ฟ้าค่อยๆ มืดลง เมฆดำปกคลุมมิดทั่วทั้งท้องฟ้า ไม่นาน สายฝนในฤดูใบไม้ร่วงก็โปรยปรายลงมาจนทำให้ดอกและใบบนต้นกุ้ยเปียกชื้นไปหมด
องค์หญิงมังกรในอ้อมอกยังคงเอาแต่ก้มหน้านิ่ง มือทั้งสองของนางยันไว้ที่อกเขาอย่างไม่ลดละ
ผมของนางก็เปียกชื้นไปหมดเช่นกัน หยดน้ำไหลลงไปตามลำคอเข้าไปหลังปกเสื้อ ฝูชางไม่เพียงแต่ใช้นิ้วมือปาดออกเบาๆ เท่านั้น เดิมเขาสามารถใช้ม่านพลังได้ แต่ว่าตอนนี้เขากลับไม่ได้อยากจะบังฝนนัก ชุดสีขาวของนางถูกฝนจนชื้นไปกว่าครึ่งแนบติดไปกับบ่า ผมที่เปียกฝนจนน้ำหยดพันกันยุ่งเหยิงอยู่บนบ่า เขาเอาผมทัดหูให้นางและดีดน้ำบนปลายกิ่งไม้ออกไป
นางขยับตัวน้อยๆ เขากลับยิ่งกอดนางแน่นขึ้น หัวของนางก้มต่ำจนแทบจะติดเข่าแล้ว น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานคล้ายกับสั่นน้อยๆ “ชุด…เปียกหมดแล้ว จะไปเปลี่ยนชุด”
ฝูชางมองไปยังหลังคอที่แดงเป็นปื้นของนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงปล่อยมือช้าๆ เสวียนอี่ก้มหน้าลงและจัดชุดที่เปียกชื้นของนาง นางหมุนตัวกลับไปห้องนอนโดยไม่กล่าวอะไร ใบหูที่โผล่ออกมาจากผมของนางนั้นแดงก่ำ
ม่านห้องนอนถูกปล่อยลงมา เสวียนอี่ยืนนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง พลันเปิดหน้าต่างวงเดือนอีกด้านแล้วพลิกตัวกระโดดออกไปอย่างไม่ลังเล
คราวนี้จะมามัวสนใจเท้าที่เจ็บอีกไม่ได้แล้ว ทั้งชีวิตนางยังไม่เคยวิ่งห้อไม่สนภาพลักษณ์อย่างนี้มาก่อนเลย นางใช้เท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงไปบนดิน เหล่าเทพที่ผ่านมาเห็นเข้าต่างก็มองอย่างตกตะลึงตาค้าง
นางต้องกลับเขาจงซาน จะต้องกลับไปให้ได้
จริงๆ แล้วหลายปีนี้นางก็ผ่านมาได้ดี นางคุ้นชินสนิทกันดีกับความเหงาแล้ว มันทั้งสงบเงียบและปลอดภัย ฉีหนานไม่เคยกล่าวถึงชื่อของฝูชางต่อหน้านางอีก ชุดคลุมที่วางไว้ส่วนลึกสุดของลิ้นชักกับกระดาษสีขาวนั่น นางก็ไม่ได้หยิบออกมาดูหลายปีแล้ว หากนางมองเห็นว่าความโดดเดี่ยวตลอดกาลต่างหากที่เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดได้เร็วกว่านี้ เรื่องที่ทำให้นางสับสนวุ่นวายใจเหล่านั้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น
นางเคยแข็งใจตัดขาดอดีตทั้งหลายของเขาและนางอย่างกล้าหาญมาแล้ว ยามเขาในโลกมนุษย์ถูกพลังเทพหิมะจู๋อินที่เย็นจัดของนางทำร้ายเข้าตอนนั้น นางก็ลอบสาบานแล้วว่าจะไม่มีทางยอมให้ทุกอย่างผิดพลาดเช่นเดิมอีก
อย่าให้ความเอาแต่ใจของนางโงหัวขึ้นมาได้อีก ความรักของนางมักจะมาพร้อมกับการทำร้ายเสมอ เขาทนการทำร้ายครั้งที่สามไม่ไหว หัวใจที่ไม่ได้เย็นชาแข็งกร้าวดวงนี้ของนางเองก็ทนการทรมานอีกครั้งไม่ไหวเช่นกัน
อย่าทำลายความสงบนี้เลย ได้หรือไม่
หากว่าให้นางเอาแต่ใจต่อไป…เฮ้อ บางครั้งเวลานางร้ายขึ้นมาแม้แต่นางยังกลัวตัวเองเลย ช่างน่ารังเกียจนัก อย่างเช่นตอนนี้ เขานี่ช่างเป็นคนมีตาหามีแววไม่จริงๆ กลับยังจะมาชอบนางอีกเป็นครั้งที่สาม
กลับเขาจงซานเถอะ! แล้วกางม่านพลังอีกครั้ง ผ่านไปหนึ่งหมื่นปี หนึ่งแสนปีก็แค่เวลาชั่วพริบตาเท่านั้น นางไม่ใช่องค์หญิงน้อยที่รู้สึกว่าการหลับใหลพันปีคือวันเวลาที่ยาวนานอีกแล้ว
เท้าเหยียบไปบนอากาศ นางเหยียบไปบนแอ่งน้ำเล็กๆ จนทำให้ร่างของนางกว่าครึ่งเต็มไปด้วยน้ำโคลน เสวียนอี่หยุดลงหอบหายใจ แล้วปัดกระโปรงที่เปียกชื้นอย่างไม่ชอบใจ พลางเหลียวมองรอบด้านไปด้วย ตำหนักอวี้หวากว้างจนน่าตายนัก อีกทั้งจวนของเทพยังมีข้อจำกัดไม่อนุญาตให้ใช้วิชาขี่ลมอีก นาง…รู้สึกราวกับไม่รู้จะวิ่งไปไหนดีแล้ว
น่าขายหน้าจริงๆ หลงทางเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเลย
ข้างทางมีกระถางดอกไม้หินสีขาววางไว้หนึ่งกระถาง เท้านางเจ็บมาก จึงนั่งพักลงบนนั้น อย่างไรเสียทุกคนต่างก็ใช้เท้าทั้งสองเดิน ขนาดตัวนางเองยังไม่รู้เลยว่านางวิ่งมาที่ไหนแล้ว ฝูชางเองก็ต้องไม่รู้เหมือนกัน
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ดินโคลนที่เท้าของนางถูกชำระเสียสะอาด เสวียนอี่พักอยู่นาน หางตาพลันมองเห็นชุดสีขาวชุดหนึ่งจากที่ไกลๆ นางผุดลุกขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ใครจะรู้ว่าชุดขาวที่ผ่านตานั้นกลับเป็นเพียงเทพธิดาที่ผ่านมาคนหนึ่งเท่านั้น
ตัวนางเองยังรู้สึกว่าน่าขัน นางท่องคาถาสร้างม่านพลังขึ้น ดีดนิ้วไปที่เสื้อผ้า น้ำฝนที่เปียกอยู่บนเสื้อก็ถูกดีดออกไปทันที ร่างทั้งร่างพลันรู้สึกสบายขึ้นมา
โง่จริง เทพธิดาเปียกฝนต้องไปเปลี่ยนชุดที่ไหนกัน เฮ้อ
เมื่อสวมรองเท้าที่สร้างจากหิมะ เสวียนอี่ก็มองไปรอบด้านอีกครั้ง เมื่อรู้ทิศทางของประตูหลังแน่ชัดแล้ว จึงหมุนตัวแล้วเดินกะเผลกไปบนระเบียงคดช้าๆ ยังไม่ทันจะเดินได้สักกี่ก้าว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของเวทประกาศิตดังมาจากที่ไกลๆ เสียงระฆังดังอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจึงได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงร้องอื้ออึงวุ่นวาย เหล่าเทพภายในเรือนใกล้ๆ ต่างวิ่งกันออกมาด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“มีนักรบบาดเจ็บหนักเข้าขั้นอันตรายถูกส่งกลับมาแดนเทพอีกแล้ว” เหล่าเทพที่เดินผ่านไปมากล่าวกันเสียงเบา “ยังส่งกลับมาดับสูญได้ทันก็ยังดีกว่าดับสูญที่โลกเบื้องล่างนั่น”
เสวียนอี่เดินไปข้างหน้าช้าๆ เงี่ยหูคอยฟังที่พวกเขาพูดคุยกัน
ไม่นาน ก็มีเผ่าเทพอีกหลายคนพุ่งมาแล้วกล่าวเสียงดังว่า “เป็นนักรบของหน่วยปิ่งเฉิน! ส่งเทพขุนนางไปแจ้งข่าวที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผาแล้ว”
หน่วยปิ่งเฉิน? เกาะสวรรค์ราชาบุปผา? เสวียนอี่หยุดฝีเท้าทันที หากนางจำไม่ผิด วันนั้นจื่อซีเคยกล่าวว่า กู่ถิงกับเหยียนสยาน่าจะอยู่ที่หน่วยปิ่งเฉินสินะ
นางสูดหายใจเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ กู่ถิงจะดับสูญแล้ว?
นางนิ่งงันไปด้วยสีหน้าสับสนก่อนจะเดินหน้าต่อ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินมาถึงปลายระเบียงคด พลันกัดฟันแล้วย้อนกลับไปคว้านักรบที่ผ่านมาคนหนึ่งแล้วถามอย่างจริงจังว่า “หน่วยปิ่งเฉินที่ถูกส่งกลับมาคนนั้นอยู่ที่ไหน”
…
เรือนหลังของตำหนักอวี้หวาคือสถานที่ที่มีไอบริสุทธิ์มากที่สุดของแดนเทพ และปลูกต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงไว้เต็มไปหมด ก่อนเกิดหายนะจากทะเลหลีเฮิ่น ที่แห่งนี้มักจะเป็นที่ที่นักรบทั้งหลายใช้ในการหลับใหลหมื่นปีกัน แต่มาวันนี้กลับกลายเป็นสถานที่รักษานักรบที่บาดเจ็บสาหัส เหล่านักรบที่ถูกไอขุ่นมัวเข้าจะไม่สามารถใช้เวทสมานแผลได้ จึงได้แต่รอให้ขจัดไอขุ่นมัวในร่างไปหมดแล้วถึงค่อยรักษาสมานแผล สำหรับเหล่าเทพที่คุ้นชินกับการทนต่อความเจ็บปวดแล้ว ขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าขั้นตอนที่ทรมานมาก
เสวียนอี่คลำทางมาถึงเรือนหลักอย่างยากลำบาก ใต้ต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงมีเหล่านักรบหน่วยปิ่งเฉินยืนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เต็มไปหมด เหยียนสยาที่ไม่ได้เจอมานานเองก็คุกเข่าร้องไห้อยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นเสวียนอี่ นางพลันชะงักไปก่อนจะตรงเข้ามาคว้าแขนนางอย่างไร้ที่พึ่ง กล่าวเสียงสะอื้นว่า “ศิษย์น้องหญิง ศิษย์พี่กู่ถิงบาดเจ็บสาหัสมาก!”
นิสัยองค์หญิงน้อยของจักรพรรดิแดงคนนี้ที่หากไปเจอเรื่องอะไรเข้าก็มักจะลุกลี้ลุกลนยังคงเหมือนเดิม ยังคงเอาแต่ร้องไห้และพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย นักรบหน่วยปิ่งเฉินที่อยู่อีกด้านอธิบายว่า “ไม่รู้เทพกู่ถิงเป็นอะไร ถึงได้ไปกระทบกระทั่งกับรัชทายาทลำดับที่สามขององค์ราชาซุ่ยหู่เข้า ที่หลังเป็นแผลใหญ่มิหนำซ้ำยังถูกไอขุ่นมัวเข้าอีก ยังดีว่าพวกเราไปถึงทันเวลา ถึงได้พาเขากลับมาส่งได้”
กู่ถิงใจกล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เสวียนอี่เดินเข้าไปในเรือนหลักเงียบๆ ฟังอยู่ครู่หนึ่งนางก็แง้มเปิดหหน้าต่างวงเดือนแล้วมองไปด้านใน แต่กลับพบว่าในตำหนัก มหาเทพชิงหยวนและนักรบหน่วยปิ่งเฉินอีกหลายคนกำลังล้อมกู่ถิงที่นอนอยู่บนตั่งนุ่ม เขานอนคว่ำหน้านิ่ง ที่หลังมีเลือดสดๆ ชุ่มไปหมด ไอขุ่นมัวสีดำวนเวียนอยู่ไม่ขาดสาย พลังชีวิตของเขาอ่อนมากแล้ว
ฝูชางค้อมตัวลงหน้าตั่ง กำลังตรวจดูบาดแผลเขาอย่างละเอียด
มหาเทพคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วยปิ่งเฉินคนนั้นถอนหายใจไม่หยุด “บาดแผลนี้…เกรงว่าต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีถึงจะสามารถขจัดไอขุ่นมัวได้หมด ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทนได้ไหม”
เสวียนอี่เองก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถทำตัวไร้น้ำใจได้อย่างแต่ก่อนอีกแล้ว เรื่องที่กู่ถิงอาจจะดับสูญกลับทำให้นางรู้สึกเสียใจ
นางชอบเขามาก ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบน้ำแกงบำรุงของเขา แต่ว่านางไม่อยากให้เขาดับสูญไป
ฝูชางที่อยู่ในตำหนักราวกับรู้สึกถึงอะไรได้ เขาเงยหน้าขึ้น จับจ้องมาที่นางซึ่งหลบอยู่ใต้หน้าต่างวงเดือนได้อย่างแม่นยำ เขาจ้องนางเงียบๆ อยู่นาน แล้วเดินมาตรงหน้าต่าง
“บาดแผลของกู่ถิงหนักมาก อย่ามอง” เขาใช้ร่างบังสายตานางไว้
นางเองก็ไม่อยากจะมองเห็นแผลฉกรรจ์เพียงนั้นเหมือนกัน นางก้มหน้าลงกำแขนเสื้อตัวเองไว้ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่พูดอะไร
“เมื่อครู่ข้ารอเจ้าอยู่หน้าตำหนักอวี้หวา ดูเหมือนเจ้าจะหลงทางแล้วสินะ” เสียงของเขาราบเรียบมาก
ไม่ผิด หลงทางแล้ว จากนั้นด้วยน้ำใจที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของนางก็ทำให้นางกัดฟันพุ่งเข้าไปในตาข่ายอีก เสวียนอี่ได้แต่นิ่งเงียบ
“อยู่ที่นี่แหละ อย่าไป”
เขาหมุนตัวหมายจะกลับเข้าไป เสวียนอี่อดรนทนไม่ไหวกล่าวเสียงแผ่วว่า “ศิษย์พี่กู่ถิงจะ…”
ฝูชางไม่กล่าวอะไร ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรู้ได้ เขาไม่สามารถบอกนางอย่างมั่นใจได้ว่าจะไม่ดับสูญ
เขากลับเข้าไปในตำหนักตรวจดูแผลของกู่ถิงต่อ ปรกติแล้วหน่วยปิ่งเฉินจะทำหน้าที่เก็บกวาดภายหลัง ไม่ใช่นักรบที่เชี่ยวชาญเก่งกาจด้านต่อสู้อะไร อัตราที่จะต้องเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจตรงๆ มีไม่มาก กู่ถิงไปปะทะกับรัชทายาทลำดับที่สามของราชาซุ่ยหู่ได้อย่างไรกันแน่ และตอนเกิดเรื่องยังมีเพียงเหยียนสยาอยู่ข้างกายเขาอีก แต่ว่านางเองก็ตกใจไม่น้อย เอาแต่ร้องไห้ ไม่ว่าใครก็ถามอะไรไม่ได้
มือขวาของกู่ถิงกำแน่นตลอดเวลา มองลอดช่องเข้าไปก็เห็นกลีบดอกไม้สีขาวที่ยับย่นอยู่ในนั้น ฝูชางงัดมือเขาให้แบออก บนฝ่ามือของเขาคือผ้าคาดเอวลายดอกจวินอิ่ง[1]ที่ถูกฉีกขาด หัวคิ้วเขาพลันขมวดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
—
[1]ดอกจวินอิ่ง : หรือดอกลิลลี่แห่งหุบเขา (Lily of the Valley) มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Convallaria majalis ตัวดอกมีขนาดเล็กเป็นรูปทรงเหมือนระฆังเล็กๆ สีขาว เรียงอยู่บนก้านดอก มีกลิ่นหอมหวาน