“เรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมชีวิตของข้าถึงเป็นอันตรายล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เจียงหยวนจ้องตาเขม็งไปที่ชายแก่ในทันที
“กลับสำนักก่อนค่อยว่ากัน”
ตลอดทาง ชายแก่ดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว แถมเขายังหันมามองเจียงหยวนอยู่อย่างไม่ค่อยจะว่างเว้น
นี่ทำให้เจียงหยัวขมวดคิ้วไปตลอดทาง แต่ก็ยังไม่ได้ถามอะไรออกมา
เมืองเทียนหลันแห่งนี้มีขนาดที่ใหญ่กว่าเมืองเทียนหยางนับร้อยเท่าสมกับเป็นเมืองหลวงของประเทศ และสำนักจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เองก็ต้องอยู่ในพื้นที่ฝั่งใต้ของเมืองเทียนหลัน
ที่นี่ ชายแก่คนหนึ่งที่ผมหงอกขาวไปจนเต็มหัวได้นั่งนิ่งอยู่ที่หน้าประตู เขาดูเหมือนรูปปั้นเพราะไม่ยอมขยับเขยื้อน แม้ชายแก่ที่พาเจียงหยวนมาและตัวเจียงหยวนเองเดินผ่านเขาไปก็ยังไม่เหลียวมอง
สำนักจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แห่งนี้มีศิษย์อยู่น้อยกว่าพันคน แม้แต่คณาจารย์ทั้งหมดรวมกันก็ยังมีไม่ถึงร้อยคน
ด้วยพื้นที่ที่กว้างใหญ่ของสำนัก ต่อให้แต่ละคนเดินห่างกันไปโยชน์ คนที่อยู่หัวแถวก็ยังไม่อาจมองเห็นคนที่อยู่ท้ายแถวได้
ชายแก่พูดออกมาเล็กน้อยในขณะที่เดินนำทางไป
ในที่สุดเจียงหยวนก็รู้ว่าในตอนนี้เขากำลังจะไปที่ไหน นั่นก็คือเขากำลังจะไปพบเจ้าสำนักของสำนักจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
ผู้บ่มเพาะระดับยอดยุทธ ยอดยุทธทลายสวรรค์ เสวี่ยหยูเมิ่ง
ไม่นานนัก หลังจากที่เจียงหยวนได้ถูกพาเดินผ่านตึกสูงใหญ่ไปสักพัก เจียงหยวนและชายแก่ที่รับสมัครเจียงหยวนเข้ามาก็มาถึงบ้านไม้ที่แยกออกมาหลังหนึ่ง
“ท่านเจ้าสำนัก เรื่องนั้นเกิดขึ้นอีกแล้วขอรับ”
ชายแก่ที่คิ้วขมวดเล็กน้อยได้ยืนตรงหน้าบ้านไม้อย่างไม่ไหวติงหลังจากพูดออกไป
“นำเขาเข้ามา ข้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง”
เสียงที่ฟังดูก้องกังวาลได้ดังขึ้นมาจากด้านในบ้านไม้
“เข้าไปกัน”
เจียงหยวนยังคงไม่ได้ถามอะไรออกมา ทำเพียงแค่เดินตรงเข้าไปในบ้าน
ภายในบ้านไม้แห่งนี้มีการตกแต่งด้วยเครื่องใช้ที่ทำจากไม้ที่เรียบง่ายไม่ว่าจะเป็นเตียง เก้าอี้ บานหน้าต่างที่ดูผุๆ และกองหนังสือที่อยู่หัวเตียง ราวกับว่าเป็นบ้านของบัณฑิตผู้ยากไร้
เป็นตอนนี้ที่ชายคนหนึ่งในชุดเสื้อผ้าธรรมดาที่นั่งอยู่ข้างเตียงและถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือพลิกอ่านมันไปมาราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง
เมื่อชายคนนี้ได้เห็นเจียงหยวนเข้ามาในห้อง เขาก็ได้พูดออกมาเบาๆ “เจ้าคือคนที่ได้พบเด็กสาวต้องสาปเช่นนั้นรึ”
เจียงหยวนพยักหน้ารับก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆกลับไป “ใช่ครับ ข้ามีนามว่าเจียงหยวน”
ชายคนนี้เมื่อถามเสร็จก็ยังคงพลิกหนังสือในมือกลับไปมาราวกับยังไม่สิ่งที่ต้องการจะหา ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่นิ่งลึก “หมดหวังแล้ว….กลับไปกราบคารวะพ่อแม่ของเจ้าซะ ภายในไม่ถึงสองปีเจ้าต้องซี้แหงๆ”
“ไม่มีทางแก้เหรอ”
เจียงหยวนยังคงสับสนอยู่เล็กน้อย ตอนแรกเขาก็คิดว่าเจ้าสำนักคนนี้จะบอกอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขาบ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่เจอหน้าก็สาปส่งเขากันเสียงอย่างนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าเนี่ยนะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถขึ้นไปอยู่ในระดับยอดยุทธได้ในเวลาสองปีรึไง”
เสวี่ยหยูเมิ่งได้พูดออกมาอย่างติดตลกเมื่อได้ยิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเผยให้ใบหน้าที่ดูสุขุมและหล่อเหลากลายๆ ดูเพียงผิวเผินเขามองดูคล้ายคนอายุยี่สิบปีเพียงเท่านั้น
“ข้าทำได้”
เสวี่ยหยูเมิ่งยืนขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยิน ก่อนที่แหวนที่สวมอยู่ของเขาจะส่องแสง แล้วมีหินกลมมลก้อนหนึ่งปรากฎออกมาอยู่ในมือ
“แตะมันสิ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจียงหยวนจึงค่อยๆวางมือไว้บนหิว
อย่างไรก็ตาม หินก้อนนี้เมื่อถูกเจียงหยวนแตะไปแล้วเขากลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง หรืออย่างน้อยๆเขาก็ไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากมัน
เสวี่ยหยูเมิ่งได้ยิ้มออกมาอย่างละมุน ก่อนจะพูดออกมา “เป็นเจ้านี่เอง”
“หินก้อนนี้เอาไว้ทำอะไรหรือครับ”
เจียงหยวนถามออกมาอย่างสงสัย พลางมองไปที่หินกลมมลที่สัมผัสอยู่
เสวี่ยหยูเมิ่งเมื่อได้ยินก็ได้อธิบายออกมา
“นี่คือหินต้องสาป หากเจ้าดูดีๆ เจ้าจะเห็นร่องรอยของควันสีดำอยู่ภายใน มันเป็นหลักฐานว่าตัวเจ้านั้นโดนคำสาปอยู่”
“หากว่าหินก้อนนี้เปลี่ยนกลายเป็นสีดำสนิท นั่นหมายความว่าคำสาปของเจ้าเริ่มผลของมันไปแล้ว แม้แต่ข้าก็ยังช่วยเจ้าไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า หากข้าไปถึงระดับยอดยุทธได้ก่อนที่หินก้อนนี้จะกลายเป็นสีดำสนิท คำสาปของข้าก็จะถูกถอนออกอย่างนั้นหรือครับ”
เจียงหยวนที่ยังคงสงสัยกับเรื่องราวได้ถามออกมา นี่ทำให้เสวี่ยหยูเมิ่งยืนนิ่งราวกับไม่กล้าที่จะพูดออกมาอย่างมั่นใจได้อยู่อีกพักใหญ่