บทที่ 76.2 เขา กลับมาแล้วใช่ไหม? (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ฉู่อี้เจี่ยนไม่อยากจะเชื่อ

ในเมื่ออีกฝ่ายอ่านเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจึงไม่ปฏิเสธ ทั้งยังไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธด้วย

เพียงแต่การถูกเปิดโปงซึ่งๆ หน้านั้นทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวนัก

ฉู่สวินหยางไม่สนใจเขา เอ่ยคำเย้ยหยันต่อไปว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตั้งแต่แรกพอทั่วป๋าไหวอันมาถึงเมืองหลวงเจ้าก็เตรียมจะลงมือแล้วใช่หรือไม่? แต่ตอนนั้นฉู่หลิงอวิ้นกับซูหว่านเข้ามาก่อกวน ทำแผนเจ้าพังไปเสียหมด เลยไม่ทันได้แสดงความสามารถ ทั่วป๋าไหวอันเองก็ถูกกดเอาไว้จนหมดประโยชน์ต่อเจ้าแล้ว เจ้าถึงได้รีบเปลี่ยนแผนโดยที่ไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้น…ในวันนี้จวนรุ่ยชินอ๋องคงรวมเป็นหนึ่งกับราชนิกุลแห่งโม่เป่ย และเดินหน้าแผนการชิงอำนาจอย่างมักใหญ่ใฝ่สูงไปแล้ว!”

ตอนนั้นที่ทั่วป๋าไหวอันมาเมืองหลวง ทั้งฉู่หลิงอวิ้นและฉู่สวินหยางต่างมิใช่คู่หมายที่ดีที่สุด และในสายราชสกุลเองก็หาไม่เจอสตรีที่อายุเหมาะสม ความจริงหากคิดให้ละเอียดอีกหน่อย ก็จะพบอย่างไม่ยากเย็นเลยว่า…

ท่ามกลางคนทั้งหมด ฉู่ซินรุ่ยคือตัวเลือกชั้นยอดสำหรับตำแหน่งชายาขององค์ชายห้าแห่งโม่เป่ย

ถ้าไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ต้องการอำนาจของราชสกุลโม่เป่ย คิดจะเก็บมันเข้ากระเป๋าแล้วคิดแตกหักกับทั่วป๋าไหวอัน ท้ายที่สุดจวนรุ่ยชินอ๋องย่อมหาโอกาสส่งฉู่ซินรุ่ยเข้าไปแก้ขัดสถานการณ์ที่ฮ่องเต้เผชิญอยู่ได้แน่

แต่เพราะภายหลังเรื่องราวพลิกผัน ทันทีที่เห็นว่าทั่วป๋าไหวอันหมดค่า พวกเขาก็ผลักเรือตามน้ำไม่ยอมเข้ายุ่งเกี่ยว แล้วเก็บตัวเงียบต่อไป

เรื่องเหล่านี้ ทุกคนต่างก็ถูกภาพลักษณ์โอนอ่อนผ่อนตามของฉู่ซิ่นรุ่ยตบตา จนไม่เคยติดใจหรือนึกสงสัย บัดนี้พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง

ฉู่อี้เจี่ยนเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้บอกปัดเลยสักคำ จนตอนนี้ถึงค่อยเปิดปากว่า “ข้าไม่อยากต่อปากต่อคำกับเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะคาดเดาอะไรก็ตามใจ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้ดี เจ้าคิดว่าเจ้ากุมจุดอ่อนของข้าไว้ ขณะเดียวกันตัวข้าก็กำชีวิตของเจ้าอยู่ เหยียนหลิงจวินคนอยู่ที่ใดเล่า? ช่วงนี้เจ้าเอาแต่เข้าออกจวนสกุลเฉินอย่างโจ่งแจ้ง เจ้าคิดว่าฉู่เป้ยยอมอยู่เฉยเพราะอะไร? ในสายตาเขา เจ้าก็แค่หมากตัวหนึ่งที่เขายังใช้ประโยชน์ได้ก็เท่านั้น!”

“จะมาพูดจาเพ้อเจ้อใหญ่โตกับข้าเพื่ออะไร?” ฉู่สวินหยางสวนกลับอย่างรวดเร็ว “ก็แค่พลาดโอกาสจากทั่วป๋าไหวอันทางนั้น ตอนนี้พวกเจ้าพี่น้องจึงกลัวว่าข้าจะขวางทางเจ้า เจ้าวางใจเถอะ อย่างที่เจ้าพูด เพราะรู้ดีว่าฮ่องเต้หนานฮวาเกลียดชังข้าเข้ากระดูกดำ ข้าย่อมไม่หาเรื่องใส่ตนโดยเอาตัวไปผูกกับคนข้างกายเขา พวกเจ้าพี่น้องมีฝีมือแค่ไหนก็แสดงออกมา ในเมื่อระหว่างเรากลายเป็นความร้าวฉาน เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าข้าจะยืนมองอยู่เฉยๆ ข้าย่อมก่อกวนขัดขวาง ก็ลองดูเอาเถอะว่าเจ้าจะมีปัญญาแก้ไขได้ไหม?”

การยั่วยุเช่นนี้ เท่ากับว่าสองฝ่ายต่างแตกหักอย่างไม่ไว้หน้ากันอีกแล้ว

ฉู่อี้เจี่ยนขมวดคิ้ว เหลือบตามองหน้าดรุณีน้อยข้างกาย มือกุมข้อมืออีกฝั่งแล้วถอนหายใจยาวเหยียด เอ่ยขึ้นต่อว่า “สวินหยาง…เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าไม่ต้องการทำร้ายเจ้ากับบิดาของเจ้าเลย!”

“งั้นรึ?” ฉู่สวินหยางยิ้ม ก่อนจะหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน “แต่พวกข้าล้วนเป็นหินที่ขวางทางเจ้า แม้ไม่คิดทำร้ายแต่ข้าก็เกือบตายเพราะเจ้า ตอนนี้เจ้าจะมาพูดเช่นนี้เพื่ออะไร?”

“เหอะ…” ฉู่อี้เจี่ยนหัวเราะ จากนั้นดวงตาพลันเข้มขึ้น เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าพูดถูก พวกเราไม่มีทางให้ถอยกลับ อะไรๆ ก็ทำไปหมดแล้ว เจ้าก็อย่าคิดฝันว่าข้าจะรู้สึกผิดหรือไม่สบายใจ มองอีกมุมหนึ่ง ตอนนี้ข้าเองก็ขวางกลางเส้นทางขึ้นสู่บัลลังก์ของฉู่อี้อัน วันข้างหน้าหากต้องปะทะกัน ถ้าเขามีโอกาสก็ไม่แน่ว่าจะปราณีข้า ข้าก็แค่ชิงลงมือก่อนเท่านั้นเอง!”

ฉู่สวินหยางทำเสียงหยัน เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “คิดคดทรยศบ้านเมืองแล้วยังเอ่ยวาจาได้เต็มได้ปากหน้าไม่เปลี่ยนสี ข้าต้องมองท่านอ๋องเจี่ยนใหม่เสียแล้ว!”

“อย่ามาพล่ามเรื่องขุนนางผู้ภักดีอะไรเลย เจ้ากลับไปคิดดูเถอะว่าทุกๆ อย่างที่บิดาเจ้าทำนั้นไม่ได้ทำเพื่อตัวเขาเอง?” ฉู่อี้เจี่ยนยังคงนิ่งเฉย ได้ฟังวาจานางก็ส่งเสียงหยัน “ทุกคนต่างมีมารร้ายในตัว ก็แค่ต้องรอดูว่าใครจะมีฝีมือเหนือกว่าก็เท่านั้น ฉะนั้นเราก็ควรเลิกวางท่าสูงส่งใส่อีกฝ่าย เลิกสวมหน้ากากผู้จงรักภักดี ทุกคนก็เหมือนๆ กัน ต่างอาศัยกำลังของตน”

“ประเสริฐ!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าเห็นด้วย

แม้ปีนั้นฉู่อี้เจี่ยนจะมีบุญคุณกับนางและฉู่ฉีเฟิง แต่ครั้งนี้เขาเกือบเอาชีวิตของทั้งคู่  สองฝ่ายไม่มีอะไรติดค้างกันอีก

ฉู่สวินหยางไม่พูดมาก หมุนกายเดินออกจากห้องไปทันที

จูหย่วนซานเห็นนางเดินออกมาก็ถอนหายใจโล่งอก รีบเข้ามารับหน้า “ท่านหญิง!”

ฉู่สวินหยางพลิกกายขึ้นม้า แม้จะรู้สึกตลอดเวลาว่าฉู่อี้เจี่ยนยังยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง แต่ก็ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง

“เหตุใดท่านอ๋องเจี่ยนถึงอยากพบท่านหรือขอรับ?” ออกเดินทางได้พักหนึ่ง ในที่สุดจูหย่วนซานก็เปิดปากถามอย่างอดไม่ไหว

ฉู่สวินหยางส่งเสียงตอบเบาๆ ในสมองพลันมีภาพฉากตอนต้นปีผุดขึ้นมา ทันใดก็เอ่ยถามหน้าจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้นที่แคว้นหนานฮวากันแน่? ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าองค์รัชทายาทหนานฮวาอาจจะเป็นทูตมาเจริญไมตรี? มิใช่ว่าเรื่องทัพที่เมืองฉู่ทำให้เขาถูกเคลือบแคลงหรือ? ฮ่องเต้หนานฮวายังเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้เชียว?”

“รายละเอียดไม่แน่ชัดขอรับ แต่ท่านชายบอกว่าเก้าในสิบคงเป็นเขาแน่” จูหย่วนซานเล่า “ช่วงนี้ท่านหญิงเองก็ไม่ได้ติดตามเรื่องในราชสำนัก หนานฮวาทางนั้นเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยเลย เริ่มจากขุนนางทั้งบู๊บุ๋นต่างร่วมกันแสดงจุดยืนไม่ไว้วางใจต่อองค์รัชทายาทและองค์ชายหก อ้างว่าเพราะสองคนแย่งชิงกำลังทหารกันถึงเป็นเหตุให้สงครามต้องปราชัย บัดนี้องค์ชายทั้งสามที่ได้รับความสำคัญ สองคนในนั้นกลับถูกผลักออกมายืนหน้าปากเหว และอาจจะร่วงลงไปเมื่อไรก็ได้ เหล่าสตรีในวังหลังก็เริ่มเคลื่อนไหว ก่อเรื่องก่อราวไม่เว้นวัน โอรสพระองค์เล็กองค์ชายเก้าก็เพิ่งพลัดตกน้ำจนเสียชีวิตเมื่อหกวันก่อน ฮ่องเต้พิโรธหนัก สาเหตุยังไม่ทันสืบทราบแน่ชัด เจิ้นกั๋วกงก็ถวายฎีกาขอรับโทษเรื่องกองทัพหนานฮวาเมื่อปีก่อนนั้น แทนองค์รัชทายาทหรงเสี่ยนหยาง เรียกร้องให้แต่งตั้งรัชทายาทใหม่อีกครั้ง ฮ่องเต้หนานฮวาเดิมก็มีความคิดเช่นนั้น แต่ไม่ทันไรก็มีข่าวว่าบุตรชายเพียงคนเดียวของหรงเสี่ยนหยางกับองค์หญิงหยางเซี่ยนถูกวางยาพิษ จวนเจิ้นกั๋วกงจึงชุลมุนอีกรอบ หรงเสี่ยนหยางเดือดจัดถึงขนาดจับตัวน้องชายต่างมารดาไปเข้าเฝ้า ขอร้องให้ฮ่องเต้หนานฮวาช่วยตัดสิน กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นอีกฉากหนึ่ง ซ้ำองค์ชายสี่ยังจะเข้ามาผสมโรงคิดฉกฉวยผลประโยชน์ ปลุกระดมให้ขุนนางฝ่ายตนล่ารายชื่อถวายฎีกา เรียกร้องให้ฮ่องเต้เปลี่ยนรัชทายาท แต่ไม่รู้ว่าใครแอบไปรายงานฮ่องเต้ว่าเขามีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ ฮ่องเต้จึงพิโรธหนัก ปลดเขาออกจากตำแหน่งและให้ปิดประตูสำนึกผิดอยู่ในนั้น เช่นนี้องค์ชายที่มีแต้มต่อสูงสุดจึงสูญอำนาจ รัชทายาทแห่งหนานฮวาจึงกลับคืนตำแหน่งอีกครั้ง”

แคว้นหนานฮวาโกลาหล นี่เป็นสิ่งที่ฉู่สวินหยางคาดเดาเอาไว้แต่แรก แต่ไม่คิดว่าจะยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้

เหมือนดังคำที่ฉู่อี้เจี่ยนบอกไว้ น่ากลัวจะไม่ใช่แค่เพียงฮ่องเต้หนานฮวา กระทั่งวังหลังและราชสำนักของเขาก็คงโยนทุกอย่างให้หัวคนต้นเรื่องอย่างนางแน่

ฉู่สวินหยางปิดปากเงียบไร้เสียงอยู่นาน

ผ่านไปสักพัก นางถึงค่อยคลี่ยิ้มบางๆ ให้เห็น กระซิบเสียงเบาว่า “เขา…กลับมาแล้วใช่ไหม?”

ถ้าไม่เช่นนั้น ฉู่ฉีเฟิงจะเสนอตัวรับภารกิจนี้ทำไม?

เพียงแค่ยี่สิบกว่าวัน ทว่ากลับรู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วชาติหนึ่ง

เมืองหลวงแห่งนี้ยังคงสดสวยโดดเด่น แต่เมื่อขาดคนข้างกาย คล้ายว่าอะไรๆ ก็ขาดสีสันไปหมด

จูหย่วนซานไม่รู้จะตอบนางอย่างไรดี เห็นเพียงรอยยิ้มเบาบางและอ่อนโยนที่มุมปากของนาง แม้จะไม่สว่างสดใจเหมือนกับวันวาน แต่ก็งดงามจนตาพร่าไปหมด

แน่นอนว่าฉู่สวินหยางไม่ได้คาดหวังให้เขาตอบความ นางรีบปรับอารมณ์ คลี่ยิ้มกระจ่างใส เอ่ยขึ้นว่า “ไปกันเถอะ! พวกเราต้องรีบไปรับเขากลับมา”

————————-