ตอนที่ 368 เผด็จการ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 368 เผด็จการ

เหล่าสาวใช้ตั้งใจชักจูงให้ทุกคนนึกถึงเรื่องนี้ไปในทิศทางที่พวกนางวางเอาไว้แล้วจงใจปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อใส่ร้ายอันหลิงเกอ

แต่ชาวบ้านก็มิได้มีแต่คนโง่งมเท่านั้น เมื่อมีคนเชื่อคำของสาวใช้พวกนั้นก็ย่อมมีคนที่รู้สึกสงสัยรวมอยู่ด้วย

ชาวบ้านหลายคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็หัวเราะออกมา ทั้งยังพูดจาเหยียดหยาม “ดูพวกเจ้าพูดเข้าสิ เอ่ยกันราวเห็นด้วยตาตนเอง พวกเจ้ามิคิดบ้างหรือว่าคุณหนูใหญ่อันเป็นคนเยี่ยงไร นางจักสนใจสามีของเจ้าได้หรือ”

“ใช่ใช่ใช่ ก่อนจักกล่าวอันใดออกมาช่วยไปส่องกระจกดูเงาตนเสียหน่อย ต่อให้คุณหนูใหญ่อันตาบอดก็มิมีทางชายตามองเขาหรอก”

คนที่กล่าวประโยคนี้เป็นผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบกว่าปี นางมองสาวใช้คนนั้นอย่างกำลังพิจารณา เมื่อเห็นสาวใช้หน้าตาธรรมดาก็คาดเดาหน้าตา “สามี” ของอีกฝ่ายได้ว่ามิเข้าตาอันหลิงเกอเป็นแน่

พอกล่าวจบก็มีแม่บ้านหลายคนหัวเราะเสียงดังขึ้นมาราวกับเรื่องนี้ช่างน่าขันและไร้สาระสิ้นดี

สำหรับพวกตนแล้วอันหลิงเกอก็เป็นแค่คนแปลกหน้า แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เคยได้ยินชื่อเสียงของอันหลิงเกอมาบ้างจึงรู้ว่ามีฐานะสูงส่ง รูปโฉมงดงามและฝีมือการแพทย์มิธรรมดา

หากคนเช่นนี้ลอบคบชู้กับผู้ชายธรรมดาก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

หลังจากโดนพวกแม่บ้านโต้เถียงกลับมา เป้าหมายของเหล่าสาวใช้ที่จักใส่ร้ายป้ายสีอันหลิงเกอก็ทำมิสำเร็จ

ส่วนอันหลิงเกอที่กลับถึงจวนแล้วได้เตรียมการให้คนพาขอทานไปหาอันอิงเฉิงอีกด้วย

“เกอเอ๋อ นี่เจ้าทำอันใด? พวกนี้เป็นใครกัน ? ”

อันอิงเฉิงมองสามคนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าด้วยแววตาวาวโรจน์และประเมินพวกเขาอีกครั้งอย่างมิเข้าใจ เมื่อเห็นสายตากลิ้งกลอกของพวกมัน คิ้วก็ขมวดแน่นทันที

อันหลิงเกอส่งสายตาให้พวกมัน ขอทานก็เข้าใจความหมายของนางทันที

หนึ่งในขอทานรู้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ต่อหน้าท่านโหวอัน ตั้งแต่เกิดมายังมิเคยเจอคนที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้มาก่อนจึงทำได้เพียงกล่าวออกมาอย่างเกรงกลัวว่า “เรียนท่านโหว ข้าน้อยมีนามว่าติงซานเป็นขอทานอยู่ทางทิศเหนือของเมืองขอรับ”

อันอิงเฉิงมิได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่สีหน้าเต็มไปด้วยความมิพอใจ แววตาคู่นั้นเข้มขึ้นจนคาดเดาอารมณ์ที่อยู่ข้างในมิออก

ขอทานคนนั้นดูมิออกว่าท่านโหวรู้สึกเช่นไร แต่ตอนนี้มันทานยาพิษเข้าไปแล้วจึงต้องกล่าวต่อให้จบเท่านั้น

“เมื่อสองวันก่อนอันหลิงอีไปพบพวกเราโดยบอกว่ามีงานดี ๆ จักให้พวกเราทำ หากทำงานนี้สำเร็จ นอกจากพวกเราจักได้เชยชมหญิงงามก็ยังได้รับเงินก้อนโตอีกด้วยขอรับ” ขอทานคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกว่าแววตาของอันอิงเฉิงเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ

ขอทานอีกคนจึงรับช่วงต่อโดยเล่าเรื่องจนจบ “แต่ผู้ใดจักคิดว่าอันหลิงอีให้พวกเราไปจัดการกับอันหลิงเกอ…”

เมื่อเห็นสีหน้าของอันอิงเฉิงเข้มขึ้น ขอทานคนที่สองก็รีบกล่าวต่อ “แต่ท่านโหววางใจได้ พวกเรามิได้ทำอันใดคุณหนูใหญ่อัน พวกเราสาบานได้ขอรับ”

“ใช่ใช่ใช่ สาบานต่อฟ้าดิน หากพวกเราแตะต้องคุณหนูใหญ่อันแม้แต่ปลายเล็บก็ขอให้โดนฟ้าผ่าตายขอรับ” ติงซานที่เอ่ยเป็นคนแรกรีบสาบาน เกรงว่าอันอิงเฉิงจักโมโหจนสั่งให้คนลากพวกมันไปโบยจนตายเสียก่อน

แต่สีหน้าของอันอิงเฉิงมิดีขึ้นแม้แต่น้อย เขาฟังขอทานสองคนรับส่งกันไปมา แม้เหตุผลมิชัดเจนนัก แต่ก็ทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่พวกมันต้องการสื่อ

ริมฝีปากของเขาเรียบเป็นเส้นตรง แววตาที่เฉียบคมกวาดมองบนตัวของพวกมันพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “พวกเจ้าหมายความว่าอีเอ๋อจ้างพวกเจ้าไปลงมือกับเกอเอ๋ออย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ใช่ใช่ หมายความเช่นนั้นขอรับ”

พวกขอทานไร้ความรู้จึงมิสามารถพูดอันใดที่ซับซ้อนได้ เมื่อเห็นว่าอันอิงเฉิงเข้าใจความหมายที่พวกตนต้องการสื่อก็ดีใจกันยกใหญ่

แต่อันอิงเฉิงจ้องพวกมันตาเขม็ง ใบหน้าน่าเกรงขามแสดงออกชัดเจนว่ากำลังโกรธ “บังอาจ ! ใครสั่งให้พวกเจ้ามาใส่ร้ายป้ายสีบุตรสาวของข้าทั้งสองคน?”

คำที่กล่าวออกมาของขอทานสองคนนี้ ด้านหนึ่งบอกว่าอันหลิงอีใจคอโหดเหี้ยมวางแผนทำร้ายพี่สาวของตน อีกด้านก็บอกว่าอันหลิงเกอถูกคนทำร้ายจนเกือบตกอยู่ในเงื้อมมือของขอทาน หากเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วชื่อเสียงของนางคงถูกทำลายเป็นแน่

อันหลิงเกอเห็นท่าทางเช่นนั้นของอันอิงเฉิงก็รีบเอ่ยปากทันที “เรียนท่านพ่อ ลูกเป็นคนพาพวกมันมาเอง เพื่อให้พวกมันบอกความจริงให้ท่านได้รู้เจ้าค่ะ”

ดวงตาดำขลับของนางจ้องไปที่อันอิงเฉิง ใบหน้าอ่อนโยนและสงบนิ่งอยู่เป็นนิจบัดนี้มีท่าทางร้อนรนขึ้นมา

“แล้วความจริงที่ว่าคืออันใดกันแน่ ? ” อันอิงเฉิงย้อนถาม แววตาแฝงไว้ด้วยความเบื่อหน่าย “เจ้ายังเด็ก อย่าให้พวกมันหลอกเอาได้ สิ่งที่พวกมันกล่าวจักถือว่าเป็นความจริงมิได้”

อันหลิงเกอคาดมิถึงว่านางพาพยานมาพบอันอิงเฉิงด้วยตนเอง แต่เขากลับมิเชื่อ ทั้งยังบอกว่านางเป็นเด็กที่ถูกคนพวกนี้หลอกอีกต่างหาก

เมื่อวานนี้ ตอนที่นางถูกขังอยู่ในห้องก็เกือบเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว เรื่องนี้จักมิใช่ความจริงได้เยี่ยงไร ?

นางมิใช่เด็กสามขวบแล้วจักถูกหลอกโดยง่ายได้อย่างไร ?

แววตาของอันหลิงเกอวูบไหว กำลังจักเอ่ยต่อก็เห็นอันอิงเฉิงโบกมือเรียกองครักษ์ด้านนอกเข้ามา “พวกมันปล่อยข่าวลือผิด ๆ ทำให้คุณหนูทั้งสองเสื่อมเสียชื่อเสียง เอาตัวพวกมันไปสอบปากคำอย่างละเอียด”

องครักษ์มิได้กล่าวสิ่งใด เพียงเดินเข้ามาจับแขนของขอทานบิดไปด้านหลังแล้วเตรียมพาออกไป

“รอก่อน”

อันหลิงเกอเอ่ยรั้งพวกเขาเอาไว้ สายตาของนางมิได้มองไปยังพวกเขาแต่ยังจ้องไปที่อันอิงเฉิง

“ท่านพ่อ ลูกเกือบตายเพราะอันหลิงอี หรือท่านตั้งใจปล่อยอันหลิงอีไปเจ้าคะ ? ”

แม้นัยน์ตาของนางซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ ทว่าคำที่ถามออกไปก็แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า

แต่อันอิงเฉิงมิได้รู้สึกอันใดและยังหันไปสั่งองครักษ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเจ้ามัวยืนทำอันใด ? ยังมิรีบนำตัวพวกมันออกไปอีก ! ”

ที่เขาบอกให้สอบปากคำอย่างละเอียดนั้น อันหลิงเกอรู้ดีว่าต้องให้สังหารอย่างลับ ๆ เพราะในจวนนี้มิมีสถานที่ใช้สอบปากคำ ดังนั้นนางจึงขวางองครักษ์เอาไว้

เรื่องที่อันอิงเฉิงตัดสินใจไปแล้ว นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าจักมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ย่อมมิมีใครเปลี่ยนความตั้งใจของเขาได้

องครักษ์หยุดชะงักไปชั่วขณะเพราะคำกล่าวของอันหลิงเกอ จากนั้นก็ทำตามคำสั่งของอันอิงเฉิงโดยนำตัวขอทานออกไปทันที

“ไม่ คุณหนูใหญ่ช่วยด้วย คุณหนูใหญ่บอกว่าพวกเราจักมิเป็นอันใดนี่ ! ”

“ต้องโทษอันหลิงอี หากมิใช่เพราะนางมาหาแล้วพวกเราจักเข้ามาพัวพันกับเรื่องเช่นนี้ได้หรือขอรับ ? ”

พวกขอทานถูกองครักษ์นำตัวออกไป ต่างพากันขัดขืนและร้องตะโกนดังลั่นจนอันอิงเฉิงขมวดคิ้วทันที องครักษ์ที่มีไหวพริบคนหนึ่งสังเกตเห็นสีหน้าของเขาจึงหยิบผ้ามาอุดปากขอทานเอาไว้ทันที