เมื่อฉู่สวินหยางกลับมาถึงวังบูรพา นางตรงไปเรือนจิ่นโม่ทันที
ในเวลานี้ฉู่ฉีเฟิงกำลังจัดการกับสิ่งของบางอย่างในห้องหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของนางที่เดินเข้ามาจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองและกล่าวว่า “เจ้ารอก่อน ข้ากำลังจัดการเสร็จเดี๋ยวนี้”
พูดแล้วก็อ่านจดหมายอีกหลายฉบับ หยิบออกมาหนึ่งฉบับ ยกพู่กันขึ้นเขียนตอบสองประโยค
นำจดหมายที่ตอบเสร็จแล้วสอดเข้าไปในซองจดหมาย และสั่งกำชับให้ผู้ติดตามส่งจดหมายออกไป ฉู่ฉีเฟิงจึงลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกมา
ฉู่สวินหยางวางฝาถ้วยน้ำชาในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเขาพลางกล่าวว่า “ได้กำหนดการลงมาแล้วหรือ? ฝ่าบาทอนุญาตแล้วใช่หรือไม่?”
ฉู่ฉีเฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างนางแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง สีหน้ามีความเคร่งขรึมปรากฏอยู่ชั่วครู่ แล้วกลายเป็นไม่มีสีหน้าหรือความรู้สึกใดใด เพียงกล่าวว่า “เดิมทีไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ใครไปก็เหมือนกัน ยามนี้ยังไม่ได้รับสั่งราชโองการลงมา พรุ่งนี้เข้าประชุมเช้าในท้องพระโรงก็น่าจะรู้แล้ว หากข่าวที่มาจากทางด้านหนานฮวาเป็นความจริงแล้วละก็ ต้องเก็บสัมภาระและเตรียมตัวออกเดินทางภายในสองวันนี้แล้ว ยามนี้…”
ฉู่ฉีเฟิงพูดแล้วหยุดชะงัก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองฉู่สวินหยาง “เจ้าจะไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”
ฉู่สวินหยางสบตาเขาด้วยแววตาปกติ แต่ในใจกลับสับสนวุ่นวายนักทั้งยังเต็มไปด้วยความลังเลใจอยู่หลายส่วน
“ท่านพี่…” นางขบริมฝีปากล่าง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นอ่อนลง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ขอโทษด้วย สุดท้ายข้าไม่ได้ฟังคำเตือนของท่าน ซ้ำยังต้องให้ท่านถอยอีกก้าวเพื่อข้า ข้า…”
“อย่าได้พูดเช่นนี้” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองความสับสนในแววตาและสีหน้าของนาง สายตาของเขาพลันอ่อนแสงลงเช่นกัน
ราวกับเขาไม่กล้าที่จะสบสายตาอยู่บนใบหน้านางนานเกินไป จึงได้แต่บังคับสายตาของตนเบนไปยังทิศทางอื่น น้ำเสียงยังคงราบเรียบดังเดิม “พูดไปแล้วถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าจิตใจคับแคบเกินไป ที่จริงแล้วไม่สมควรยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องความรักของเจ้า ในเมื่อใจของเจ้าได้เลือกและตัดสินใจแล้ว ข้าย่อมไม่ฝืนใจเจ้า ทั้งหมด…ขอเพียงเจ้าคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบดีแล้วก็พอ”
เขาลองดูแล้ว เขาได้ลองชั่งน้ำหนัก ลองกระทั่งพยายามพูดคุยกันดูก็แล้ว
ไม่ใช่ความคิดชั่ววูบ แต่…
ตลอดเวลาในหัวเขามีแต่ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมา มักจะคิดว่าตนตัดใจไม่ได้ที่จะให้นางห่างออกไปไกล ให้นางไกลออกจากข้างกายของตน
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น เขาก็ไม่อาจขัดขวางได้
หากบอกว่าไม่เสียดาย นั่นคือการโกหก
แต่เมื่อมาถึงวันนี้ นอกจากจะส่งเสริมและสนับสนุน เขาจะทำอะไรได้อีก?
เรื่องน่ายินดีประการเดียวคือเขายังคงเป็นพี่ชายของนาง ยังสามารถรักและตามใจ ใกล้ชิดนางได้ในฐานะพี่ชาย
ตั้งแต่เริ่มเขาแทบจะไม่กล้าคิดว่าหากมีวันนั้น…วันที่หน้าต่างกระดาษนี้ทะลุ เขาจะเผชิญหน้ากับนางในฐานะใด
วันนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าความปรารถนาของตนนั้นดูต่ำต้อยถึงเพียงนี้
ชีวิตนี้ของเขาสิ่งที่ทำให้ดีที่สุดก็คือการอยู่ในฐานะพี่ชายและน้องสาวเท่านั้น
เมื่อฉู่สวินหยางเห็นเขายอมประนีประนอมอย่างง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งทำให้นางเกิดความละอายใจมากขึ้น
นางเงยหน้าขมวดคิ้วมองข้ามไป “ท่านพี่ ท่านพ่อได้พูดอะไรกับท่านใช่หรือไม่?”
หัวใจของฉู่ฉีเฟิงกระตุกชั่วขณะหนึ่งนั้น ราวกับหัวใจหยุดเต้นไป
เขามองนางอย่างตกตะลึง หัวใจพลันบีบรัด หวาดกลัวว่าจะเห็นร่องรอยบางอย่างบนสีหน้า
แววตาของฉู่สวินหยางนั้นเต็มไปด้วยความสับสน ได้แต่จ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบตา
ฉู่ฉีเฟิงพยายามควบคุมสีหน้าและอารมณ์ของตนอย่างยิ่ง เขาฝืนยิ้มออกมาก่อนกล่าว “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ท่านพ่อ…เขาเพียงแค่คิดว่าเหยียนหลิงจวินนั้นนับได้ว่าเอาใจใส่ต่อเจ้าไม่น้อยจึงได้ยอมลงให้ ความคิดของพวกเราเหมือนกัน ขอเพียงเจ้ามีความสุขเป็นพอ”
จนกระทั่งมาถึงระยะนี้ ในช่วงเวลานี้ฉู่ฉีเฟิงเพิ่งคิดได้ว่า ความจริง…
ตั้งแต่เริ่มต้นฉู่อี้อันได้เลือกให้เหยียนหลิงจวินเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งแก่ฉู่สวินหยาง
ดังนั้นในเวลานั้นเขาจึงเห็นด้วยอย่างเงียบๆ ที่เห็นเหยียนหลิงจวินใกล้ชิดฉู่สวินหยาง เพื่อ…
หากวันหนึ่ง เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นมา นางจะได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
ความใส่ใจด้วยความยากลำบากเช่นนี้ ความทุ่มเทอย่างที่สุดเช่นนี้…
ไม่ว่าจะเป็นฉู่อี้อันหรือฉู่สวินหยาง ล้วนเป็นการอยู่อย่างยากลำบากเกินไป
ในใจของฉู่ฉีเฟิงเต็มไปด้วยความรู้สึกขมปร่า
ฉู่สวินหยางกลับยื่นมือออกมาจากแขนเสื้อแล้วกุมข้อมือของเขาเอาไว้ เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ ท่านอย่าโทษข้า หากสามารถทำได้ย่อมอยากจะอยู่ข้างกายท่านและบิดาตลอดไป แต่…”
นางพูดได้เพียงครึ่งเดียว แล้วกลับหยุดชะงักไป
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบมองมือของนางที่กุมมือของเขา ในใจนั้นมีความรู้สึกหลากหลายตีกันอยู่ ชั่วขณะหนึ่งให้รู้สึกอ่อนยวบสับสนปนเปไปหมด
“เด็กโง่…” เขาใช้มืออีกข้างหนึ่งตบหลังมือของนางเบาๆ จากนั้นจึงกุมมือของนางในฝ่ามือของตน
รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอ่อนโยนและความอบอุ่นในอุ้งมือ ความรู้สึกภายในใจนั้นราวกับอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำและคลื่นทะเล ช่างขมขื่นอย่างร้ายกาจ
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน อย่าได้พูดจาเช่นนี้” ฉู่ฉีเฟิงแทบจะใช้กำลังใจทั้งหมดบังคับให้ตนเองควบคุมสีหน้าและอารมณ์ พร้อมกับยิ้มบางๆ
รอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนดังเดิม
ฉู่สวินหยางเห็นเช่นนี้แล้ว รู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก จึงพยักหน้าอย่างจริงจัง
ชีวิตนี้ นางมีครอบครัวอย่างฉู่ฉีเฟิงและฉู่อี้อัน สำหรับนางแล้วนั้นคือเมตตาจากสวรรค์โดยแท้
พวกเขาต่างปกป้องคุ้มครองนางอย่างไม่เห็นแก่สิ่งใด และเมื่อเป็นเช่นนี้…
แม้ว่าจะตัดใจไม่ได้ แต่ในใจของนางนั้นรู้ดีว่าการที่นางยังอยู่ข้างกายพวกเขา นั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี
ในเมื่อยามนี้พบโอกาสที่เหมาะสม เช่นนั้นต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดจึงจะดีต่อทุกคน
เป็นไปตามที่ฉู่ฉีเฟิงคาดการณ์เอาไว้ ฮ่องเต้มีราชโองการในวันถัดมาระหว่างการประชุมในท้องพระโรงยามเช้า ให้คังจวิ้นอ๋องเป็นผู้แทนพระองค์เดินทางไปยังชายแดนเพื่อต้อนรับทูตจากหนานฮวา
และในเวลาเดียวกัน แม่ทัพแคว้นฉู่คนใหม่ก็ได้แต่งตั้งอย่างแน่นอนแล้ว…
ด้วยความดีความชิบในการปราบปรามเหตุการณ์จวนอ๋องฉางซุ่นให้สงบลงได้
ด้วยเหตุที่กองทัพแคว้นฉู่ไม่มีผู้ดูแลควบคุม การเดินทางของเจิ้งตั๋วได้กำหนดในวันอันใกล้นี้ เช่นนี้จึงให้ออกเดินทางพร้อมๆ กับฉู่ฉีเฟิง
ฉู่สวินหยางคิดจะออกจากเมืองหลวงไปเที่ยวเล่นกับฉู่ฉีเฟิง ฉู่อี้อันนั้นอนุญาตแล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสอันใด ได้แต่ปิดตาข้างหนึ่งให้เรื่องผ่านพ้นไป
ก่อนหน้านี้รายชื่อของทูตจากหนานฮวาที่จะเดินทางมายังเมืองหลวงยังไม่ได้กำหนดแน่นอนนัก ฉู่ฉีเฟิงถือได้ว่าออกเดินทางก่อนกำหนด ที่จริงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่เพราะคำนึงถึงความรู้สึกของฉู่สวินหยาง คนทั้งหมดและม้าต่างเร่งการเดินทาง
——————-