บทที่ 111 ลืมเลือน
เวลาหมุนไปไวนัก
พริบตาเดียวเวลา 1 เดือนก็ผ่านพ้นไป
ในที่สุดเวลาปล่อยตัวก็มาถึง
จูเซียนเหยาสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงเมื่อคราวพบซูเฉินครั้งแรก นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะแต่งตัว กำลังจับตรงนั้นแต่งตรงนี้ให้เรียบร้อย
นางใช้หวีหยกสางผม เรือนผมนางสยายออกราวใบหลิว ไม่อาจดับความวุ่นวายภายในใจลงได้
นางพลันวางหวีลงแล้วเอ่ย “ช่วยข้าเปลี่ยนมวยผมได้หรือไม่ ?”
“ข้า ?” ซูเฉินที่ยืนอยู่หลังจูเซียนเหยาชะงักไป
จูเซียนเหยาหัวเราะ “ยังมีคนอื่นอีกหรือไร ?”
ซูเฉินมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “ข้าทำไม่เป็น”
“เดี๋ยวข้าสอน”
ลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง ซูเฉินก็เดินเข้ามาช่วยทำผมให้จูเซียนเหยา
เขาไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นจึงมีท่าทางเงอะงะนัก
จูเซียนเหยาไม่โกรธแต่อย่างใด นางค่อย ๆ สอนเขาไปอย่างอ่อนโยน
หลังจากทำใหม่อยู่หลายครั้ง ในที่สุดซูเฉินก็ช่วยจูเซียนเหยาทำผมเสร็จ
เมื่อมองไปในกระจกเขาก็เอ่ยขึ้น “เอียงไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร” จูเซียนเหยาหัวเราะ “สวยดีแล้ว”
จากนั้นนางจึงเอ่ยถามเสียงเบาหวิว “จากนี้ไปก็จะไม่ได้พบกันอีกแล้วใช่หรือไม่ ?”
ใจซูเฉินสะท้านไปเล็กน้อย เขาตอบเสียงเบา “ถูกต้อง”
หลังจากรู้จักกันได้เกือบ 3 เดือน เรื่องขัดแย้งระหว่างกันจึงเริ่มบรรเทา ซูเฉินเองก็เริ่มมองจูเซียนเหยาดีขึ้นไม่น้อย
แต่ถึงกระนั้นเรื่องที่เกิดไปแล้วย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลง คนตายไม่อาจฟื้น ภายใต้ความอ่อนโยนคือความจริงอันขื่นขม ความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันยังไม่อาจเลือนหายโดยง่าย
ดังนั้นแม้ใจเขาจะอ่อนยวบ แต่ก็ต้องซ้อนมันไว้ด้วยหินแกร่งอีกชั้น
นางจ้องลึกไปในนัยน์ตาซูเฉิน จากนั้นก็ก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง
ก่อนจะมอบจุมพิตหนึ่งให้เขา
ยามเมื่อริมฝีปากของคนทั้งคู่สัมผัสกัน ซูเฉินรู้สึกได้ถึงความรักเข้มข้นที่แผ่มาจากจูเซียนเหยา
ผ่านไปนานคนทั้งคู่จึงแยกออกจากกัน
นางมองซูเฉินก่อนกล่าว “ซูเฉิน ข้า……”
ปั้ก !
ซูเฉินสับฝ่ามือลงบนศีรษะจูเซียนเหยา
จูเซียนเหยาถูกฝ่ามือนั้นขัดประโยคที่กำลังจะเอ่ย นางจ้องมองซูเฉินด้วยสายตาตกตะลึง ร่างนางเริ่มซวนเซ
“ขอโทษด้วย ข้ารู้ว่าเจ้าจะเอ่ยคำใด…… แต่มันเป็นไปไม่ได้” ซูเฉินเอ่ย
ริมฝีปากจูเซียนเหยาสั่นระริก
จากนั้นความมืดมิดก็เริ่มกลืนกินนาง
เริ่มพิธีล้างโศกได้ !
——————————————————
นางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครา
จูเซียนเหยาพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงไม้หลังใหญ่ มีสตรีใบหน้างดงามในชุดขาวกำลังจ้องนางอยู่
“ฟื้นแล้วหรือ ?” สตรีชุดขาวเอ่ยขึ้น น้ำเสียงนางราวกับลอยมาจากที่ไกลแสนไกล
“ข้า…… ข้าอยู่ที่ไหน ?” จูเซียนเหยาพยายามลุกขึ้น ยกมือกุมหัว
สตรีชุดขาวช่วยพยุงร่างนางขึ้น “เจ้าอยู่ในห้องพักของข้าในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว”
“ทุกอย่าง ?” จูเซียนเหยาจ้องอีกฝ่ายนิ่ง “เจ้าเป็นใคร ? ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร ?”
“อะไรกัน เจ้าจำไม่ได้หรือ ?” สตรีชุดขาวยิ้มอ่อนโยน “ข้าคือเยว่หลงซา”
“เยว่หลงซา ?” จูเซียนเหยานวดหัวตนเอง พยายามครุ่นคิดแต่ก็ไร้ผล “ข้าจำไม่ได้ เหตุใดข้าจึงจำสิ่งใดไม่ได้เลย ? จำได้เพียงว่าข้ามา……”
นางหยุดคิดไปอีกชั่วครู่หนึ่ง ฉับพลันความคิดหนึ่งก็แล่นขึ้นมา นางเงยหน้าขึ้น “ซูเฉิน ! ใช่แล้ว ข้ามาหาซูเฉิน !”
“เพื่อเกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาขายตำราเปิดพลังไคฮวงใช่หรือไม่ ?” เยว่หลงซากล่าวต่อ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?” จูเซียนเหยาสีหน้าเปลี่ยน
“เจ้าเป็นคนบอกข้าเอง จำไม่ได้หรือ ?” เยว่หลงซาหัวเราะ
“เป็นไปไม่ได้ !” จูเซียนเหยาเริ่มตึงเครียด “ข้าจำเจ้าไม่ได้เลย ทั้งยังไม่เคยเล่าเรื่องเช่นนี้ให้คนอื่นฟัง! อาสิบเอ็ด อาสิบเอ็ด !”
เยว่หลงซาถอนหายใจ “ดูท่าความจำเจ้าจะเสื่อม อาจเป็นผลจากอาการบาดเจ็บ ภารกิจเจ้าล้มเหลว ซูเฉินเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวงไปนานก่อนเจ้าจะมาถึงที่นี่แล้ว แม้เจ้าจะพยายามยับยั้งการเผยแพร่ของมันในป่าสนแดง แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง”
เยว่หลงซาพูดจบก็หยิบแผ่นภาพขึ้นมา
นางเปิดแผ่นภาพให้ดู จูเซียนเหยาจึงได้เห็นภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้น
นางมองภาพคนในตระกูลตายไปทีละคน เห็นหม่าเหรินเจ๋อที่ปรากฏตัวขึ้น เห็นอาสิบเอ็ดที่ถูกหม่าเหรินเจ๋อกดดันให้ปล่อยพลังออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
แต่ภาพกลับถูกตัดไปเสียเฉย ๆ แม้นางจะไม่เห็นภาพอาสิบเอ็ด แต่จูเซียนเหยาก็รู้สึกได้
นางร้องครวญเสียงสั่นสะท้านออกมาด้วยความเจ็บปวด “อาสิบเอ็ด……”
จากนั้นนางจึงหันไปจ้องเยว่หลงซา “เหตุใดเจ้าจึงมีแผ่นภาพนี้ ?”
เยว่หลงซาปัดปอยผมที่ปลิวอยู่ที่หน้าออก “อธิบายเรื่องราวให้คนความจำเสื่อมนั้นซับซ้อนยิ่ง ข้าบอกไปแล้วว่าข้ามีนามว่าเยว่หลงซา เป็นบุตรสาวของเยว่อูตี้ คนที่สังหารอาสิบเอ็ดของเจ้ามีนามว่าหม่าเหรินเจ๋อ อีกทั้งมันยังเป็นหนึ่งในนักฆ่าที่สังหารท่านพ่อของข้า วันนั้นข้าติดตามมันไป หวังจะหาโอกาสล้างแค้น แต่กลับเห็นภาพการต่อสู้ข้าจึงบันทึกไว้ เจ้าส่งแผ่นภาพหนึ่งกลับไปยังตระกูลเจ้า ส่วนแผ่นนี้เป็นอีกแผ่นที่เตรียมมา อาสิบเอ็ดโจมตีหม่าเหรินเจ๋อจนบาดเจ็บสาหัสก่อนสิ้นใจ ทำให้ข้ามีโอกาส……”
นางกดแผ่นภาพ ภาพอีกภาพหนึ่งปรากฏขึ้น คือภาพเยว่หลงซากำลังตัดหัวหม่าเหรินเจ๋อ
“แผ่นภาพนี้ไม่สมบูรณ์ !” จูเซียนเหยาร้องขึ้น
“หม่าเหรินเจ๋อนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร สังหารไม่ง่ายแม้จะบาดเจ็บหนัก ข้าไม่อยากให้คนอื่นเห็นไพ่ตายที่ข้าใช้สังหารมัน ดังนั้นจึงจัดการกับมันเล็กน้อย” เยว่หลงซาตอบเสียงเรียบ
จูเซียนเหยาเงยหน้ามองเยว่หลงซา “งั้นหลังจากนั้นเล่า ?”
“หลังจากนั้นพวกเราก็รู้จักและกลายเป็นสหาย” เยว่หลงซาหัวเราะ “เป็นเพราะเราต่างมีความแค้นกับอารามนิรันดร์ ดังนั้นจึงร่วมมือกันต่อสู้กับมัน จากนั้นไม่นานเจ้ากับข้าก็ออกไปทำลายการประชุมลับของอารามนิรันดร์ แต่เจ้ากลับได้รับบาดเจ็บ เจ้าจำไม่ได้เลยหรือ ?”
จูเซียนเหยายกมือกุมหัว “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”
“ไม่เป็นไร อาจเป็นผลจากอาการบาดเจ็บ ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไรแน่” เยว่หลงซาเอ่ยปลอบ
หลังจากค่อย ๆ คุยกันแล้ว จูเซียนเหยาก็เริ่มซึมซับข้อมูลที่ซูเฉินตระเตรียมมา นางรับรู้ว่าภารกิจของนางล้มเหลว คนในตระกูลล้มตาย จูเซียนเหยาได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ดูเศร้าซึมไป
เยว่หลงซาป้อนข้าวต้มให้นางถ้วยหนึ่ง จากนั้นพยุงนางนอนลงก่อนจากไป
ซูเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตู
“เจ้าว่าอย่างไร ?” เยว่หลงซาถาม
“นางไม่ได้โกหก” ซูเฉินตอบ
เพื่อยืนยันว่าเรื่องทุกอย่างไร้ข้อผิดพลาด ซูเฉินใช้วิชาจับคำลวงตอนเยว่หลงซากำลังป้อนข้อมูลลวงให้จูเซียนเหยา
ผลที่ออกมาคือนางสูญเสียความทรงจำไปแล้วจริง ๆ
แผนของซูเฉินประสบความสำเร็จ จากนี้ไปตระกูลจูจะไม่ใส่ใจซูเฉินอีก แต่จะหันไปใส่ใจอารามนิรันดร์แทน
3 วันต่อมา จูเซียนเหยาก็หายดี
ในวันนั้นเอง จูเซียนเหยาจึงบอกลาเยว่หลงซาและเดินทางกลับตระกูลจู
เยว่หลงซากับจูเซียนเหยาบอกลากันอย่างไม่เต็มใจ
จูเซียนเหยาคว้ามือเยว่หลงซาไว้ เอ่ยคำพูดอีกหลายคำก่อนจะจากไปอย่างไม่ยินดี
เยว่หลงซามองเงาร่างจูเซียนเหยาที่กำลังเดินจากไปแล้วก็ให้ถอนหายใจ ส่ายหัวน้อย ๆ ก่อนจะกลับสถาบันมังกรซ่อนเร้น
ดังนั้นนางจึงไม่เห็นว่าเงาร่างของจูเซียนเหยาที่เลือนหายไปแล้วพลันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
จูเซียนเหยามองเยว่หลงซาสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นหันหลังกลับไปเลี่ยงเดินไปด้านข้าง
หลังจากเดินทางมาถึงร้านน้ำชาหลังเล็กที่อยู่ริมทางเดิน จูเซียนเหยาก็นั่งลง “เถ้าแก่ !”
“มาแล้ว ! ลูกค้าต้องการสิ่งใด ?” ชายชราผิวเหี่ยวหลังค่อมเดินเข้ามาไถ่ถาม
หลังจากเดินเข้ามาใกล้จูเซียนเหยาแล้วก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ทำความเคารพคุณหนู ในที่สุดท่านก็มาเสียที”
“เป็นเวลาเท่าไรกว่าข้าจะมาที่นี่ ?” จูเซียนเหยาถามเสียงต่ำ
“3 เดือน” ชายชราตอบเสียงเบา
จูเซียนเหยานัยน์ตามีประกายวาบ “3 เดือนหรือ ? เจ้าจะบอกว่าตลอด 3 เดือนที่ผ่านมานี้ข้าไม่เคยติดต่อกลับมาเลยหรือ ?”
“ไม่เคย !”
“เจ้ารู้เรื่องการต่อสู้ป่าสนแดงหรือไม่ ?”
“ข้าน้อยปลอมตัวอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“เช่นนั้นข้าเล่า ? เจ้ารู้หรือไม่ว่า 3 เดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับข้าบ้าง ?”
“รู้บ้าง” ชายชราเงยหน้ามองจูเซียนเหยา “ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาท่านอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น”
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เหตุใดจึงไม่ออกตามหาข้า ?”
“ข้าพยายามแล้ว แต่คุณหนูไม่สนใจข้าสักนิด ดังนั้นข้าจึงไม่อาจเผยตัวตน”
สีหน้าจูเซียนเหยายิ่งทะมึนลง
“ไม่สนใจ…… แล้วข้ากำลังทำสิ่งใดเล่า ?”
“ทุกพลบค่ำของทุกวัน คุณหนูจะออกมาเดินเล่นริมแม่น้ำในสถาบันมังกรซ่อนเร้น”
“เดินเล่น ? กับใคร ? ใช่เยว่หลงซาหรือไม่ ?”
“ซูเฉิน”
เปรี๊ยะ !
แก้วในมือจูเซียนเหยาพลันแตกละเอียด