บางทีอาจเป็นเพราะเห็นแววตาหวาดกลัวของกู้ชูหน่วนรวมไปถึงเรือนร่างที่สั่นเทา อายเย็นของเย่จิ่งหานจึงลดทอนลงบางส่วน จิตสังหารก็หายสิ้นไร้ร่องรอย
ชื่อเสียงของเขาไม่สู้ดีโดยแท้ แคว้นเย่อันกว้างใหญ่ มีไม่กี่คนที่ไม่กลัวเขา
แม้กู้ชูหน่วนโอหังกำเริบเสิบสาน แต่อย่างไรก็เป็นสตรีนางหนึ่ง
เย่จิ่งหานเอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิงของข้า ขอเพียงไม่ทำเรื่องที่เกินไป ข้าก็ไม่ทำอะไรเจ้า แต่หากให้ข้ารู้ว่าเจ้ายังเกาะแกะ มีสัมพันธ์คลุมเครือกับชายอื่นอีก อย่าหาว่าข้าลงมือโหดเหี้ยมก็แล้วกัน”
โหดเหี้ยม?
พยัคฆ์ร้ายกินบุตรหรือ?
เหอ…
กู้ชูหน่วนตกใจพลัน
นางเชยใบหน้าน้อยๆ งามล่มเมืองขึ้น กะพริบตาแววตาน้อยใจ “รู้แล้ว ถึงเราจะเป็นผัวเมียเพียงในนามไร้ความจริง ข้าก็จะทำฉากเบื้องหน้าอย่างดี ไม่เกาะแกะมีสัมพันธ์คลุมเครือกับชายใด”
มือของเย่จิ่งหานกุมลั่นกรอบแกรบ
“เพียงในนามไร้ความจริง? อย่างแรก เรามีทั้งนามและมีทั้งความจริง อย่างที่สอง ในท้องเจ้ามีลูกของข้า นับแต่นี้ต่อไป เจ้าก็คือชายาของข้า เข้าใจไหม?”
กู้ชูหน่วนส่ายหน้า
ไม่ใช่บอกว่าเล่นละครตามสถานการณ์ เป็นผัวเมียแต่ในนามไม่เป็นจริงหรือ?
เย่จิ่งหานสติแตกเล็กน้อย
เขาชอบผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร?
หากเปลี่ยนเป็นหญิงนางอื่น ยังไม่รีบเอาใจเขาหรือ?
จู่ๆ กู้ชูหน่วนก็หัวเราะแหะๆ “ท่านอ๋อง คงมิใช่ว่ารักข้าเข้าให้แล้วกระมัง?”
“ขบขัน! เจ้านิสัยเยี่ยงไร ข้าจะรักเจ้าได้อย่างไร? ข้าเพียงตรองเพื่อลูกเท่านั้น”
“ใช่ๆๆ นิสัยข้าบกพร่อง แต่ท่านอ๋อง เราหารือกันเรื่องหนึ่งได้ไหม? ข้าอยากกลับไปเรียนที่ราชวิทยาลัย”
“ไม่ได้” เย่จิ่งหานไม่คิดสักนิด ปฏิเสธโดยตรง “วิทยาลัยคนมากมากเรื่อง ไม่เหมาะแก่การดูแลครรภ์”
“ผิดแล้ว ราชวิทยาลัยเป็นถึงวิทยาลัยอันดับหนึ่งของแคว้นแย่ คณาจารย์ความรู้ที่ได้รับล้วนสุดยอด เรียนหนังสือที่นั่นไม่เพียงบ่มเพาะคุณลักษณะ ศึกษาได้ความรู้ แล้วยังปลูกฝังลูกได้ด้วย อันว่าการศึกษาเริ่มแต่เยาว์ ลูกของเราอนาคตต้องยืนอยู่จุดสูงสุดของโลก ดังนั้นเราต้องเริ่มตั้งแต่ยังเด็ก เริ่มตั้งแต่อยู่ในท้อง”
“…”
“อีกอย่าง อารมณ์ข้าหงุดหงิด ยิ่งสมควรขัดเกลานิสัยที่นั่น ภายภาคหน้าลูกจะได้ไม่เลียนแบบข้า ท่านว่าจริงไหม?”
“…”
ไม่เพียงเย่จิ่งหานไร้ถ้อยคำ
ชิงเฟิงและเจี่ยงเสวียที่ยืนอยู่นอกห้องหอก็พูดไม่ออกอย่างพร้อมเพรียง
พระชายาหาเรื่องบ่ายเบี่ยงชัดๆ กลับกล่าวเหตุผลได้เป็นกอง ทั้งยังเหมือนมีหลักเหตุผลอยู่บ้าง
ครั้นเห็นเย่จิ่งหานผ่อนคลายหวั่นไหวเล็กน้อย กู้ชูหน่วนก็ตีเหล็กเมื่อร้อน มือน้อยๆ จับมือใหญ่ๆ กวัดแกว่งออดอ้อน “ท่านอ๋อง ท่านก็เห็นด้วยเถอะ ข้าสูญเสียแม่ไปแต่ยังเด็ก พ่อก็ไม่รัก อนาคตข้าไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนกับข้า ไม่มีใครสั่งสอน ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี”
มือของเย่จิ่งหานกระตุกสองสามครั้ง อยากสะบัด
ครั้นมองใบหน้าน้อยๆ น้อยอกน้อยใจ รวมถึงแววตาน่าสงสารแล้ว สองมือพลันแข็งทื่อ ปล่อยให้นางอ้อน กระทั่งเอ็นดูกู้ชูหน่วนอีกประมาณหนึ่ง
เขารู้สภาพการณ์ของกู้ชูหน่วน
ขณะนางยังเยาว์วัยก็สูญเสียมารดา กู้เฉิงเซี่ยงรังเกียจรังงอนมารดานาง พาลนางเกลียดนางด้วย ดังนั้นนางใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากลำเค็ญอยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยง มีชีวิตมิสู้สาวใช้คนหนึ่ง
ครั้นคิดถึงตัวเอง เขาก็สูญเสียเสด็จแม่ไปแต่ยังเล็ก เสด็จพ่อก็…
วัยเยาว์เขา คาดหวังความรัก การปกป้องจากพ่อแม่ยิ่งกว่าผู้ใด
เย่จิ่งหานขยับริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าเรียนวิชาที่ราชวิทยาลัยต่อ แต่อย่าได้ล่อผึ้งเรียกผีเสื้อมา(ดึงดูดผู้คนมาสนใจ)อีกล่ะ”
“นั่นแน่นอน บ้านข้ามีสามีชายงามแล้วหนึ่งคน ต้องการมากมายเช่นนั้นทำอะไร แต่เราหารือกันอีกเรื่องได้ไหม?”
หว่างคิ้วเย่จิ่งหานกระตุก
ทำไมเขารู้สึกหลงกลกู้ชูหน่วนอีกแล้ว?