“มาถึงขนาดนี้แล้ว พูดไปจะได้อะไรขึ้นมา?” ฮูหยินฮั่วเอ่ยพลางถอนหายใจ เดินไปนั่งข้างๆ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับคราบน้ำตาให้นาง “ท่านพ่อเจ้าทางนั้น ข้าใช้เครื่องหอมรมให้เขาหลับเอาไว้ ความคิดเจ้าข้าเข้าใจดี หากเป็นเมื่อก่อนข้าก็ยังแบกหน้าไปขอร้องวังบูรพาแทนเจ้าได้ ทว่าตอนนี้…”
ฮูหยินฮั่วพูดแล้วก็ถอนหายใจอีก “เรื่องนี้ไม่มีทางแก้ไข อีกอย่าง…หัวใจของคังจวิ้นอ๋องก็ไม่เคยมองเห็นสกุลฮั่วของพวกเรา วันนี้เจ้าไปหาเขาแล้วก็ให้แล้วไป ต่อไปก็ตัดใจเสีย!”
เมื่อความลับในใจถูกเปิดโปงต่อหน้า นางพลันรู้สึกประหม่า รีบเบนสายตาหนี
ฮูหยินฮั่วบีบมือนางแรงๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กรู้ความ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่อาจแบ่งแยก เรื่องที่ท่านพ่อเจ้าทำลงไป แม้ข้าจะไม่เห็นด้วย แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว จะให้ทำอย่างไรได้เล่า? อย่างไรก็เป็นคนในครอบครัว ทำได้เพียงมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องวันนี้ข้าจะเก็บเป็นความลับ ไม่บอกท่านพ่อเจ้าหรอก”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่ได้ตอบรับ เอาแต่นั่งนิ่งไม่หือไม่อือ
ฮูหยินฮั่วรออยู่สักพัก เพราะไม่มีเวลาให้ชักช้า จึงควักจดหมายในแขนเสื้อออกมา แล้วยัดลงกล่องไม้สีดำที่แม่นมก่วงยื่นมาให้ “ท่านพ่อเจ้าคงจะใกล้ตื่นแล้ว ข้าไปก่อนแล้วกัน!”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ปริปาก
กระทั่งฮูหยินฮั่วจากไป สาวใช้คนสนิทของนางก็ย่องเข้ามาหา เห็นท่าทางใจสลายของนางก็อดจะตาแดงตามมิได้ เอ่ยว่า “คุณหนู ฮูหยินรักท่านถึงเพียงนี้ เหตุใดเมื่อครู่ไม่ลองขอร้องนางดูล่ะเจ้าคะ? อย่างน้อยก็ให้นางไปพูดกับท่านอ๋องแทนท่าน พวกเขามีท่านเป็นลูกสาวคนเดียว มีหรือจะ…”
พูดถึงตรงนี้ก็ไม่เอ่ยต่ออีก
“พูดแล้วจะได้อะไร?” ฮั่วชิงเอ๋อร์กล่าว แม้น้ำตาจะร่วงหล่นอย่างไร้เสียง แต่อารมณ์ของนางไม่ได้พลุ่งพล่านแล้ว
เป็นความจริงที่นางชื่นชมฉู่ฉีเฟิง แต่ก็รู้ดีมาตลอดว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไร
หากเป็นเมื่อก่อน นางก็แค่อยากจะเฝ้ามองเขาอยู่ข้างๆ เท่านั้น ทว่าตอนนี้…
ถึงเวลาที่ทุกอย่างจะจบลงแล้ว
ในเมื่อไม่อาจเคียงคู่กับคนที่ตนรัก ไม่ว่าสุดท้ายต้องแต่งให้ใครก็ไม่ต่างกัน ต่อให้เป็นศัตรูก็ดี เป็นคนที่ชิงชังก็ช่าง จะต่างกันที่ตรงไหน?
ฮูหยินฮั่วยื่นจดหมายส่งให้กับฮั่วกัง สีหน้าของฮั่วกังเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงประคองกล่องใบนั้นไว้ด้วยนัยน์ตาที่ดำมืด
ฮูหยินฮั่วรู้สึกร้อนตัว ทว่าพยายามข่มสีหน้าไว้เต็มที่ แล้วถอนหายใจเสียงเศร้า “ท่านอ๋อง ท่านจะให้ชิงเอ๋อร์แต่งไปอยู่จวนรุ่ยชินอ๋องจริงๆ หรือเจ้าคะ? เรามีนางเป็นลูกสาวคนเดียว ตอนนี้ใช่ว่ามีเรื่องจำเป็นอะไร ท่านลองคิดดูใหม่ดีไหมเจ้าคะ?”
ฮั่วกังลอบกัดฟันแน่น กล้ามเนื้อตรงกรามเกร็งแข็งไปหมด
พักหนึ่งเขาถึงเอ่ยว่า “รอดูไปก่อนเถอะ รอดูการเคลื่อนไหวของพวกหนานฮวาแล้วค่อยว่ากัน!”
ฮูหยินฮั่วค่อนข้างแปลกใจ เงยหน้ามองเขาอย่างงงงัน
ฮั่วกังย่อมเข้าใจสิ่งที่นางคิด จึงแสร้งเอ่ยว่า “ชิงเอ๋อร์ก็เป็นลูกสาวข้า ทุกอย่างย่อมมีทางออก ข้าก็ลำบากใจที่ต้องส่งนางออกไปเหมือนกัน”
ฮูหยินฮั่วลอบมองสีหน้าเขา แต่ไม่เห็นความผิดปกติ จึงไม่พูดมากอีก
ช่วงนี้ฉู่สวินหยางปฏิเสธไม่รับแขก อ้างว่าปิดประตูไม่ออกจวน แต่คนที่ควรจะรู้ก็ต่างรู้ดี ว่าทุกวันนางจะไปหมกตัวอยู่ที่จวนสกุลเฉินเป็นพักใหญ่
เพียงพริบตาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
วันนี้ก็เหมือนเก่า หลังจากอาหารเช้านางก็พาเจี๋ยหงออกจากจวน มุ่งหน้าไปที่จวนสกุลเฉิน
ช่วงนี้เฉินเกิงเหนียนต้องเข้าวังไปตรวจอาการฮ่องเต้ทุกวัน ทั้งยังคร้านจะสนใจนาง ดังนั้นจึงคล้ายจวนสกุลเฉินมีนางเข้าๆ ออกๆ อยู่คนเดียว
และก็ใช่ว่ามีเรื่องอะไรให้ต้องไปทำ
กระดานหมากที่เดินแพ้อย่างราบคาบยังวางอยู่ข้างหน้าต่างไม่มีใครเก็บ ตำราแพทย์บนโต๊ะก็ยังกระจัดกระจาย นางพยายามรักษาทุกอย่างเอาไว้ในสภาพเดิม
ไม่เพียงเอาแต่เหม่อลอยอยู่ในห้อง ทว่านางยังชอบมองการตกแต่งในนี้ มองแล้วก็อดจะนึกถึงรายละเอียดและภาพฉากที่คนผู้นั้นเคยใช้ชีวิตอยู่มิได้ พอคิดทีก็ใช้เวลาเป็นครึ่งวัน ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเอาเสียเลย
นางมักอยู่ในห้องเงียบๆ เป็นเวลานาน เจี๋ยหงก็มิได้รบกวน เพียงเฝ้าอยู่ด้านนอกเท่านั้น
บ่ายวันนี้ ฉู่สวินหยางนอนเหม่ออยู่บนเตียง สายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างไร้จุดหมาย ตาพลันสะดุดว่าชั้นวางของที่ตั้งอยู่เยื้องออกไป ตรงนั้นมีสันสมุดเล่มหนึ่งโผล่ออกมา
ด้วยความอยากรู้ นางจึงลงจากเตียง ปีนตั่งเตี้ยขึ้นไปหยิบสมุดเล่มนั้น พอพลิกออกดูก็อดจะปล่อยเสียงหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้
เจี๋ยหงที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียง ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทว่าไม่กล้ายื่นหน้าเข้ามาดู
กระวนกระวายอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นจูหย่วนซานเดินเข้ามาด้วยความเร่งร้อน
“ท่านหญิงอยู่ด้านในหรือไม่?” จูหยวนซานถาม
“อืม!” เจี๋ยหงตอบคำ เห็นสีหน้าเขาแล้วก็อดระวังตัวขึ้นมาไม่ได้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
จูหย่วนซานไม่มีเวลาอธิบายให้นางฟัง เพียงผลักประตูเดินเข้าไปทันที
เวลานี้ฉู่สวินหยางนั่งพลิกสมุดอยู่หลังโต๊ะหนังสือ อ่านไปก็ยิ้มไป แม้ดวงหน้าจะเปื้อนยิ้ม แต่อารมณ์ที่เห็นกลับแฝงความเศร้าโศกอยู่หลายส่วน
“ท่านหญิง!” จูหย่วนซานเดินผ่านประตูเข้ามา
ความคิดของฉู่สวินหยางถูกตัดฉับ รีบซ่อนสมุดเล่มนั้นทันที ก่อนจะเงยหน้ามองเขา “มีอะไร?”
“สาสน์ขอสงบศึกของหนานฮวามาถึงแล้ว ท่านชายอาจจะถูกส่งไปเมืองฉู่เพื่อรับคณะทูตเข้าเมืองหลวง จึงมาตามท่านกลับไปขอรับ” จูหย่วนซานเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ข่าวจากหนานฮวา?
ฉู่สวินหยางตะลึงไป ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดแน่น แล้วหันไปมองเจี๋ยหง
เจี๋ยหงก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด ไม่กล้าสบตานาง
ฉู่สวินหยางไม่มีเวลามาเอาเรื่องนาง รีบยัดสมุดลงในแขนเสื้อ จากนั้นก็เดินอ้อมโต๊ะไปทางประตู ขณะที่เท้าก้าวข้ามธรณีก็ถามว่า “คนของหนานฮวาที่มามีใครบ้าง? ตอนนี้รู้ข่าวหรือยัง?”
“ยังไม่แน่ชัดขอรับ แต่เก้าในสิบคงเป็นองค์รัชทายาทของหนานฮวา!” จูหย่วนซานตอบ
ระหว่างสนทนา สองคนก็เดินไล่ตามกันออกจากประตู แล้วขึ้นม้ามุ่งหน้ากลับวังบูรพา
ฉู่สวินหยางรู้ดี หากว่าฉู่ฉีเฟิงเสนอตัวรับภารกิจนี้ นั่นย่อมเป็นเพราะนางแน่!
———————–