ลูเซียนโค้งคำนับให้ผู้ชมครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงปรบมือดังสนั่นราวเสียงฟ้าร้องยังคงดังกึกก้องอยู่ และผู้คนในจัตุรัสกลางยังคงตะโกนสุดเสียง

กลุ่มขุนนางชนชั้นสูงและนักดนตรีในโรงละครต่างตราตรึงใจ ผู้ฟังทุกคนโดยเฉพาะพวกขุนนางชนชั้นสูงไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกินใจขนาดนี้มานานแล้ว พวกเขาเกือบจะลืมความรู้สึกของตัวเอง ความสุข ความเศร้า ความรัก และความโกรธ จนดูด้อยค่าลงไม่เหลือความต่างระหว่างชนชั้นวรรณะ

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถต้านทานอำนาจของเสียงเพลง ขุนนางชนชั้นสูงก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แม้หลายๆ คนได้ปลุก ‘พร’ แล้ว การมีร่างกายกำยำก็ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจพวกเขาให้กลายเป็นหิน

ความงดงามของเสียงเพลงถูกแบ่งปันให้กับทุกผู้ทุกนาม ไม่แบ่งชนชั้นทางสังคม เพศ หรืออายุ

มีเพียง ‘ผู้คลั่งศาสนา’ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงประครองสติอยู่ได้

ลูเซียนไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าเขาโค้งคำนับผู้ชมไปกี่ครั้ง หลังจากผ่านไปนาน ผู้ชมค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง รู้สึกทั้งเหนื่อยและสงบ

“เปียโนโซนาตาที่ดีที่สุดที่ข้าเคยฟังมา!” ปิโอลามองยังไปโดมคริสตัลแล้วโพล่งออกมา “คล้ายๆ กับ ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ แต่ก็แตกต่าง อารมณ์ลึกซึ้งยิ่งกว่า… ไม่ได้ออกนอกกรอบจนเกินไป”

ชารอนพยักหน้าและยิ้ม “ข้าจินตนาการได้เลยว่า ‘บทเพลงแห่งเวทนา’ จะขึ้นหิ้งเป็นโซนาตาระดับคลาสสิกในแง่การแสดงออกทางดนตรี”

“เทศกาลดนตรีอัลโต้ช่างคุ้มค่ากับการเดินทางเจ็ดเดือน” เกรซน้ำเสียงท่าทางขึงขัง “หลังจากเห็นการบรรเลงของท่านอีวานส์ ข้าอยากอยู่ในอัลโต้ต่อเพื่อเรียนเปียโนเสียแล้ว”

“เลิกฝันเถอะ เกรซ” กรีนพูดกับนาง “ท่านอีวานส์แนะนำเราแล้วไงเรื่องดนตรี กลับไปกับเราและตั้งใจพัฒนางานเพลง เราจะดังเป็นพลุแตกใน ‘สเติร์ก’ ในไม่ช้า ข้าเชื่อ”

“ข้าเห็นด้วย ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่นะเกรซ” ชารอนเสริม “เจ้าไม่ปัญญาจ่ายค่าเล่าเรียนดนตรีในอัลโต้นี่หรอก อัลโต้มีนักดนตรีเต็มไปหมด เจ้าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะดังได้ที่นี่?”

ในที่สุดเกรซก็พยักหน้าถอนหายใจ “ที่พวกเจ้าพูดก็ถูก อย่าลืมซื้อ ‘ดนตรีวิพากษ์’ และ ‘ข่าวสารซิมโฟนี’ ฉบับล่าสุดไปด้วย น่าจะเป็นประโยชน์ต่อดนตรีของเราในอนาคตมากๆ”

สมาชิกวงดนตรีคนอื่นๆ พยักหน้า พวกเขาจะกว้านซื้อหนังสือพิมพ์ในอัลโต้ จะได้ขนกลับไปทำเงินจากการขายต่อที่ได้ราคาสูง

หลังจากยืนนิ่งเงียบอยู่ที่จัตุรัสอยู่พักใหญ่ ลิลิธและซาลามองหน้ากันและกลับหลังหันมุ่งหน้าสู่ทางประตูเมือง

“หลังจากเราเลื่อนขั้นเป็น…” ซาลาหยุดชะงักและตบบ่าน้องสาวเบาๆ “เราจะเดินทางข้ามทวีป หาที่ที่ปลอดภัยที่เราไม่ต้องกลัวใครอีกต่อไป”

ลิลิธพยักหน้าด้วยสีตาขึงขัง “ใช่ เราจะไม่หลบซ่อนอีก”

ด้านหลังเวทีของโรงละครซาล์มฮอล ลูเซียนปลดกระดุมเสื้อคลุมออกและเข้าไปสวมกอดไรน์ “ขอบคุณขอรับ ไรน์ การแสดงดนตรีครั้งนี้จะไม่สำเร็จเลย ถ้าท่านไม่ช่วยข้า”

หลังจากนั้น ลูเซียนถามไรน์ด้วยเสียงเบาๆ “ตอนนี้ บอกข้าได้หรือยังว่ามันอยู่ที่ไหน?”

ไรน์ยิ้มและกระซิบ “เจ้าไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ลูเซียน ข้าจะแวะไปหาเจ้าคืนพรุ่งนี้”

ว่าแล้วไรน์ก็ตะเบงเสียงดังขึ้นมา “ขอแสดงความยินดีด้วย ลูเซียน!”

หลังจากสนทนากับสมาชิกคณะออร์เคสตรา ลูเซียนเห็นอัศวินฝึกหัดคนหนึ่งรอเขาอยู่เพื่อเชิญขึ้นไปยังห้องชมการแสดงบนเฉลียงด้านหน้าของเวที

ลูเซียนมีความกังวลอยู่บ้างที่ต้องเข้าไปใกล้ๆ ซาร์ด เขาไม่รู้เลยว่า ‘พระคาร์ดินัลชั้นเทพ’ จะสัมผัสพลังจากนักเวทใกล้ตัวได้มากน้อยขนาดไหน

“ไม่ต้องห่วง พลังจาก ‘พร’ จะช่วยปกปิดตัวตนของเจ้า” ไรน์แกล้งทำเป็นกำลังเก็บของ พูดกับลูเซียนด้วยเสียงที่แผ่วเบามากจากด้านหลัง “นอกจากเขาจะรู้สึกว่าเจ้าน่าสงสัย”

ลูเซียนสงบสติอารมณ์ลงได้จากคำพูดของไรน์และเดินออกมาจากหลังเวทีตามอัศวินฝึกหัดไป

แม้ว่าลูเซียนอยู่ห่างจากซาร์ดหลายก้าว ลูเซียนก็สัมผัสได้ถึงพลังแสงนักบุญอันอบอุ่นที่เปล่งรัศมีรอบตัวบาทหลวงชราผู้นี้

เนื่องจากลูเซียนได้ปลุก ‘พร’ แล้ว เขาจึงสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ซาร์ดมี โชคดีที่ ‘พร’ ของลูเซียนไม่ใช่พลังด้านมืด และเขาไม่ได้เดินตามแนวทาง ‘ศาสตร์มืด’ มิฉะนั้น วิญญาณของเขาอาจบาดเจ็บจากการยืนใกล้ๆ กับพระคาร์ดินัลชั้นเทพ

หลังจากแสดงความเคารพเหล่าขุนนางชนชั้นสูง ลูเซียนเดินไปยังหน้าแกรนด์ดยุก ออร์วาริตพยักหน้าให้ลูเซียนในเชิงให้อนุญาต “เจ้าเป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ ลูเซียน ข้าชอบเสียงเพลงที่เพราะจับใจของเจ้า และข้านับถือจิตวิญญาณที่ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ต่ออุปสรรคในชีวิตของเจ้า ทำงานหนักต่อไป ลูเซียน เจ้าจะเป็นปรมาจารย์ดนตรีคนต่อไปของอัลโต้”

นาตาซาเข้ามาสวมกอดลูเซียนเหมือนสหายสนิทและพูดติดตลก “เจ้ายังมีอะไรปิดบังข้าอีกไหม ลูเซียน? สหายต้องรู้จักแบ่งปันสิ แต่เจ้าไม่บอกข้าเลยว่าแค่ปรับตำแหน่งการวางเปียโนนิดเดียวจะสร้างความแตกต่างได้ขนาดนี้!”

“ไม่มีแล้ว จริงๆ พะยะค่ะ…” ลูเซียนยิ้มเจื่อนๆ อันที่จริง เขามีความลับมากยิ่งกว่านั้นเสียอีก

“ที่ข้าอยากจะบอกคือ… ขอบคุณสำหรับบทเพลงของเจ้า ลูเซียน” รอยยิ้มของนาตาซาดูเศร้าสร้อย “ดนตรีของเจ้าทำให้ข้านึกถึงความหลัง อดีตอันเจ็บปวด แต่ก็คุ้มค่า”

คริสโตเฟอร์ก็สวมกอดลูเซียน “ยุคสมัยของข้าจบลงแล้ว แต่ยุคของเจ้าเพิ่งเริ่มต้น ลูเซียน”

“ขอบพระคุณขอรับ ท่านประธาน ข้าหวังว่าข้าจะได้เริ่มอะไรใหม่ๆ เช่นกัน” ลูเซียนตอบอย่างมีเลศนัย เนื่องจากชีวิตของเขากำลังจะเริ่มการเดินทางบทใหม่ในเร็วๆ นี้

และแล้วลูเซียนก็มายืนอยู่ตรงหน้าซาร์ด เขาพยายามสงบสติอารมณ์เต็มที่

“ข้าเคยได้ยินเรื่องเจ้ามาแล้ว” ซาร์ดมองลูเซียนด้วยตาขุ่นมัว “ข้าเข้าใจความเจ็บปวดของเจ้า และข้าก็มองเห็นหัวใจที่เข้มแข็งของเจ้า ความยากลำบากทั้งหมดเป็นบททดสอบจากพระเจ้า หากเจ้าผ่านไปได้ เจ้าจะเข็มแข็งขึ้น”

หลังจากการสวมกอดจากเวอร์ดี้ มิเชลก็สวมกอดลูเซียนอย่างเขินอาย “ขอแสดงความยินดีด้วย อีวานส์ ในนามของอาณาจักรซีราคิวส์ ข้าขอเชิญท่านมายังเมืองเทรีย เมื่อไรที่ท่านมายังประเทศของข้า ท่านจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่สุด”

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท” ลูเซียนพยักหน้า

หลังจากนั้น ลูเซียนก็ได้รับคำเชื้อเชิญอื่นๆ อีกมากมายจากแขกที่เหลือซึ่งมาจากประเทศต่างๆ ทั่วทวีป

ลูเซียนรู้ว่าคำเชื้อเชิญเหล่านี้อาจกลายเป็นข้ออ้างในการเดินทางออกจากนครอัลโต้ เมื่อเขารู้ว่า ‘สภาเวทมนตร์แห่งทวีป’ อยู่ที่ไหน

เมื่อลูเซียนออกมาจากห้องชมการแสดงบนเฉลียง เขาเห็นผู้ชมคนสุดท้ายกำลังออกจากโรงละครซาล์มฮอล

ผู้คนในจัตุรัสก็กำลังพากันแยกย้ายกลับ

ไม่นาน ทั้งเมืองก็กลับมาเงียบกริบ

ลูเซียนก้าวเท้าออกจากโรงละครซาล์มฮอลและพูดกับตัวเอง ‘ถึงเวลาปิดม่านลาโรงแล้วสิ ลูเซียน’

……………………………………….