บทที่ 51 คําสาปของหญิงสาว

ข้าแค่อยาก “กิน” อย่างเงียบๆ

“ก็ไม่เชิงการอยู่ในระดับยอดยุทธเป็นเพียงก้าวแรกของการแก้คําสาปเท่านั้นมันเพียงแค่ช่วยทําให้เจ้าตายช้าลงไปอีกไม่กี่ปีหากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่เจ้ามีที่ที่เจ้าต้องไป”

เจียงหยวนขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถามออกมา “ที่ใดกัน”

เสวี่ยหยูเพิ่งได้พูดออกมาเบาๆ“หนึ่งปีหลังจากนี้เขตแดนลับที่จะเปิดในทุกหนึ่งร้อยปีจะเปิดให้เข้าและมีเพียงผู้บ่มเพาะระดับยอดยุทธเท่านั้นที่จะเข้าไปได้”

“สิ่งที่เจ้าต้องทําก็คือต้องหาให้พบว่าหญิงสาวคนนั้นเหลือสิ่งใดเอาไว้ที่นั่นให้กับเจ้าหรือจะให้พูดก็คือเจ้าต้องทะลวงไปจนถึงระดับขั้นยอดยุทธภายในหนึ่งปีถึงจะมีโอกาสขจัดเภทภัยที่จะถาโถมมาหาเจ้าในอนาคตได้”
“นี่มันคือคําสาปอะไรกัน”

เจียงหยวนถามออกมาอย่างสงสัย เพราะจนมาถึงตอนนี้ เขายังไม่รู้อะไรแน่ชัดเลยแม้แต่น้อย

“คําสาปนี้เกิดขึ้นนับแต่ก่อต้องสํานักมา เด็กสาวคนนั้นคือศิษย์พี่รุ่นแรกของสํานักของพวกเราจะบอกว่านางคือผู้มีอัจฉริยะภาพคนหนึ่งในยุคนั้นเลยก็ว่าได้”

“ย้อนกลับไปในตอนที่เขตแดนลับได้เปิดออก เด็กสาวคนนี้ได้หายตัวไปโดยอะไรก็ไม่มีใครทราบได้หลังจากนั้น นางก็กลายเป็นคําสาปของสํานักเราที่จะปรากฎขึ้นในตอนที่พวกเรารับสมัครศิษย์คนใหม่”

“ในยามค่ําคืนเดือนมืด เด็กสาวคนนั้นจะปรากฎอยู่เคียงข้างบุคคลที่ถูกสาป และคอยบอกเล่าเรื่องราวว่าทําไมนางถึงได้หายตัวไป”

เสวี่ยหยูเพิ่งได้เว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา

“ในช่วงสองร้อยปีมานี้ ไม่มีใครเลยที่แก้คําสาปนี้สําเร็จได้”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เจียงหยวนก็นิ่งอึ้งไป นั่นก็เพราะการที่เขาเห็นหญิงสาวคนนี้กับตาตัวเอง มันก็หมายความว่ายังไม่มีใครแก้คําสาปนี้ได้จริงๆ

“จํานวนของผู้ล่วงลับภายใต้คําสาปนี้ก็คืออัจฉริยะรุ่นเยาว์กว่าสองร้อยห้าสิบเจ็ดคน”

เสวียหยูเมิงได้พูดออกมาพลางพยักหน้า

“โอ๊ยยยยย ข้าไม่น่าเลยจริงจริง”

เจียงหยวนขมวดคิ้วแน่นพลางพูดบ่นออกมาด้วยความสํานึกเสียใจที่เลือกเข้าสํานักจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

“มันสายไปแล้วล่ะที่จะพูดบ่น หากเจ้าต้องการที่จะเผชิญหน้ากับคําสาปนี้ พวกเราจะไม่อิดออดที่จะช่วยเหลือการบ่มเพาะของเจ้าแม้แต่น้อย”

“แถม หากเจ้าทําลายคําสาปนี้ได้ ข้า ในนามของเจ้าสํานักจิตวิญญาณแห่ งการต่อสู้จะมอบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”

“งั้นข้าจะลองดูก็แล้วกัน ต่อให้มีปัญหาอยู่บ้าง อย่างมากก็ทําได้เพียงโทษตัวเองเท่านั้น”

เจียงหยวนส่ายหน้าไปมาพลางพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง แต่ภายในใจของเขาไม่ได้กังวลในเรื่องนี้แต่อย่างใด ยังไงซะ เขาก็ยังมีระบบที่คอยเกื้อหนุนเขาอยู่

เมื่อเห็นว่าเจียงหยวนพูดบ่นออกมาตอนนี้เสวี่ยหยูเพิ่งกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ย้อนกลับไปเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ล้วนแล้วแต่พูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัวในเรื่องนี้เป็นอย่างมากแต่กับเจียงหยวนนั้นเขากลับพูดออกมาราวกับรับรู้ว่าต่อให้โดนคําสาปนี้จริงๆเขาก็จะไม่มีวันตายเพราะเรื่องนี้

“ผู้อาวุโสหลิวพาเขาไปยังที่พักของศิษย์ปีนี้ซะ”

“ขอรับ ท่านเจ้าสํานัก”

หลังจากเดินผ่านตึกหลังใหญ่ไปสามตึก หอคอยสูงไปสี่ตึก เดินผ่านโถงทางเดินกว้างแห่งหนึ่งมาเจียงหยวนก็ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง

“นี่คือที่พักของศิษย์ใหม่ปีนี้หอปฐพีเจ้าจะอยู่ที่นี่นับจากนี้เพื่อนร่วมสํานักของเจ้าที่เข้ามาพร้อมกันมีชื่อว่าหลิวหวังหากเจ้าต้องการอะไรเจ้าสามารถบอกกับข้าได้ทุกเมื่อ

“ไม่ต้องห่วงขอรับผู้อาวุโสหลิวท่านสามารถจากไปได้เลย”

เจียงหยวนพยักหน้ารับพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นผู้อาวุโสหลิวจากไปเจียงหยวนจึงเดินเข้าไปสํารวจด้านใน

“อั้ม”

“ศิษย์ใหม่งั้นรี”

“ดูเหมือนว่าวันนี้จะได้ศิษย์มาแค่คนเดียวกระมัง”

ในขณะเดียวกัน เจียงหยวนที่เข้าไปด้านใน เมื่อเห็นทุกคนภายในห้องก็ได้กล่าวทักทายทําความรู้จักออกมาในทันที

“สวัสดีทุกท่านข้ามีชื่อว่าเจียงหยวนเป็นศิษย์ใหม่ที่ทางสํานักได้รับเข้ามาในวันนี้”

เจียงหยวนพูดออกมาก็สังเกตุเห็นว่าสายตาทั้งสี่คู่จับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มในชุดสีแดงผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านข้างของห้องก็ได้เป็นผู้พูดเปิดขึ้นมาด้วยอารมณ์ขัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อเจ้าพึ่งจะได้เข้ามาปีนี้เจ้าก็เป็นน้องชายของพวกเราสํานักของเรามีคนอยู่น้อยน่ะแล้วก็แน่นอนว่าพวกเราเองห้ามมีเรื่องกันเป็นอันขาด”

“ใช่ พวกเราในที่นี้ถือว่าเป็นพี่น้องกันแล้วข้ามีชื่อว่าลีฮวน”

ชายหนุ่มที่ดูราวกับบัณฑิตในชุดขาวที่อยู่ข้างๆเยจิวชั่นได้หัวเราะออกมา