บทที่ 76.1 เขา กลับมาแล้วใช่ไหม? (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ฉู่สวินหยางกับจูหย่วนซานรีบเดินทางกลับไปที่วังบูรพา พวกเขาออกจากตรอกที่จวนสกุลเฉินตั้งอยู่ แล้วผ่านไปอีกสองถนน ขณะที่กำลังจะหันไปถามรายละเอียดกับจูหย่วนซาน ด้วยความไม่ตั้งใจ สายตาพลันตวัดไปเห็นด้านบนของโรงเตี๊ยมที่เยื้องออกไปฝั่งตรงข้ามมีร่างสูงของบุรุษยืนอยู่ริมหน้าต่าง

ฉู่สวินหยางเพ่งตามอง ก่อนจะดึงบังเหียนม้าด้วยความไม่แน่ใจ

จูหย่วนซานมองตามนางไป ก่อนบังคับม้าให้ไปอยู่ด้านหน้าอย่างเตรียมพร้อม คิดจะบังนางเอาไว้เบื้องหลัง

คนผู้นั้นมองลงมาจากหน้าต่างชั้นสอง สบตากับฉู่สวินหยางด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก่อนจะหมุนกายหายเข้าไปด้านใน

ฉู่สวินหยางเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน แล้วพลิกกายลงจากหลังม้า

“ท่านหญิง…” จูหย่วนซานครางเสียงต่ำ คิดจะห้ามนาง

ฉู่สวินหยางไม่ฟัง โยนบังเหียนม้าให้เขา ตัวเองก้าวฉับๆ เข้าไปด้านใน “รออยู่ตรงนี้ ข้าไปเดี๋ยวเดียว”

 “ขอรับ!” จูหย่วนซานทำได้เพียงส่งเสียงรับ

“แม่นางท่านนี้…” ฉู่สวินหยางเข้าไปในโรงเตี๊ยม ก็มีเสี่ยวเอ้อเดินออกมาต้อนรับ

ฉู่สวินหยางยกแส้ม้าในมือกันคนออกห่าง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้ามาหาคน!”

จบคำ ก็ก้าวสวบๆ ขึ้นชั้นสอง

เสี่ยวเอ้อสังเกตดูเสื้อผ้าและท่าทางของนางแล้วก็ไม่กล้าล่วงเกิน เพียงมองอย่างสงสัยทีหนึ่งแล้วก็ถอยออกไป

ฉู่สวินหยางเดินขึ้นชั้นบน เลี้ยวตรงหัวมุมบันได กวาดตาหาห้องที่มองเห็นจากด้านนอกเมื่อครู่ ก่อนจะยกมือผลักประตูเข้าไป

ประตูห้องเปิดออก

ฉู่อี้เจี่ยนหันด้านข้างเข้าหาประตู ขณะนั้นกำลังชื่นชมภาพปักบนฉากกั้นลม เขาเหลือบตามามอง มุมปากกระตุกยิ้มเป็นนัย เอ่ยว่า “ไม่ได้เจอเจ้าตั้งนาน เข้ามาดื่มชาก่อนสิ”

“ดื่มชาคงไม่ต้อง” ฉู่สวินหยางก้าวข้ามประตู ดวงหน้าแข็งทื่อไร้ซึ่งอารมณ์ นางเดินตรงเข้าไปนั่งลงข้างโต๊ะ เอ่ยว่า “เจ้าจงใจมารอข้าที่นี่ มีอะไรก็พูดมา ข้ายังมีธุระ!”

ฉู่อี้เจี่ยนหันไปมองเสี้ยวหน้าเย็นชาของนาง ยิ้มขื่นทีหนึ่ง ก่อนจะยกเท้าเดินมาหาอย่างเชื่องช้า

เขาสะบัดชายเสื้อคลุมเล็กน้อย เดิมคิดจะลงนั่ง แต่พลันเกิดความลังเล สุดท้ายก็เดินไปยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างตรงนั้น

“แม้จะบอกว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ว่านะสวินหยาง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า การที่วันนี้พวกเราต้องมาเจอกันในอีกโฉมหน้าหนึ่ง มันเป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือเกิน” พอเอ่ยจบ ฉู่อี้เจี่ยนก็ถอนหายใจอีกครั้ง

“จุดยืนแตกต่าง เหล่านี้ล้วนมีเหตุและผล” ฉู่สวินหยางตอบ แต่ไม่ไหวติงเลยสักนิด “อีกเดี๋ยวข้ามีธุระ เจ้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”

ฉู่อี้เจี่ยนยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างหน้าต่าง ทว่าสายตาของฉู่สวินหยางกลับมองไปที่อื่น ไม่คิดเปลืองแรงค้นหาอารมณ์ของเขาสักนิด

“ช่างเถอะ!” เงียบไปพักหนึ่ง ฉู่อี้เจี่ยนพลันถอนหายใจกะทันหัน แล้วเอ่ยเสียงเคร่งเครียดต่อว่า “ข่าวทางหนานฮวาคิดว่าเจ้าคงได้ยินมาแล้ว กำแพงเมืองเสียหาย องค์ชายถูกจับตัวไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการท้าทายและหมิ่นเกียรติฮ่องเต้แห่งหนานฮวาอย่างไม่โจ่งแจ้ง การมาเยือนครั้งนี้ของหนานฮวา ในฐานะที่เจ้าเป็นต้นเรื่องของความวุ่นวาย เจ้าคิดว่าจะรอดตัวจากเรื่องนี้ได้งั้นรึ?”

ฮ่องเต้หนานฮวาถูกคนร่ำลือว่าโง่เขลาอ่อนแอ แต่ผู้เป็นราชาแห่งแคว้น ต่อให้จะปวกเปียกเพียงใด ก็ย่อมมีโทสะกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของเหล่าขุนนางทั้งราชสำนัก เขาย่อมไม่อาจยื่นอกยอมรับมันอย่างไม่ปริปาก

ข้อนี้อยู่ในการคาดการณ์ของฉู่สวินหยางแต่แรก

ฉู่สวินหยางไม่สนใจ เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แล้วอย่างไรเล่า? ต่อให้ความขัดแย้งจะร้าวลึก มันก็เป็นเรื่องของข้าเอง ไม่รบกวนให้เจ้าเป็นห่วง”

“เหอะ…” ฉู่อี้เจี่ยนได้ฟัง ก็หัวเราะพลางส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าคิดว่าเรื่องมันง่ายดายขนาดนั้นรึ? คงไม่มีใครเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในแคว้นหนานฮวาให้เจ้าฟังสินะ”

ฉู่สวินหยางหัวใจกระตุก เงยหน้ามองแผ่นหลังเขาอย่างเริ่มสนใจ

“เพราะพ่ายศึกที่เมืองฉู่ ครึ่งเดือนมานี้ราชสำนักหนานฮวาวุ่นวายหนัก ไม่เพียงเรื่องที่รัชทายาทกับองค์ชายหกที่ถูกเจ้าจับตัวมาจะทำให้เกิดความหวาดระแวง มันเชื่อมโยงไปถึงหลายฝ่าย เรียกได้ว่าราชสำนักหนานฮวาเกิดเรื่องบานปลายใหญ่โต” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว น้ำเสียงเย็นชาแฝงความเย้ยหยันหลายส่วน “มีคนพูดว่าคนในของราชสำนักร่วมมือกับคนนอกจนทำให้การศึกพลาดท่า กระทั่งเฉินหนานเอินที่ถูกฆ่าตายตอนทัพเกิดจลาจลเมื่อปีก่อนยังถูกตั้งข้อสงสัยหนักกว่าซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงหรงเสี่ยนหยางซึ่งถูกปลดให้นอนเล่นอยู่บ้านเสียอีก จะบอกว่าทั่วแคว้นอยู่ในภาวะคับขันก็ไม่ผิด และในฐานะผู้จุดชนวนระเบิด เจ้าคิดว่าฮ่องเต้หนานฮวาจะคิดบัญชีแค้นนี้กับใคร?”

“สองฝั่งห้ำหั่น แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาของทหาร ในเมื่อเขาแพ้ไม่เป็นท่า ข้ากลับคิดว่า…ตำแหน่งฮ่องเต้คงไม่เหมาะกับเขา มิสู้เปิดทางให้ผู้มีความสามารถดีกว่า!” ฉู่สวินหยางหยิบถ้วยน้ำชามาเล่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มเย็นเยียบ

ฉู่อี้เจี่ยนหันกลับมามองนาง อดจะขมวดคิ้วไม่ได้ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาปากดี เรื่องนี้เจ้ารู้อยู่แก่ใจ ต่อให้บิดาและพี่น้องจะคุ้มครองเจ้าสุดกำลัง แต่มันก็ยังเหนือบ่ากว่าแรง ฮ่องเต้หนานฮวายังทำอะไรเจ้าตอนนี้ไม่ได้ แต่หากเขาคิดจะแก้แค้น เขาย่อมมีวิธีของเขา สิ่งที่เรียกว่าเจริญไมตรี…วิธีที่ใช้กันมากที่สุดคืออะไรเจ้าย่อมรู้ ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ? อยู่ที่นี่ไม่มีใครแตะต้องเจ้าได้ แต่ถ้าเปลี่ยนสถานที่เปลี่ยนฐานะ เจ้าจะใช้อะไรไปสู้กับคนพวกนั้น!”

สิ่งที่เรียกว่าเจริญไมตรี ก็แค่ฮ่องเต้จากสองแคว้นยอมถอยคนละก้าวเพื่อแลกกับผลประโยชน์ของตน และจบความขัดแย้งก็เท่านั้น!

และวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุดก็คือการหมั้นหมาย สองฝั่งแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อกู้คืนศักดิ์ศรี เปลี่ยนศัตรูให้เป็นคนในครอบครัวเสีย

ตอนนี้แน่นอนว่าฮ่องเต้หนานฮวาเกลียดชังนางเข้ากระดูก จะเลือกใช้วิธีนี้เพื่อพาตัวนางกลับไปแก้แค้นเอาคืนก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

ฉู่สวินหยางฟังแล้วก็แค่แสยะยิ้มออกมา

นางลุกยืนขึ้นเดินไปหาฉู่อี้เจี่ยน ก่อนจะยืนเคียงไหล่อยู่ด้านข้างเขา มองดูภาพถนนด้านนอกสักพัก แล้วเปิดปากด้วยเสียงดังชัดนุ่มนวลว่า “ถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็คิดตั้งนานว่าเจ้าตั้งใจมาดักรอข้าเพื่ออะไร ที่แท้ก็ต้องการหยั่งเชิงความคิดของข้านี่เอง”

สีหน้าของฉู่อี้เจี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่ามันหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่เหลือร่องรอยเอาไว้สักนิด

ฉู่สวินหยางก็ไม่สนใจเขา เอ่ยอย่างประชดประชันต่อว่า “จะว่าไปก็เพราะพวกข้าประมาทเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเจ้าปั่นหัวอยู่นานสองนาน แม้จะมีคนเชื่อว่าจวนรุ่ยชินอ๋องเป็นสกุลที่จงรักภักดีต่อแคว้น ทว่าความจริงมันก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น ฮ่องเต้เองก็คงทรงตีอกชกหัวและต้องพิจารณาความสามารถในการมองคนของตนใหม่ ความจริงแผนร้ายของพวกเจ้าจวนรุ่ยชินอ๋องไม่ได้เพิ่งมีมาสามปีห้าปี แต่ก่อนข้ายังรู้สึกว่าท่านหญิงฉางหนิงประหลาดนัก พวกเจ้าเลี้ยงนางมาดีเกินไป กระทั่งกิริยาท่าทางขององค์หญิงสูงศักดิ์ในวังก็ยากจะเทียบชั้นได้ แท้จริงเจ้ากับรุ่ยชินอ๋องเตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วใช่หรือไม่? อบรมเลี้ยงดูท่านหญิงฉางหนิงจนเป็นเลิศ ก็เพื่อ…ใช้นางผูกพันธมิตร แล้วดึงกำลังเสริมมาช่วยเจ้าทำงานใหญ่”

รูปโฉมของฉู่ซินรุ่ยแม้จะไม่โดดเด่น แต่หากพูดถึงกิริยามารยาทแล้วนั้น ย่อมรั้งอยู่อันดับต้นๆ ขนาดฉู่สวินหยางเองยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเมื่ออยู่ต่อหน้านาง เกรงว่าวงสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงยังยากจะหาใครมาเทียบเคียงกับนางได้

ก่อนหน้านั้นนานมากแล้วที่ฉู่สวินหยางรู้สึกตะหงิดใจ เพราะการมีอยู่ของสตรีที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้คนจับจ้องและสงสัย

กระทั่งเกิดเรื่องครั้งนี้ขึ้น ฉู่สวินหยางถึงได้กระจ่าง ว่าความตะหงิดใจนี้มาจากที่ใด!

——————————