ภาคที่ 2 บทที่ 113 พุ่งขึ้นสูง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 113 พุ่งขึ้นสูง

 

 

เมื่อต้องเลือกระหว่างความแข็งแกร่งกับรูปลักษณ์ สุดท้ายหวังโต้วซานก็เลือกความแข็งแกร่ง

 

 

หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาได้ตัดสินใจเรื่องนี้ไปตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนหน้าที่ยังไม่อ้วนแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงเดินตามหนทางแห่งความอ้วนต่อไปเท่านั้น

 

 

ยังมีเวลาอีก 2 เดือนกว่าจะถึงการประลองสิ้นปี เป็นเวลามากเกินพอที่จะฝึกฝนวิชาใหม่ที่เพิ่งได้มาจนชำนาญคล่องมือ

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกซาบซึ้งใจนัก

 

 

การมอบทักษะต้นกำเนิดให้ผู้อื่นนั้น อย่างไรก็มีต้นทุนเป็นเงิน

 

 

การสร้างทักษะต้นกำเนิดให้เหมาะกับคนแต่ละคนนั้นยิ่งต้องใช้ความพยายามมากขึ้นไปอีก

 

 

เห็นได้ชัดว่าซูเฉินตระเตรียมเรื่องนี้มานานแล้ว เขาใส่ใจทุ่มเทกับทักษะต้นกำเนิดเหล่านี้มาก ไม่ใช่เพียงความคิดชั่วประเดี๋ยวแน่นอน

 

 

หวังโต้วซานพาดแขนบนคอซูเฉินแล้วเอ่ยขึ้น “มีวิชากลืนสวรรค์เช่นนี้ การประลองสิ้นปีของข้าต้องดีขึ้นมากแน่นอน”

 

 

“นี่ ข้าไม่ได้ให้ทักษะต้นกำเนิดกับเจ้าเปล่าหรอกนะ ในเมื่อพวกเจ้าได้ประโยชน์ ก็ได้เวลาพวกเจ้าทำงานให้ข้าบ้าง” ซูเฉินเอ่ย

 

 

“เจ้าต้องการสิ่งใด ?”

 

 

ซูเฉินโยนขวดเปล่าให้ “ระหว่างการประลอง อย่างไรก็ต้องเสียเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีโอกาส ช่วยข้าเก็บเลือดจากคนตระกูลสายเลือดชั้นสูงสักหน่อย”

 

 

“เหตุใดเจ้าจึงอยากได้เลือดจากคนตระกูลสายเลือดชั้นสูงมากขนาดนี้เล่า ?”

 

 

ซูเฉินตอบ “แต่ละสายเลือดมีเอกลักษณ์เฉพาะตน ข้าไม่มีทางรู้ได้ว่าสายเลือดใดดีสายเลือดใดแย่ แต่ยิ่งมีสายเลือดในมือมากเข้า ข้าก็ยิ่งมีโอกาสรู้ได้มากขึ้น ไม่แน่ผลที่ออกมาอาจคาดไม่ถึงก็เป็นได้”

 

 

ได้ยินดังนั้นทุกคนก็สนใจ

 

 

“ข้าช่วย !” จินหลิงเอ้อร์เป็นคนแรกที่ตอบตกลง

 

 

“ข้าจะช่วย !” ตู้ฉิงตะโกนเสียงดัง

 

 

“ข้าด้วย !” ซุนจี้จู่เอ่ย

 

 

ทุกคนตอบรับด้วยความเต็มใจ

 

 

พวกเขารู้ความจริงข้อหนึ่งแก่ใจดี ช่วยเหลือซูเฉินก็เหมือนช่วยเหลือตนเอง

 

 

หลังจากส่งหวังโต้วซานและคนอื่น ๆ ซูเฉินก็มาหาเยว่หลงซา

 

 

เขาพูดตามตรงทันที “ตระกูลเยว่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ใต้แสงจันทร์ แต่การประลองจัดตอนกลางวัน ดังนั้นผลการประลองเจ้าจึงออกมาไม่ดีเท่าไหร่กระมัง ?”

 

 

เยว่หลงซาตอบ “แล้วอย่างไร ?”

 

 

ซูเฉินหยิบแผ่นหยกสองแผ่นออกมา “นี่คือร่างแยกโลหิตของอสูรธารโลหิตตระกูลจง อาจไม่แกร่งเท่าร่างแยกของตระกูลจง แต่สร้างร่างแยกโลหิตหนึ่งร่างใช้เลือดและมีผลต่อร่างจริงน้อยกว่า ร่างแยกพลังโจมตีไม่สูง แต่เจ้าสามารถเปลี่ยนร่างกับร่างแยกได้ตามใจปรารถนา ใช้ได้ดีในระยะ 20 จั้ง สามารถใช้ทดแทนที่เจ้าไม่สามารถซ่อนตนเองกับแสงจันทร์ในตอนกลางวันได้”

 

 

“ส่วนแผ่นหยกอีกแผ่นคือตาข่ายลมพิสุทธิ์ของข้า เจ้าเคยเห็นด้วยตาตนมาแล้ว คงไม่จำเป็นให้ข้าอธิบายอีก ดูจากความเร็วและความสามารถในการปรับตัวของเจ้า อยู่ในมือเจ้ามันย่อมมีประโยชน์เป็นแน่ หากเจ้าผสมสายเลือดลงในวิชาและใช้แสงจันทร์เสริมเข้าไปด้วย ไม่แน่อาจแกร่งกว่าเก่า แต่ผลลัพธ์นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าเอง”

 

 

เยว่หลงซากอดอก “หมายความว่าอย่างไร ?”

 

 

“ก็แค่สหายช่วยเหลือกันเท่านั้น ในเมื่อข้ามีวิชาเหล่านี้ แต่ไม่มีกำลังจะเรียนรู้มันไปทีละวิชา ดังนั้นมอบให้สหายย่อมมีประโยชน์กว่า”

 

 

“สหายหรือ ?” เยว่หลงซาดูครุ่นคิดกับคำนี้นัก

 

 

“ถูกต้อง สหาย” ซูเฉินตอบ

 

 

ใบหน้าเยว่หลงซาเผยรอยยิ้ม “ก็ดี เช่นนั้นแล้วข้าก็ไม่เกรงใจ”

 

 

นางคว้าแผ่นหยกทั้ง 2 ไปเก็บไว้

 

 

ไร้คำพูดและคำขอบคุณ เยว่หลงซามีนิสัยตรงไปตรงมาตรงประเด็นเช่นนี้

 

 

หลังจากจัดการเรื่องต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็กลับที่พัก เห็นกังเหยียนกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั่น

 

 

ตอนนี้ทุกคนได้รับทักษะต้นกำเนิดจากซูเฉิน แน่นอนว่ากังเหยียนก็ไม่ใช่ข้องดเว้น แท้จริงแล้วเขามีวิชาอีกมากมายให้ต้องเรียนรู้

 

 

นอกจากเกราะรบเหล็กกล้าแล้ว ซูเฉินยังมอบวิชาขุนเขากล้าและวิชากลืนสวรรค์ให้เขาด้วย วิชากลืนสวรรค์นับเป็นวิชามีประโยชน์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นทักษะต้นกำเนิดระดับพิเศษได้ ข้อด้อยข้อเดียวมีเพียงเรื่องที่ผู้ใช้วิชาจะต้องมีตัวใหญ่ยักษ์ทำให้เห็นได้เด่นชัดยิ่งว่ามีวิชานี้

 

 

หากแต่กังเหยียนนั้นมีร่างกายบึกบึนล่ำสันมาแต่ไหนแต่ไร ถึงจะอ้วนขึ้นอีกสักหน่อยคงไม่มีใครสังเกต อีกทั้งยิ่งตัวสูงใหญ่ยิ่งเป็นโล่มนุษย์ที่ดี ส่วนวิชาขุนเขากล้าเป็นทักษะต้นกำเนิดที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้ นับเป็นวิชาหลอมกายาที่ครอบครองโดยดาบระมาดตระกูลเจิ้น

 

 

เมื่อมีกายาเหล็กกล้าช่วยเพิ่มพลังป้องกัน และมีวิชาขุนเขากล้าเพิ่มความแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีวิชากลืนสวรรค์ที่ช่วยเพิ่มอัตราการฟื้นฟูร่างกาย กังเหยียนจึงค่อย ๆ กลายเป็นเกราะมนุษย์ชั้นยอด

 

 

ส่วนตัวซูเฉินนั้นก็มีทักษะต้นกำเนิดให้ตนเองอยู่ 2-3 วิชาเช่นกัน……

 

 

————————————

 

 

เวลา 2 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

พริบตาเดียวก็ถึงช่วงเวลาแห่งการประลองสิ้นปีแล้ว

 

 

เมื่อมีทักษะต้นกำเนิดที่ซูเฉินมอบให้แล้ว จินหลิงเอ้อร์และคนอื่น ๆ แข็งแกร่งขึ้นมาก ทำผลการประลองสิ้นปีออกมาได้น่าประทับใจยิ่ง

 

 

หวังโต้วซานได้อันดับที่ 92 ของการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนเมื่อครั้งก่อน ครั้งนี้สามารถไต่อันดับขึ้นมาที่ 80 ได้ ขึ้นมาถึง 12 อันดับ

 

 

อันดับของอวิ๋นเป้านั้นอยู่ที่แถว 150 มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขาไต้ขึ้นมาอันดับที่ 130 อันดับขึ้นมาได้ไม่มากเป็นเพราะกายาหยกเงาของเขานั้นใช้ได้ดียามอยู่ในป่าเขาเสียมากกว่า ยามอยู่บนลานประลองจึงไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก

 

 

ส่วนจินหลิงเอ้อร์ นอกจากเคยติด 1 ใน 200 อันดับแรกของการประลองสิ้นปีอยู่ครั้งหนึ่ง ทว่า 3 ปีที่ผ่านมาจินหลิงเอ้อร์ก็ไม่เคยติดอันดับในการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนอีก ในตอนนี้สามารถผลักดันตนเองเข้ามาในการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนได้แล้ว ได้รับอันดับที่ 186

 

 

ซุนจี้จู่และตู้ฉิงยังไม่มีรายชื่อติดในการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยน ถูกตัดออกตั้งแต่การประลองในรอบที่สอง แต่ถึงกระนั้นก็มีความก้าวหน้า เพราะแต่ก่อนจะถูกตัดออกไปตั้งแต่รอบแรก

 

 

เยว่หลงซานั้นได้อันดับดีที่สุด อันดับที่ 36

 

 

อันดับของแต่ละคนพุ่งสูงขึ้น หากแต่นี่ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

 

 

หลังจากนั้นซูเฉินก็เริ่มทำการทดลองสายเลือดต่าง ๆ อย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่มีความเข้าใจมากขึ้นก็จะแจกจ่ายวิชาที่ไม่ต้องการให้สหายตนเอง แต่แน่นอนว่าก็เก็บบางวิชาไว้ให้ตนเองด้วย

 

 

การค้นคว้าและทำการทดลองนั้นต้องมีต้นทุนมาก แม้เขาจะมีหินพลังต้นกำเนิดมากถึง 40 ล้านก้อนแต่ก็ยังไม่พอ

 

 

กระทั่งฉือไคฮวงยามทำการทดลองยังกระเป๋าเริ่มบาง สุดท้ายคือทั้งคู่มีแต่ใช้เงินหมดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ได้รับผลที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

 

ในการประลองสิ้นปีปีที่ 6 ทุกคนก็ไต่อันดับได้ดีขึ้นอีกครั้ง

 

 

หวังโต้วซานอันดับพุ่งขึ้นสูงลิ่ว จากอันดับที่ 80 กระโดดขึ้นไปเป็นอันดับที่ 36 ในพริบตา

 

 

น้ำหนักเขาก็พุ่งขึ้นสูงลิ่วเช่นเดียวกัน

 

 

อวิ๋นเป้าได้อันดับ 95 จินหลิงเอ้อร์ได้อันดับ 154 หากพูดเรื่องความแข็งแกร่ง สองคนนี้ไม่ด้อยไปกว่าหวังโต้วซานมาก เพียงแต่ยังไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้บนลานประลองเท่านั้น ดังนั้นความก้าวหน้าจึงยังดูไม่มากเท่า

 

 

ซุนจี้จู่และตู้ฉิงถูกตัดออกในการแข่งขันรอบที่ 3

 

 

เยว่หลงซาอันดับขึ้นอีกครั้ง ได้รับอันดับที่ 24

 

 

จีหานเยี่ยนนั้นติดอยู่ที่อันดับ 4 มาหลายปี นางพยายามฝ่าขึ้นไปเป็น 1 ใน 3 แต่ก็ไม่อาจทำลายกำแพงสูงใหญ่นั่นได้

 

 

และในปีที่ 7 หวังโต้วซานอยู่อันดับที่18 อวิ๋นเป้าอันดับที่ 66 จินหลิงเอ้อร์อันดับที่ 125 ซุนจี้จู่และตู้ฉิงสามารถฝ่าเข้ามายังการประลองในรอบที่สี่ได้แล้ว และเยว่หลงซาอันดับที่ 12

 

 

ในปีที่ 8 หวังโต้วซานได้อันดับที่ 7 ฝีมือเหนือกว่าเยว่หลงซาที่ถูกผลักลงเป็นอันดับที่ 8 วิชากลืนสวรรค์ของเขาในตอนนี้ทรงพลานุภาพมาก แค่ขึ้นไปยืนให้คนอื่นซัดพลังเข้าใส่ก็ไม่อาจมีใครสังหารเขาได้แล้ว กลายเป็นเจ้าอ้วนอมตะแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้น

 

 

อวิ๋นเป้าอันดับที่ 41 และจินหลิงเอ้อร์อันดับที่ 98

 

 

จีหานเยี่ยนได้อันดับที่ 5

 

 

อันดับนางมีแต่จะลดลง นางคงโกรธจนแทบคลั่งเป็นแน่

 

 

ซึ่งคนที่ชิงอันดับของนางไปคือกู่ชิงลั่ว

 

 

กู่ชิงลั่วที่เก็บตัวเงียบเชียบมาโดยตลอดพลันไต่อันดับขึ้นมาในปีนี้ เอาชนะจีหานเยี่ยนและได้อันดับที่ 4 ไปครอง

 

 

ปีนี้ยังเป็นปีที่ซุนจี้จู่และตู้ฉิงมีชื่อติดในการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนเป็นครั้งแรก กลายเป็นม้ามืดไร้สายเลือดในสถาบัน

 

 

ครั้งนี้เป็นปีที่ 9

 

 

การประลองสิ้นปีใกล้เข้ามาแล้ว