วินาทีนี้ นางไม่ได้แค้นเคืองที่อีกฝ่ายไร้ใจ แต่เพราะ…
เพิ่งกระจ่างแก่ใจว่าตนเพ้อฝันไปเอง
ด้านหลังมีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว ฮูหยินฮั่วแทบจะกระโดดลงมาจากรถ เข้ามากระชากตัวนาง เอ่ยอย่างใจร้อนว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ในตรอกไร้ซึ่งเงาของฉู่ฉีเฟิงแล้ว สายตานางล่องลอยไม่แยแส หันไปมองจดหมายที่อยู่ในมือของจูหย่วนซาน หัวใจพลันบีบรัดและเย็นเยือกตามไปด้วย
จูหย่วนซานเห็นท่าทางของนาง ก็แค่ยิ้มหยันแล้วโยนจดหมายคืนให้ ก่อนเอ่ยเสียงเย็นว่า “ในเมื่อฮูหยินฮั่วหาคนเจอแล้ว เช่นนั้นก็พาคุณหนูฮั่วกลับจวนไปด้วยตัวเองเถิด ท่านชายของข้าพูดไว้ชัดเจนแล้ว ไม่มีความชอบไม่รับรางวัล ของสิ่งนี้พวกท่านก็เก็บไว้ให้ดี หากคนอื่นพบเข้า คงไม่มานึกถึงเรื่องคุณธรรมใดใดกับพวกท่านแน่”
ความจริงฮั่วกังจะทำลายจดหมายทิ้งเสียก็ได้ เพื่อให้คนตายพร้อมกับไร้หลักฐาน
แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าลงมือ
เพราะเขารู้ดีว่าตนล่วงเกินวังบูรพาอย่างหนักหนา ไม่ว่าจะเป็นฉู่อี้อันหรือว่าฉู่ฉีเฟิง ทั้งยังมีฉู่สวินหยาง…
คนพวกนี้ไม่มีทางจะปล่อยเขาไว้แน่
ฉะนั้นเขาจำต้องรักษาจดหมายนี้ไว้ ต่อไปมันอาจจะเป็นแต้มต่อให้ใช้ควบคุมฉู่อี้เจี่ยนได้
ฮูหยินฮั่วรับรับจดหมายคืนมา รู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ จึงดึงฮั่วชิงเอ๋อร์ขึ้นรถม้าแล้วจากไป
จูหย่วนซานมองตามรถม้าสกุลฮั่วที่เคลื่อนไปไกล แม้จะรู้เต็มอกว่าคนของจวนอ๋องรุ่ยชินยังแอบจับตาดูอยู่แถวนี้ ทว่าก็คร้านจะใส่ใจ…
ทุกวันนี้เขาเกลียดชังพวกฮั่วกังเสียจนต้องกัดฟันกรอดๆ ที่ไม่ลงมือด้วยตัวเองก็ถือว่าสุดทนแล้ว คนสกุลฮั่วจะอยู่หรือตายมันเกี่ยวอะไรกับเขากันเล่า?
ถัดออกไปอีกสองถนน ฉู่ซินรุ่ยนั่งจิบชาอย่างสง่างามอยู่บนรถม้า
องครักษ์ที่นางส่งออกไปกลับมารายงานว่า “ท่านหญิง คังจวิ้นอ๋องส่งคนตามคนหนูฮั่วไปจริงๆ พวกข้าหาโอกาสลงมือไม่ได้ ทว่าตอนนี้ฮูหยินฮั่วตามมาแล้ว พวกนั้นจึงแยกกันไป จะให้…”
สายตาฉู่ซินรุ่ยสว่างวาบ ทว่าดวงหน้ายังเรียบเฉย เอ่ยด้วยเสียงสงบนิ่งว่า “ไม่ต้อง! กลับไปเถอะ!”
แม้องครักษ์ผู้นั้นจะแคลงใจ แต่ก็ไม่ขัดคำสั่งนาง ประสานมือคารวะทีหนึ่ง ก่อนจะร่นถอยไป
กระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวต่อไปบนถนน ฮวนเกอก็อดจะเปิดปากถามไม่ได้ “ท่านหญิง โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆ หากปล่อยแม่ลูกสกุลฮั่วไปแบบนี้ เกรงว่าต่อไปจะลงมือยากแล้วนะเจ้าคะ!”
ฉู่ซินรุ่ยคลี่ยิ้ม พ่นเสียงหึออกมาแล้วยิ้มเย็น ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับเจือความแข็งทื่อขึ้นหลายส่วน เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าฮั่วกังเป็นคนอย่างไร? เหตุใดพี่ห้าถึงได้ทำข้อตกลงกับเขา? หากเขาไร้สมองจริงๆ คงรับการยกย่องจากพี่ห้าไม่ไหว ตอนนี้แม้คนของฉู่ฉีเฟิงจะแยกย้ายไปแล้ว แต่ทำไมเขายังวางใจให้คนสกุลฮั่วจากไปเล่า? ก็เพราะคำนวณว่าคนของสกุลฮั่วต้องมาถึงทันเวลา หากลงมือกับพวกเขาตอนนี้ มีแต่จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ อดทนไว้ก่อน!”
ฮวนเกอเบิกตากว้าง เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านหญิงจะบอกว่าที่คุณหนูฮั่วทำเช่นนั้นเป็นเพราะถูกฮั่วกังบงการอยู่หรือเจ้าคะ?”
“แม้จะไม่ใช่บงการ แต่ก็คอยส่งเสริม” ฉู่ซินรุ่ยตอบ นิ้วก็ลูบไล้ถ้วยกระเบื้องในมือ สีหน้าผ่อนคลาย “หลอกใช้ความเป็นพี่น้องระหว่างฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่ฉีเฟิง คิดจะใช้จดหมายฉบับเดียวแทนการสวามิภักดิ์? น่าเสียดายที่เขาคิดผิดที่ไปลงมือกับฉู่สวินหยาง แล้วยังคิดว่าจะรอดตัวไปได้? ก็แค่ฝันกลางวันของคนโง่!”
“ท่านรู้อยู่แล้วว่าเขาเตรียมพร้อมมา แล้วเหตุใดเมื่อครู่ยังล่อให้ซื่อจื่ออ๋องหนานเหอไปเจออีกล่ะเจ้าคะ?” ชิงเกอยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ
“เรื่องมาถึงจุดนี้ ทุกฝ่ายต่างเปิดเผยจุดยืนของตัวเองแล้ว จะแตกหักหรือไม่ก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น เช่นนี้ เหตุใดข้าต้องกลัวหากจะกวนน้ำให้ขุ่นมากกว่าเดิมเล่า?” ฉู่ซินรุ่ยยิ้ม “ความจริงฉู่ฉีเฟิงกับน้องสาวกลับมาจากเมืองฉู่ได้พักหนึ่งแล้ว ทั้งที่รู้ว่าพี่ห้าอยู่เบื้องหลังคอยสร้างความลำบากให้เขา เจ้าคิดว่าพวกเขาจะอดทนไม่ยอมเอาคืนรึ? ก็แค่คิดจะนั่งภูเขาดูเสือกัดกัน รอโอกาสลากฉู่ฉีเหยียนลงน้ำ แล้วค่อยมาสะสางกับพวกเรา แม้แผนนี้จะวางได้ไม่เลว แต่ก็ต้องรอดูว่าพวกเราจะตกหลุมพรางหรือไม่?”
สาวใช้ทั้งสองได้ฟัง ก็พากันเงียบเสียงด้วยความตึงเครียด
ฉู่ซินรุ่ยหลุบตาลงอย่างไม่แยแส ชงชาต่อด้วยท่าทีสงบ…
อย่างเลือนราง ท่ามกลางไอน้ำที่ลอยหนา คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น ราวกับใจลอยไปไกล
นานแล้วที่ไม่ได้ข่าวเหยียนหลิงจวิน เขาผู้นั้น…
บนรถม้าของสกุลฮั่ว ฮูหยินฮั่วกำลังนิ่งเงียบด้วยความเดือดจัด
ฮั่วชิงเอ๋อร์ยังเหม่อลอยไม่มีสติ นั่งอยู่ตรงมุมรถ ไร้เสียงเช่นกัน
รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว เสียงบดล้อบนพื้นดังชัด ฟังแล้วให้คนรู้สึกหงุดหงิด
ระหว่างทางฮูหยินฮั่วหันมามองฮั่วชิงเอ๋อร์หลายครั้ง เกือบจะต่อว่านางอย่างทนไม่ไหว แต่ก็จะพยายามกดอารมณ์ กระทั่งถึงจวนสกุลฮั่ว เมื่อปิดประตูมิดชิดดีแล้ว นางก็ยกมือฟาดหน้าฮั่วชิงเอ๋อร์อย่างสุดทน
ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่นึกฝันว่าจะถูกตบจนเซ มือพลันยกกุมหน้าทันที
ฮูหยินฮั่วเป็นมารดาแท้ๆ ของนาง คอยดูแลทะนุถนอมนางอยู่เสมอ แม้โกรธจนหน้าแดงยังไม่เคยได้เห็นสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงไม้ลงมือ
“ท่านแม่…” แค่ถูกฉู่ฉีเฟิงปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า หัวใจของฮั่วชิงเอ๋อร์ก็บอบช้ำพอแล้ว ตอนนี้ถึงร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? ใครใช้ให้เจ้าคิดทำอะไรด้วยตัวเอง? เจ้าไม่รู้หรือว่าหากจดหมายฉบับนี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้วจะพบจุดจบเช่นไร?” ฮูหยินฮั่วต่อว่าเสียงดังด้วยความเกรี้ยวกราด มองดูบุตรสาวที่น้ำตานองหน้า แม้ใจจะปวดร้าวแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“เป็นท่านพ่อที่ทำเรื่องน่าอับอายไว้ก่อน แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร?” ฮั่วชิงเอ๋อร์เถียง เพราะว่าโกรธเคืองไม่ต่างกันถึงได้สะบัดหน้าไปนั่งบนเตียง ยกแขนเสื้อปาดน้ำตาบนแก้มแรงๆ “อยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมท่านพ่อต้องทำเช่นนั้นด้วย? เสี่ยงมากก็ได้มากงั้นรึ? คิดจะส่งผู้อื่นนั่งบัลลังก์งั้นรึ? ท่านพ่อเองก็เป็นถึงแม่ทัพขั้นสามแล้ว ยังมีอะไรไม่พอใจอีก? ที่ผ่านมาองค์รัชทายาทปฏิบัติต่อท่านพ่ออย่างไร ท่านแม่ไม่รับรู้เลยหรือ? ท่านพ่อยัง…ทำไมถึงทำเช่นนั้นอีก?”
แม้จะรู้สึกว่าการกระทำของฮั่วกังน่าอับอาย แต่อย่างไรคนก็เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของนาง ต่อให้จะผิดหรือถูกก็ไม่สมควรที่นางจะเอ่ยวาจาติเตียน
ฮูหยินฮั่วมองคราบน้ำตาบนหน้าของบุตรสาว สุดท้ายก็ใจอ่อน
————————–