ภาคที่ 2 บทที่ 112 แจกจ่าย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 112 แจกจ่าย

ฤดูกาลผันเปลี่ยน วนเวียนไม่สิ้นสุด พริบตาเดียวเวลาครึ่งปีก็ผ่านพ้นไป

หลังจากส่งจูเซียนเหยากลับไป ทุกอย่างก็กลับคืนเป็นเช่นเดิม

ซูเฉินจมอยู่กับการค้นคว้าโดยสมบูรณ์

แม้ตอนนี้จะไม่มีสายเลือดตระกูลจูอีกต่อไป แต่ก็ยังมีตระกูลจาง ตระกูลหง ตระกูลจง ตระกูลเจิ้ง และยังมีสายเลือดอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนให้ทำการทดลอง

สำหรับซูเฉิน การต่อสู้ที่ป่าสนแดงนั้นเป็นดั่งขุมสมบัติใหญ่ มอบทักษะต้นกำเนิดให้ซูเฉินหลากหลายวิชา ให้ข้อมูลหลากหลายอย่าง อีกทั้งยังให้ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังอีกมา เมื่อคิดถึงทรัพย์มากมายที่ได้มาเพราะตำราเปิดพลังไคฮวง ตอนนี้เขาสามารถค้นคว้าทดลองเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างอิสระสมใจ

เมื่อมีเงินแล้ว การค้นคว้าของเขาจึงรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ก้าวหน้ารวดเร็วเช่นกัน

ใช้เวลาเพียงครึ่งปี เมล็ดที่หว่านไปก็เริ่มผลิดอกออกผล

ในวันนี้ ซูเฉินเรียกหวังโต้วซาน ตู้ฉิง ซุนจี้จู่ และจินหลิงเอ้อร์มาที่หอพลังต้นกำเนิด

“โอ้ มากันแล้วหรือ ?” หวังโต้วซานมักจะมาถึงเป็นคนสุดท้ายเสมอ

เมื่อเห็นว่าทุกคนมารออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ร่างอ้วนของเขาก็สั่นกระเพื่อมไปด้วยแรงหัวเราะ

ท่าทางไร้พิษภัยและเสียงหัวเราะซื่อบื้อของเขาทำให้คนมองเขาเป็นเจ้าบื้อคนหนึ่ง มีแต่ยามอยู่ในการต่อสู้แท้จริงเท่านั้นจึงจะได้เห็นมุมฉลาดเฉลียวและชั่วร้ายของเขา

“ซูเฉินเรียกมา ไม่ได้บอกว่าเรียกมาเพื่ออะไร” ซุนจี้จู่กล่าว

นับเป็นครั้งแรกที่กลุ่มพิสุทธิ์กลับมารวมตัวกันหลังจากการตายของจางเซิ่งอัน

“พนันกันหรือไม่ ? ข้าว่าเป็นข่าวดี” ตู้ฉิงหัวเราะ

“ข่าวดีอันใด ? หกตระกูลใหญ่เลิกสืบสวนแล้วหรือ ?” ซุนจี้จู่ถาม เขาไม่รู้ว่าคนจากหกตระกูลใหญ่ถูกกวาดล้างไปจนสิ้นแล้ว ดังนั้นครึ่งปีที่ผ่านมาจึงใช้ชีวิตอย่างไม่สงบสุขเท่าไรนัก

แต่หลังจากการสืบสวนในครานั้น หกตระกูลใหญ่ก็เงียบหายไป เขาจึงเริ่มผ่อนคลายลงได้บ้าง

ซูเฉินเรียกทุกคนมาพบโดยพลันเช่นนี้ทำให้จิตใจที่สงบสุขของเขาเริ่มอยู่ไม่สุขอีกครั้ง

“นี่เจ้า เรื่องนี้เรียบร้อยไปนานแล้ว เจ้ายังต้องคอยระวังอยู่อีกหรือ ?” หวังโต้วซานเอ่ยขึ้น

“ข้าแค่กังวลก็เท่านั้น” ซุนจี้จู่งึมงำ

จินหลิงเอ้อร์ถอนหายใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก ซูเฉินน่าจะจัดการหกตระกูลใหญ่เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เรียกเรามาเพราะเรื่องนั้นหรอก”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?” ตู้ฉิงถาม

จินหลิงเอ้อร์ไม่เอ่ยคำใด ส่วนหวังโต้วซานทำท่าเหมือนครุ่นคิดบางอย่างอยู่

เคาะห์ดีที่ซูเฉินไม่ปล่อยให้คนรอนานนัก ไม่นานก็ออกมาจากห้องทดลองของตน

เขาคลี่ยิ้มให้ทุกคน “โอ้ พวกเจ้ามากันแล้ว ! ขอโทษด้วยที่ต้องให้รอนาน”

จินหลิงเอ้อร์กอดไหล่ตนเองก่อนกล่าว “หากไม่ใช่ข่าวร้ายก็ยินดีรอ”

ซูเฉินได้ยินแล้วก็ชะงักไป ก่อนเข้าใจสิ่งที่นางกล่าว “พวกเจ้าคิดว่าข้าเรียกรวมตัวในวันนี้เพราะเรื่องนั้นหรือ ?”

ต่างคนต่างมองหน้ากัน

ซูเฉินหัวเราะเสียงขื่น “ขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ ไม่เกี่ยวกับเรื่องหกตระกูลใหญ่หรอก ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนั้น เรื่องพวกเขาจัดการเรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะไม่มายุ่งกับพวกเราอีก ที่ข้าเรียกมาวันนี้เพื่อมาบอกข่าวดีต่างหาก”

“ข่าวดีอะไรกัน ?” ทุกคนต่างไถ่ถาม

“อีก 2 เดือนจะมีการประลองสิ้นปี พวกเจ้าคงจะเข้าร่วมได้ใช่หรือไม่ ?”

ทุกคนพยักหน้า

“ข้าว่าอันดับแต่ละคนคงจะไม่สูงนัก” ซูเฉินพูดเสริม

ทุกคนเริ่มหัวเราะเสียงดังออกมา

กลุ่มคนที่มารวมตัวกันในวันนี้ แต่ละคนมีอันดับไม่ดีเท่าไรนัก

ตู้ฉิงและซุนจี้จู่นั้นไม่ต้องกล่าว เป็นเพียงคนธรรมดาไร้สายเลือด ความแข็งแกร่งนับได้ว่าอยู่ในกลุ่มที่ด้อยที่สุดในสถาบันมังกรซ่อนเร้น

จินหลิงเอ้อร์ก็ไม่เหมาะจะต่อสู้ในลานประลอง ดังนั้นพูดถึงนางไปก็คงไม่มีอันใด

อวิ๋นเป้านั้นแข็งแกร่งมากหากเป็นการสู้เอาชีวิตในป่า หากแต่ก็ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ในลานประลอง สำหรับเขาแล้ว การต่อสู้ที่ไม่ได้สู้กันจนตายไปข้างนั้นไร้ค่าทั้งสิ้น

หวังโต้วซานนั้นคือผู้ที่เก่งกาจที่สุด ติดอันดับ 1 ใน 100 ของการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนทุกปี เหตุผลเดียวที่อันดับไม่ขึ้นไปสูงกว่าเดิมอีกเพราะเขาไม่คิดใช้เครื่องมือต้นกำเนิดด้วยต้องการเก็บรักษาเป็นความลับ ไม่เช่นนั้นคงได้อันดับดีกว่านี้มาก

ไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใดซูเฉินจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา

ซูเฉินเดินไปยังตู้ที่อยู่มุมห้อง จากนั้นดึงแผ่นหยกออกมา “ไม่นานมานี้ข้าทำการทดลอง ข้าเชื่อว่าของเหล่านี้ต้องเป็นประโยชน์กับพวกเจ้าแน่ หวังว่าจะทำให้พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นบ้าง ฝ่าอันดับขึ้นไปได้สักหน่อย”

“หือ ?” ได้ยินเช่นนี้ทุกคนจึงเริ่มสนใจมากขึ้น

“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อย ๆ ดูทีละชิ้นก็แล้วกัน” ซูเฉินหัวเราะ

เขาหยิบแผ่นหยกหนึ่งขึ้นมา “ตู้ฉิง อันนี้ของเจ้า”

ตู้ฉิงรับมากวาดตามองดู หลังจากนั้นก็พึมพำไร้สติออกมา “วิชาอินทรีทะยานไร้ร่าง ?”

ซูเฉินเอ่ย “วิชาดาบแยกจากนั้นคล่องแคล่วว่องไวมาก ดังนั้นความลื่นไหลจึงเหมาะกับวิถีการต่อสู้ของเจ้า แต่เจ้าไร้วิชากายาดี ๆ สักวิชา ดังนั้นจึงไม่อาจแข็งแกร่งขึ้นได้มาก วิชาอินทรีทะยานไร้ร่างจะช่วยเพิ่มความเร็วให้เจ้า เมื่อใช้คู่กับวิชาดาบแยกจากน่าจะได้ผลดียิ่ง”

ตู้ฉิงตื่นเต้นยินดียิ่งนัก “ขอบคุณมากซูเฉิน !”

ตู้ฉิงขาดวิชากายาอย่างแท้จริง เป็นเพราะวิชาเหล่านี้หายากนัก ที่หาพบก็ราคาแพงเกินเอื้อม อีกทั้งยังเป็นวิชาที่ไม่เหมาะกับนางทั้งสิ้น

วิชาอินทรีทะยานไร้ร่างนั้นมาจากตระกูลกวน ซูเฉินทำความเข้าใจการเดินพลังต้นกำเนิดตระกูลกวนได้ในระดับหนึ่งหลังจากได้วิเคราะห์สสารต้นกำเนิดของกวนซานเหนียง จากนั้นเขาก็ใช้มันพัฒนาวิชากายานี้ขึ้น แม้จะไม่อาจเทียบเท่ากับวิชาตระกูลกวน แค่เพิ่มความรวดเร็วลื่นไหลกลางอากาศได้ก็มากเกินพอแล้ว

ต่อไปซูเฉินก็ส่งแผ่นหยกให้ซุนจี้จู่ “นี่ของเจ้า”

ซุนจี้จู่เอ่ยขึ้นเสียงดัง “คลื่นพลังทระนง ?”

ซูเฉินอธิบาย “วิชากระตุ้นใจที่จะช่วยให้เจ้าควบคุมการเคลื่อนไหวของพลังต้นกำเนิดภายในร่าง ความสามารถพิเศษของมันคือสามารถเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดให้กลายเป็นคลื่นพลังที่สามารถพุ่งออกไปได้ ห่วงเหล็กสะท้านปฐพีสามารถโจมตีกลางอากาศ แต่เจ้ากลับไม่อาจใช้มันโจมตีต่อจากนั้นได้ ทั้งยังไม่อาจควบคุมมันได้ อีกทั้งยังไม่อาจใช้เป็นท่าสังหารศัตรู คลื่นพลังทระนงสามารถทดแทนตรงจุดนี้ ทำให้การโจมตีของเจ้าดุดันรุนแรงขึ้นได้”

“ดียิ่ง !” ซุนจี้จู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น !

เมื่อได้วิชากระตุ้นใจมาใหม่เช่นนี้ ห่วงเหล็กสะท้านปฐพีของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าเป็นแน่

ถึงตอนนี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่าซูเฉินเรียกพวกเขามาในวันนี้เพื่ออะไร ทำให้แต่ละคนเริ่มตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ..

จินหลิงเอ้อร์กระโดดเข้ามาด้วยความตื่นเต้น “ข้าเล่า ? ของข้าได้อะไร ?”

ซูเฉินตอบ “เจ้าเชี่ยวชาญการควบคุม ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ตัวต่อตัว หากข้ามอบวิชาโจมตีให้เจ้าก็คงไร้ประโยชน์ อย่างมากก็อาจทำให้ต่อสู้ในการประลองได้ดีขึ้น แต่ไร้ประโยชน์ในการต่อสู้จริง ดังนั้นข้าจึงคิดว่าทักษะต้นกำเนิดประเภทหลบหนีจะมีประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ทักษะต้นกำเนิดประเภทหลบหนีไม่เสริมความแข็งแกร่งให้เจ้ามากนัก แต่อย่างน้อยก็เอาไว้ใช้ยามประลองหรือต่อสู้จริงได้”

ยามซูเฉินพูดขึ้นก็ส่งแผ่นหยกให้จินหลิงเอ้อร์

เมื่อจินหลิงเอ้อร์กวาดตามองก็ร้องขึ้น “จักจั่กทองลอกคราบ !?”

มันคือวิชาสัมบูรณ์ของตระกูลจักจั่นทอง

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงร้องจินหลิงเอ้อร์ก็พลันนึกความจริงข้อหนึ่งได้ ไม่ใช่ว่าวิชาอินทรีทะยานไร้ร่าง คลื่นพลังทระนง และจักจั่กทองลอกคราบ ทั้งหมดนี้เป็นวิชาสัมบูรณ์ของตระกูลกวน ตระกูลเจียง ตระกูลหงไม่ใช่หรือ ?

ซูเฉินสีหน้าไม่เปลี่ยน “ไม่ต้องห่วง ข้าทำการเปลี่ยนแปลงตัววิชาไปเล็กน้อย ใช้วิชานี้ไม่จำเป็นต้องสลัดเสื้อผ้าทิ้ง แต่ระยะทางหลบหนีจะสั้นกว่านิดหน่อย แต่หากเจ้าคุมจิตใครอยู่ เรื่องนี้คงจะเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า สามารถใช้บนสนามประลองก็ได้ หากเปลี่ยนชื่อเสียหน่อย ข้ามั่นใจว่าคนอื่นไม่มีทางรู้ว่ามันคือจักจั่กทองลอกคราบ”

“เจ้ารู้ดีว่าข้าไม่ได้ถามเรื่องนั้น” จินหลิงเอ้อร์เอ่ยเสียงเบา

“เจ้ารู้เท่านั้นก็พอ”

“แล้วข้าเล่า ? เจ้าจะให้อะไรข้า ?” หวังโต้วซานถาม “กายาหยกเงา ? หรือจะเป็นร่างแยกโลหิต ?”

ซูเฉินหัวเราะ “กายาหยกเงาเหมาะกับอวิ๋นเป้ามากกว่า ข้าจึงมอบมันให้เขา”

กายาหยกเงาเพิ่มความสามารถในการฟื้นพลังและความสามารถในการดูดซับพลังชีวิตจากพืชพันธุ์โดยรอบได้ อวิ๋นเป้าทุ่มสุดกำลังในทุกการต่อสู้ อีกทั้งยังทำการต่อสู้ส่วนมากในป่า ดังนั้นวิชานี้จึงเหมาะกับเขา

“ส่วนร่างแยกโลหิต แม้จะทำให้สามารถสร้างร่างแยกได้ แต่ร่างจริงก็จะอ่อนแอลงด้วย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับเจ้า ข้าหาวิชาที่เหมาะสมกับเจ้ามากกว่ามาให้แล้ว” ซูเฉินเอ่ย

“คืออะไร ?” หวังโต้วซานนัยน์ตาเป็นประกาย

“วิชากลืนสวรรค์” ซูเฉินตอบ

วิชากลืนสวรรค์คือวิชาที่เจิ้งปาซานใช้เพื่อเปลี่ยนไขมันที่กักเก็บไว้ในร่างเป็นพลังชีวิต

วิชานี้ไม่ใช่ทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด แต่เป็นทักษะต้นกำเนิดไร้สายเลือดที่เจิ้งปาซานได้มาจากที่อื่น แม้จะไร้สายเลือดแต่ก็ทรงพลังนัก ยังมีคนอื่นนอกจากซูเฉินที่สามารถคิดค้นวิชาไร้สายเลือดทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้อยู่อีก แต่ส่วนมากกลับเก็บวิชาไว้กับตัวอย่างเห็นแก่ตัว

หลังจากได้ฟังความสามารถของวิชากลืนสวรรค์แล้ว หวังโต้วซานก็เริ่มสนใจ ว่ากันตามตรง นี่นับเป็นทักษะต้นกำเนิดที่ทรงพลังที่สุดที่ซูเฉินเคยแจกจ่ายเลยทีเดียว

“ทักษะต้นกำเนิดนี้มีข้อด้อยเพียงหนึ่งเท่านั้น” ซูเฉินเอ่ย

“คืออะไร ?”

ซูเฉินถอนใจ “หากอยากเรียนวิชาก็ไม่อาจผอมได้อีก”

“……”