเวลานั้นมาจากไหน”
เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสที่กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจ
ในชีวิตก่อนหน้านี้ นางตายโดยไม่มีใครได้ทำศพให้ สิ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ว่าเธอเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาจึงมีเพียงแค่กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะนี้
เหตุใดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะนี้จึงปรากฏขึ้นที่นี่ นางเองก็อยากรู้เช่นกัน แต่มันน่าสับสนพอๆกับที่ว่าทำไมนางถึงข้ามช่วงเวลามาได้ ดังนั้นนางจึงไม่อยากรู้แล้ว เพียงแค่ทะนุถนอมชีวิตในตอนนี้ให้ดีก็พอ
หลังจากจัดเรียงสิ่งของ และแบกขึ้นบนหลัง เฟิ่งชิงเฉินก็ขึ้นบนหลังม้าอีกครั้ง และไล่ตามร่องรอยเข้าไปยังส่วนลึกของป่า
เพิ่งจะออกเดินทางได้ไม่ถึงร้อยเมตร ก็มองเห็นศพของหมาป่าหนึ่งตัว และเมื่อเดินทางต่อไปอีกก็เจอกับศพขององครักษ์สองคน และก็มีศพของหมาป่าสามตัวอยู่ด้านข้าง
เมื่อมองไปที่องครักษ์ที่ถูกกัดจนใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจและไม่ได้ตกใจอะไร เพียงแต่รู้สึกใจหายเล็กน้อย
นางเคยได้เห็นกับตาตนเอง เสือที่กำลังกินชายคนหนึ่งทั้งเป็น ในตอนนั้นนางก็ยืนอยู่ข้างๆ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้……