แน่นอนว่ามันคือการยั่วยุ!

 

ความโกรธพวยพุ่งขึ้นมาจากอกของไก๋หนาน ตาของไก๋หนานคมกริบพร้อมกับมีดสั้นในมือที่พุ่งเป้าโจมตีเข้าใส่ลำตัวช่วงบนของชูฮัน เขาจงใจจะฆ่า!

 

ชูฮันบิดมือซ้ายของเขาโดยที่แขนแทบไม่ได้ขยับเคลื่อนเลย เพียงแค่การขยับข้อมือเล็กน้อยมันก็เกิดภาพการเคลื่อนไหวของการต่อสู้อันสวยงามขึ้น มุมและจังหวะนั้นถูกต้องอย่างแม่นยำและสามารถป้องกันการโจมตีของไก๋หนานได้อีกครั้งหนึ่ง มีดสั้นที่เป็นอาวุธที่ต้องอาศัยความคุ้นเคยและเทคนิคในการใช้งาน ทว่าชูฮันกลับใช้งานมันได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ลมหายใจของเขาแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดขณะกำลังต่อสู้

 

ตึง!

 

ชูฮันค่อยๆปรือตาขึ้นจ้องหน้าไก๋หนาน “ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันลืมบอกนาย นายไม่ควรโจมตีที่ฝั่งซ้ายของฉัน”

 

โดยปกติแล้วผู้คนมักจะถนัดมือขวา ชูฮันเองก็เช่นกัน เขาไม่ใช่พวกนัดมือซ้ายทว่าไก๋หนานต้องนึกไม่ออกแน่ๆเพราะชูฮันได้ฝึกฝนใช้กริชด้วยมือซ้ายมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว

 

ขณะนั้นเอง ชูฮันก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่ได้เห็นไก๋หนานถือมีดสั้นไว้ในมือ มันเป็นไก๋หนานคนเดียวกับที่เขารู้จักในชาติที่แล้วจริงๆด้วย แต่ในชาตินี้มันกลับไม่มีแผลเป็นบนใบหน้าของไก๋หนาน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชูฮันจำไก๋หนานไม่ได้ในครั้งแรกที่เจอกันในชาตินี้

 

มุมปากของชูฮันยกยิ้มขณะคิด ผู้ชายคนนี้ยังหุนหันพลันแล่นเหมือนเดิมเสมอ

 

ชูฮันบิดข้อมืออีกครั้งพร้อมกับปลายคมของกริชในมือที่ถูกกระดกขึ้น ส่งผลให้มีดสั้นในมือของไก๋หนานอยู่ในมุมที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทันใดนั้นชูฮันก็ยกมือข้างซ้ายขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไร้สัญญาณเตือนใดๆ และในจังหวะที่ไก๋หนานปรับมุมข้อมือที่จับมีดสั้นในมือไว้ได้ กริชที่เย็นเฉียบของเขาชูฮันก็ปราดไปจ่อเข้าที่ลำคอของไก๋หนานไว้เรียบร้อยแล้ว

 

จังหวะการเดินของทั้งสองคนไม่ได้เปลี่ยนไป ทั้งคู่ยังคงเดินไปกับกลุ่มเหมือนเดิมตั้งแต่เริ่มจนจบ ภาพที่ทุกคนมองมาก็คือทั้งคู่เดินตัวติดกันมากเท่านั้นเอง หากไม่มีใครดูออกว่าแท้จริงแล้วทั้งคู่กำลังห่ำหั่นกันอยู่

 

กริชที่เย็นเฉียบและคมกริบของชูฮันสามารถเฉือนคอไก๋หนานตรงเข้าไปตัดเส้นเลือดใหญ่และตายได้ในทันที เพียงแค่การขยับมุมเพียงเล็กน้อยของทั้งคู่ก็มากพอที่จะทำให้กริชแหลมคมตัดเข้าผิวเนื้อตรงลำคอของไก๋หนานแล้ว แต่มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับชูฮันที่จะควบคุมกำลังและมุมของกริชเอาไว้ตลอดทางที่ยังคงเดินอยู่ ทำให้ไก๋หนานไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

 

มันไม่มีการหยุดฝีเท้า และทุกคนที่เดินตามหลังพวกเขามาก็ยังคงคิดว่าทุกอย่างปกติ

 

หน้าของไก๋หนานครึ้มตลอดทางพร้อมกับที่มีปลายคมของกริชที่จ่อลำคอเขาเอาไว้ ไก๋หนานไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมาสักคำด้วยเพราะการขยับเพียงน้อยนิดอาจจะเป็นการทำร้ายตัวเองได้ แต่ดูเหมือนว่า ‘พี่หวังไค’ ที่อยู่ข้างๆดูเหมือนจะชื่นชอบการปั่นประสาทเหลือเกิน เพราะคมมีดที่นาบอยู่ตรงลำคอเขานั้นจะหลวมและแน่น สลับไปมาทุก 5 นาที!

 

ถือให้มันดีๆหน่อยไม่ได้เหรอไง! มือมึงมีปัญหาเหรอ?

 

ขณะที่ไก๋หนานกำลังจะทนกับเกมส์ปั่นประสาทของชูฮันไม่ไหว จู่ๆชูฮันก็ชักกริชกลับไป ทำให้ไก๋หนานได้เห็นจังหวะเชือกที่ผูกกับกริชไว้ที่แขนขวาของชูฮัน

 

ความคิดของการลอบโจมตีลุกโชนขึ้นในหัวของไก๋หนานทันที ไก๋หนานยิ้ม…การโจมตีกริชของหวังไครวดเร็วจนมองไม่เห็น และหวังไคยังสามารถป้องกันการลอบโจมตีครั้งแรกของเขาได้ แถมยังหยุดครั้งที่สองต่อได้อีกก็ตาม

 

เมื่อมองไปที่มีดสั้นของตัวเอง ไก๋หนานก็ไม่กล้าจะยกมันขึ้นมาต่อหน้าชูฮันอีก การป้องกันแบบนี้ ชูฮันสามารถซ่อนกริชไว้ได้โดยไม่ที่ไม่มีใครมองเห็นทว่าชูฮันกลับแสดงให้เขาเห็นอย่างจงใจ ไม่ใช่ว่าตำแหน่งของที่ซ่อนกริชไม่ได้รับการปกปิดทว่ามันเป็นเพราะชูฮันมีความมั่นใจอย่างที่สุดต่างหากว่าไก๋หนานจะทำอะไรเขาไม่ได้

 

ไก๋หนานรู้สึกพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาถูกชูฮันเอาชนะได้อย่างง่ายๆ ไม่ว่าจะทั้งการต่อสู้ทางด้านกายภาพหรือจิตใจ

 

ไก๋หนานไม่มีอะไรจะพูด ชูฮันเองก็ไม่พูด เหมือนกับว่าความอดทนเป็นทักษะที่เต็มเปี่ยมสำหรับชูฮัน

 

“นายเป็นใคร?” สุดท้าย ไก๋หนานก็เป็นคนแรกที่เปิดปากพูด

 

“ถ้าเราได้มีโอกาสเจอกันอีกในอนาคต ฉันจะบอกนาย” ชูฮันยิ้มที่มุมปาก…นายเป็นนายทหาร ไม่ช้าก็เร็วนายก็ต้องทำความเคารพหัวหน้าของนาย

 

ไก๋หนานสูดลมหายใจเข้าลึกและตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาไปกับเรื่องนี้อีก เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมื่อคืนนี้มันเกิดอะไรขึ้น”

 

“ดูที่ชื่อของนายและมีดอยู่ตรงหางตาขวา” ชูฮันพูดประโยคที่กำกวมขึ้นมา ตามด้วย “ฉันให้นายได้แต่คำใบ้ ฉันไม่ได้ทำอะไรในคืนนั้น”

 

“อะไรน่ะ?” ไก๋หนานได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังมาจากฝูงชน

 

“อะไร?” เสียงฝีเท้าของชูฮันมีการเปลี่ยนแปลง น้ำเสียงของชูฮันแฝงไปด้วยความรังเกลียดเล็กน้อย “อารมณ์ของผู้คนยังคงเป็นเรื่องสำคัญ!”

 

ไก๋หนานตกใจกับประโยคที่สองของชูฮันเป็นเวลาพักใหญ่ มันหมายความว่ายังไง?

 

ไม่นานไก๋หนานก็สนใจกับข้อมูลที่ชูฮันให้มา “ถ้านายไม่ได้ทำ นั่นก็หมายความว่าเด็กนั่นถูกคู่สามีภรรยาใส่ร้าย? แต่พวกเราทุกคนคิดว่าเป็นนาย นี่มันภาพลวงตาชัดๆ สรุปว่านายไม่ได้ทำอะไรเมื่อคืนนี้เพียงแค่ไปอยู่ตรงนั้นพอดี ส่วนคู่สามีภรรยานั้นคือตัวปัญหา?”

 

“อาจจะ” ชูฮันเองก็ไม่มีคำตอบ

 

“ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนนั่นพึ่งจะแต่งงานกันเมื่อวานนี้เพื่อตบตาพวกเราเหรอไง?” เสียงของไก๋หนานเต็มไปด้วยความโกรธ

 

“ไม่” ชูฮันแก้ไขการเข้าใจผิดของไก๋หนาน “เด็กนั่นเป็นฝ่ายที่โกหก”

 

“เอ่อ–?” ไก๋หนานประหลาดใจและสับสน

 

ทว่าสักพักไก๋หนานก็ชะงัก *ทำไมเขาถึงโดนชูฮันชักนำได้?*อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือเรื่องเมื่อคืนได้เปิดเผยความผิดปกติบางอย่างให้เห็น เด็กชายที่ดูบริสุทธิ์ และการกระทำแปลกๆของคู่สามีภรรยา และตัวตนที่ปกปิดของชูฮัน

 

สถานการณ์นี้มันคืออะไรกัน?

 

“ทำไมเมื่อวานนี้นายไม่บอกความจริงล่ะ?” นี่เป็นสิ่งที่ไก๋หนานคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลที่สุด ทำไมชูฮันถึงยินดีที่จะพูดวันนี้แต่เมื่อวานกลับเลือกที่จะเงียบ?

 

“เมื่อวานนี้นายอยู่ในช่วงจังหวะวิกฤตที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์อย่างไม่ยั้งคิด เพียงแค่อะไรกระทบนิดหน่อยมันอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ถ้าฉันพูดความจริงออกไปในตอนนั้น นายจะยอมรับได้เหมือนในตอนนี้ที่นายได้ทบทวนและวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลมั้ยล่ะ?” ชูฮันแสยะยิ้ม “ฉันคิดว่าเด็กนั้นคงจะถูกลากไปทรมานเค้นความจริง ถูกมั้ย?”

 

ไก๋หนานเงียบ ชูฮันพูดถูกแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันและต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ทำให้พวกเขาเสียการควบคุม ถ้ามันไม่ใช่เพราะชูฮันตัดสินใจที่จะเงียบไว้ตั้งแต่แรก พวกเขาทั้งหมดก็คงต้องเสียใจในการกระทำของตัวเองเป็นแน่

 

“ขอบคุณมากสำหรับความหวังดี ขอบคุณพี่ชาย” ไก๋หนานพูดขอบคุณหวังไคออกมา จากนั้นก็ผละออกไป ชูฮันคิดว่าไก๋หนานคงจะไปปรึกษากับพรรคพวกของเขาอย่างแน่นอน

 

“ทำไมไม่พูดไปล่ะว่าเพราะนายขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งจัดการ? เหมือนที่นายบอกฉัน?” หวังไคพูดขึ้นในหัวชูฮัน “ฉันไม่เชื่อเรื่องไร้สาระที่นายพูดเมื่อกี้หรอก ไอ้การวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลอะไรนั้นก็แค่ข้ออ้าง? ความจริงแล้วนายไม่สนด้วยซ้ำว่าเด็กนั้นจะเป็นหรือตาย”

 

“ใช่ ฉันไม่ได้อยากจะพูด แต่บางทีฉันก็เปลี่ยนความคิดได้?”

 

หวังไค “…”