บทที่ 77.1 พบกันอีกครั้ง (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

เมื่อฉู่สวินหยางกลับมาถึงวังบูรพา นางตรงไปเรือนจิ่นโม่ทันที

ในเวลานี้ฉู่ฉีเฟิงกำลังจัดการกับสิ่งของบางอย่างในห้องหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของนางที่เดินเข้ามาจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองและกล่าวว่า “เจ้ารอก่อน ข้ากำลังจัดการเสร็จเดี๋ยวนี้”

พูดแล้วก็อ่านจดหมายอีกหลายฉบับ หยิบออกมาหนึ่งฉบับ ยกพู่กันขึ้นเขียนตอบสองประโยค

นำจดหมายที่ตอบเสร็จแล้วสอดเข้าไปในซองจดหมาย และสั่งกำชับให้ผู้ติดตามส่งจดหมายออกไป ฉู่ฉีเฟิงจึงลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกมา

ฉู่สวินหยางวางฝาถ้วยน้ำชาในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเขาพลางกล่าวว่า “ได้กำหนดการลงมาแล้วหรือ? ฝ่าบาทอนุญาตแล้วใช่หรือไม่?”

ฉู่ฉีเฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างนางแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง สีหน้ามีความเคร่งขรึมปรากฏอยู่ชั่วครู่ แล้วกลายเป็นไม่มีสีหน้าหรือความรู้สึกใดใด เพียงกล่าวว่า “เดิมทีไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ใครไปก็เหมือนกัน ยามนี้ยังไม่ได้รับสั่งราชโองการลงมา พรุ่งนี้เข้าประชุมเช้าในท้องพระโรงก็น่าจะรู้แล้ว หากข่าวที่มาจากทางด้านหนานฮวาเป็นความจริงแล้วละก็ ต้องเก็บสัมภาระและเตรียมตัวออกเดินทางภายในสองวันนี้แล้ว ยามนี้…”

ฉู่ฉีเฟิงพูดแล้วหยุดชะงัก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองฉู่สวินหยาง “เจ้าจะไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”

ฉู่สวินหยางสบตาเขาด้วยแววตาปกติ แต่ในใจกลับสับสนวุ่นวายนักทั้งยังเต็มไปด้วยความลังเลใจอยู่หลายส่วน

“ท่านพี่…” นางขบริมฝีปากล่าง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นอ่อนลง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ขอโทษด้วย สุดท้ายข้าไม่ได้ฟังคำเตือนของท่าน ซ้ำยังต้องให้ท่านถอยอีกก้าวเพื่อข้า ข้า…”

“อย่าได้พูดเช่นนี้” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองความสับสนในแววตาและสีหน้าของนาง สายตาของเขาพลันอ่อนแสงลงเช่นกัน

ราวกับเขาไม่กล้าที่จะสบสายตาอยู่บนใบหน้านางนานเกินไป จึงได้แต่บังคับสายตาของตนเบนไปยังทิศทางอื่น น้ำเสียงยังคงราบเรียบดังเดิม “พูดไปแล้วถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าจิตใจคับแคบเกินไป ที่จริงแล้วไม่สมควรยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องความรักของเจ้า ในเมื่อใจของเจ้าได้เลือกและตัดสินใจแล้ว ข้าย่อมไม่ฝืนใจเจ้า ทั้งหมด…ขอเพียงเจ้าคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบดีแล้วก็พอ”

เขาลองดูแล้ว เขาได้ลองชั่งน้ำหนัก ลองกระทั่งพยายามพูดคุยกันดูก็แล้ว

ไม่ใช่ความคิดชั่ววูบ แต่…

ตลอดเวลาในหัวเขามีแต่ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมา มักจะคิดว่าตนตัดใจไม่ได้ที่จะให้นางห่างออกไปไกล ให้นางไกลออกจากข้างกายของตน

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น เขาก็ไม่อาจขัดขวางได้

หากบอกว่าไม่เสียดาย นั่นคือการโกหก

แต่เมื่อมาถึงวันนี้ นอกจากจะส่งเสริมและสนับสนุน เขาจะทำอะไรได้อีก?

เรื่องน่ายินดีประการเดียวคือเขายังคงเป็นพี่ชายของนาง ยังสามารถรักและตามใจ ใกล้ชิดนางได้ในฐานะพี่ชาย

ตั้งแต่เริ่มเขาแทบจะไม่กล้าคิดว่าหากมีวันนั้น…วันที่หน้าต่างกระดาษนี้ทะลุ เขาจะเผชิญหน้ากับนางในฐานะใด

วันนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าความปรารถนาของตนนั้นดูต่ำต้อยถึงเพียงนี้

ชีวิตนี้ของเขาสิ่งที่ทำให้ดีที่สุดก็คือการอยู่ในฐานะพี่ชายและน้องสาวเท่านั้น

เมื่อฉู่สวินหยางเห็นเขายอมประนีประนอมอย่างง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งทำให้นางเกิดความละอายใจมากขึ้น

นางเงยหน้าขมวดคิ้วมองข้ามไป “ท่านพี่ ท่านพ่อได้พูดอะไรกับท่านใช่หรือไม่?”

หัวใจของฉู่ฉีเฟิงกระตุกชั่วขณะหนึ่งนั้น ราวกับหัวใจหยุดเต้นไป

เขามองนางอย่างตกตะลึง หัวใจพลันบีบรัด หวาดกลัวว่าจะเห็นร่องรอยบางอย่างบนสีหน้า

แววตาของฉู่สวินหยางนั้นเต็มไปด้วยความสับสน ได้แต่จ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบตา

ฉู่ฉีเฟิงพยายามควบคุมสีหน้าและอารมณ์ของตนอย่างยิ่ง เขาฝืนยิ้มออกมาก่อนกล่าว “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ท่านพ่อ…เขาเพียงแค่คิดว่าเหยียนหลิงจวินนั้นนับได้ว่าเอาใจใส่ต่อเจ้าไม่น้อยจึงได้ยอมลงให้ ความคิดของพวกเราเหมือนกัน ขอเพียงเจ้ามีความสุขเป็นพอ”

จนกระทั่งมาถึงระยะนี้ ในช่วงเวลานี้ฉู่ฉีเฟิงเพิ่งคิดได้ว่า ความจริง…

ตั้งแต่เริ่มต้นฉู่อี้อันได้เลือกให้เหยียนหลิงจวินเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งแก่ฉู่สวินหยาง

ดังนั้นในเวลานั้นเขาจึงเห็นด้วยอย่างเงียบๆ ที่เห็นเหยียนหลิงจวินใกล้ชิดฉู่สวินหยาง เพื่อ…

หากวันหนึ่ง เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นมา นางจะได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง

ความใส่ใจด้วยความยากลำบากเช่นนี้ ความทุ่มเทอย่างที่สุดเช่นนี้…

ไม่ว่าจะเป็นฉู่อี้อันหรือฉู่สวินหยาง ล้วนเป็นการอยู่อย่างยากลำบากเกินไป

ในใจของฉู่ฉีเฟิงเต็มไปด้วยความรู้สึกขมปร่า

ฉู่สวินหยางกลับยื่นมือออกมาจากแขนเสื้อแล้วกุมข้อมือของเขาเอาไว้ เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ ท่านอย่าโทษข้า หากสามารถทำได้ย่อมอยากจะอยู่ข้างกายท่านและบิดาตลอดไป แต่…”

นางพูดได้เพียงครึ่งเดียว แล้วกลับหยุดชะงักไป

ฉู่ฉีเฟิงเหลือบมองมือของนางที่กุมมือของเขา ในใจนั้นมีความรู้สึกหลากหลายตีกันอยู่ ชั่วขณะหนึ่งให้รู้สึกอ่อนยวบสับสนปนเปไปหมด

“เด็กโง่…” เขาใช้มืออีกข้างหนึ่งตบหลังมือของนางเบาๆ จากนั้นจึงกุมมือของนางในฝ่ามือของตน

รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอ่อนโยนและความอบอุ่นในอุ้งมือ ความรู้สึกภายในใจนั้นราวกับอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำและคลื่นทะเล ช่างขมขื่นอย่างร้ายกาจ

“พวกเราเป็นพี่น้องกัน อย่าได้พูดจาเช่นนี้” ฉู่ฉีเฟิงแทบจะใช้กำลังใจทั้งหมดบังคับให้ตนเองควบคุมสีหน้าและอารมณ์ พร้อมกับยิ้มบางๆ

รอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนดังเดิม

ฉู่สวินหยางเห็นเช่นนี้แล้ว รู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก จึงพยักหน้าอย่างจริงจัง

ชีวิตนี้ นางมีครอบครัวอย่างฉู่ฉีเฟิงและฉู่อี้อัน สำหรับนางแล้วนั้นคือเมตตาจากสวรรค์โดยแท้

พวกเขาต่างปกป้องคุ้มครองนางอย่างไม่เห็นแก่สิ่งใด และเมื่อเป็นเช่นนี้…

แม้ว่าจะตัดใจไม่ได้ แต่ในใจของนางนั้นรู้ดีว่าการที่นางยังอยู่ข้างกายพวกเขา นั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี

ในเมื่อยามนี้พบโอกาสที่เหมาะสม เช่นนั้นต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดจึงจะดีต่อทุกคน

เป็นไปตามที่ฉู่ฉีเฟิงคาดการณ์เอาไว้ ฮ่องเต้มีราชโองการในวันถัดมาระหว่างการประชุมในท้องพระโรงยามเช้า ให้คังจวิ้นอ๋องเป็นผู้แทนพระองค์เดินทางไปยังชายแดนเพื่อต้อนรับทูตจากหนานฮวา

และในเวลาเดียวกัน แม่ทัพแคว้นฉู่คนใหม่ก็ได้แต่งตั้งอย่างแน่นอนแล้ว…

ด้วยความดีความชิบในการปราบปรามเหตุการณ์จวนอ๋องฉางซุ่นให้สงบลงได้

ด้วยเหตุที่กองทัพแคว้นฉู่ไม่มีผู้ดูแลควบคุม การเดินทางของเจิ้งตั๋วได้กำหนดในวันอันใกล้นี้ เช่นนี้จึงให้ออกเดินทางพร้อมๆ กับฉู่ฉีเฟิง

ฉู่สวินหยางคิดจะออกจากเมืองหลวงไปเที่ยวเล่นกับฉู่ฉีเฟิง ฉู่อี้อันนั้นอนุญาตแล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสอันใด ได้แต่ปิดตาข้างหนึ่งให้เรื่องผ่านพ้นไป

ก่อนหน้านี้รายชื่อของทูตจากหนานฮวาที่จะเดินทางมายังเมืองหลวงยังไม่ได้กำหนดแน่นอนนัก ฉู่ฉีเฟิงถือได้ว่าออกเดินทางก่อนกำหนด ที่จริงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่เพราะคำนึงถึงความรู้สึกของฉู่สวินหยาง คนทั้งหมดและม้าต่างเร่งการเดินทาง

——————-