บทที่ 109 รู้สึกผิดเต็มหัวใจ

บุหลันเคียงรัก

ข่าวกู่ถิงบาดเจ็บหนักแพร่สะพัดออกไปภายในวันเดียว ปรกติแล้วเขามักจะทำเรื่องอะไรด้วยความจริงใจและกระตือรือร้นเสมอ จึงมีมิตรสหายมากมาย เหล่าเทพที่มาเยี่ยมเขามีหลายต่อหลายกลุ่ม เหล่าศิษย์ของตำหนักหมิ่งซิ่งในอดีตเองก็มากันครบ มหาเทพไป๋เจ๋อที่ยุ่งราวกับลูกข่างเองก็หาเวลาว่างมา เทพทั้งหลายเห็นราชาบุปผาร้องไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจต่างก็ได้แต่นิ่งงัน

 

 

นักรบบาดเจ็บดับสูญไปแทบจะกลายเป็นเรื่องปรกติแล้ว ต่อให้รู้สึกสงสารเห็นใจอย่างไร แต่เมื่อได้เห็นมากเข้าจิตใจก็กลายเป็นด้านชา กู่ถิงสามารถทนได้แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่หากทนไม่ได้ ก็ได้แต่พูดว่าเป็นชะตากรรมของเขาแล้ว

 

 

เสวียนอี่พิงหน้าต่างวงเดือนอยู่ด้านนอก ฟังเสียงร้องไห้เบาๆ ของเหยียนสยาในตำหนัก เมื่อราชาบุปผาออกไปหามหาเทพชิงหยวนแล้ว เหยียนสยาก็เข้าไปในห้อง นางร้องไห้มาทั้งวันแล้ว เดิมนางหยุดร้องไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าพอนางเข้าไปในห้องกลับเริ่มสะอื้นขึ้นมาอีก ยิ่งได้เห็นผ้าคาดเอวลายดอกจวินอิ่งที่ถูกฉีกขาด นางยิ่งร้องไห้หนักขึ้น

 

 

ดวงตานางแดงก่ำ ทั้งหน้ามีแต่คราบน้ำตา ผ้าเช็ดหน้าในมือเปียกชุ่มหมดแล้ว ท่าทางของนางไม่ได้ต่างจากยามที่นางลงไปโลกเบื้องล่างตอนนั้นเลย เสวียนอี่อดไม่ได้จึงยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนเข้ามาให้นางทางหน้าต่างวงเดือนแล้วกล่าวเสียงเบา “ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยา อย่าร้องอีกเลย”

 

 

เยียนสยาส่ายหน้าแล้วกล่าวสะอึกสะอื้นเสียงเบาว่า “ข้าทำร้ายศิษย์พี่กู่ถิง…ข้าไม่ดีเอง…”

 

 

คำพูดไม่มีหัวไม่มีหางของนางประหลาดยิ่ง ในสมองของเสวียนอี่คาดเดาไปต่างๆ นานา ทันใดนั้น นางคิดออกแล้ว แต่ไม่เอ่ยออกมาดีกว่า

 

 

หากนางไม่พูด ฝูชางยิ่งไม่มีทางพูด ภายในตำหนักเหลือเพียงเสียงร้องไห้ของเหยียนสยาดังแว่วมาเท่านั้น ร้องอยู่นาน ไม่มีใครเอ่ยปากปลอบใจนาง ในที่สุดนางก็หยุดร้องและกล่าวตะกุกตะกักไปว่า “ศิษย์พี่กู่ถิงเป็นคนลงมือท้าก่อน…พวกเจ้า พวกเจ้าฟังไว้ก็ดี อย่าพูดออกไปเชียว นี่นับเป็นการต่อสู้ส่วนตัวที่ไม่ใช่หน้าที่ หากให้มหาเทพรู้เข้า จะต้องลงโทษเขาแน่!”

 

 

กู่ถิงเป็นคนท้าทายก่อน? เสวียนอี่หันไปมองเทพที่ชุ่มไปด้วยเลือดบนตั่งนุ่มอย่างอดไม่อยู่ ไม่ได้เจอเขามานานสองหมื่นกว่าปี นิสัยของเขาเปลี่ยนไปแล้วหรือ

 

 

ฝูชางวางผ้าคาดเอานั่นกลับไปที่ข้างมือของกู่ถิง จู่ๆ ถามว่า “…เพราะฟูหลัว?”

 

 

เหยียนสยากระทืบเท้าอย่างร้อนรน ถอนหายใจอยู่นานจึงกล่าวว่า “เจ้า…เจ้ารู้แล้วหรือ เฮ้อ! หลายปีมานี้ศิษย์พี่กู่ถิงยังคงแอบติดต่อกับศิษย์พี่หญิงฟูหลัวอยู่ตลอด…ตัวเขาไม่พูด ข้าเองก็ไม่ได้ถาม…ครั้งนี้ศิษย์พี่กู่ถิงเห็นศิษย์พี่หญิงฟูหลัวกับรัชทายาทอันดับสามของราชาซุ่ยหู่อยู่ด้วยกัน…อย่างสนิทสนม เขาจึงโมโหและลงมือก่อน เขา เขาเป็นคู่มือของรัชทายาทอันดับสามที่ไหน! ศิษย์พี่หญิงฟูหลัว…นางหนีไปก่อนแล้ว!”

 

 

กู่ถิงมักจะใส่ใจและคอยเอาแต่พูดเรื่องราวของสหายอยู่ตลอด แต่กับเรื่องของตัวเองเขากลับปิดเงียบไว้อย่างนี้ แม้แต่ฝูชางเองก็ยังไม่รู้เรื่องที่เขาลอบติดต่อลับหลังกับฟูหลัวแน่ชัดเลย ฟูหลัวถือกำเนิดที่เขาถูเซียง ซึ่งที่นั่นมีลักษณะพิเศษอยู่ก็คือถือสตรีเป็นใหญ่ ต่อให้เล่นกับเทพบุตรนับสิบก็ยังไม่ถือสาอะไร คิดว่าเพราะกู่ถิงถอนหมั้นทำให้ในใจนางไม่อยากยอมรับ จึงคิดวิธีขึ้นมาและติดต่อกับเขาจนถึงทุกวันนี้

 

 

เสวียนอี่นิ่งงันไปแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวไปยุ่งเกี่ยวกระทั่งกับเผ่ามาร?”

 

 

ศิษย์พี่หญิงคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ตอนนั้นนางทำให้กู่ถิงกับเหยียนสยาหัวหมุน คิดไม่ถึงเลยว่ายังสามารถปั่นหัวพวกเขาได้ถึงขนาดนี้ แม้แต่เผ่ามารก็ยังไม่เว้น

 

 

เหยียนสยากล่าวเสียงเบา “ข้าไม่สนใจหรอกว่าศิษย์พี่หญิงฟูหลัวจะคิดเช่นไร…แต่ว่าศิษย์พี่กู่ถิง…เขาน่าสงสารเกินไปแล้ว…ตอนนั้นเป็นข้าเองที่ไม่ดี…”

 

 

นางเริ่มก้มหน้าน้ำตาตกเงียบๆ

 

 

ตอนนั้นหากว่านางไม่ขาดสติไปเปิดโปงความสัมพันธ์ของฟูหลัวกับเซ่าอี๋ กู่ถิงก็คงไม่ถึงกับต้องเสียหน้าจนเลือกถอนหมั้นอย่างนั้น บางทีหากเวลาผ่านไปนาน เขาอาจจะรู้ความจริงของฟูหลัวเอง และก็อาจจะถอดใจไปเอง หรือบางทีเขาอาจจะไม่รู้เลยก็เป็นได้ และมีความสุขต่อไป ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทำให้เขาต้องถูกบีบจนละทิ้งงานแต่งที่รอคอยมานานอย่างนั้น จนกลายเป็นเงื่อนตายในยามนี้

 

 

นางรู้สึกผิดกับกู่ถิงเต็มหัวใจ

 

 

กู่ถิงที่นอนอยู่บนตั่งนุ่มพลันขยับตัวน้อยๆ นิ้วของเขาเหมือนควานหาอะไรบางอย่าง จนกระทั่งคลำเจอผ้าคาดเอวดอกจวินอิ่งข้างมือ เขากำมันไว้แน่นแล้วถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง

 

 

เหยียนสยาประคองมือที่เต็มไปด้วยเลือดของเขาเอาไว้อย่างอดไม่อยู่ น้ำตาหยดลงไปบนนั้น “ขอโทษด้วย ศิษย์พี่กู่ถิง…ขอโทษด้วย…”

 

 

เสวียนอี่ไม่ชอบฟังเสียงร้องไห้ของนาง จึงลุกขึ้นหมุนตัวจากไป เสียงเข้มของฝูชางดังมาจากข้างหน้าต่างวงเดือนว่า “ไปไหน”

 

 

นางกำแขนเสื้อแล้วคลายออก “…เรือนไป๋จย่า”

 

 

เขา “อืม” ออกมา “กู่ถิงบาดเจ็บครั้งนี้ รัชทายาทฉางฉินกับราชาบุปผาคงไม่ยอมปล่อยผ่านแน่ เกรงว่าหลายวันนี้คงปรึกษากันเรื่องฆ่าราชาซุ่ยหู่กันแน่ ข้ายังไม่มีเวลาว่างไปสอนกระบี่เจ้า เจ้า…รีบพักผ่อนหน่อยเถอะ”

 

 

เสวียนอี่เดินจากไปเงียบๆ ความวู่วาม ความโศกเศร้าและความโมโหที่จะกลับเขาจงซานตอนนี้แทบไม่มีเหลือแล้ว แผลขนาดใหญ่ที่หลังของกู่ถิงนั่น จริงๆ แล้วนางมองเห็นชัดมาก โลกเบื้องล่างกลับน่ากลัวถึงขนาดนี้ ฝูชางเป็นนักรบที่นั่นมาตั้งหลายปี

 

 

จะเริ่มตั้งใจเรียนต่อสู้ดีหรือไม่ ปัญหานี้ นางต้องคิดให้ดีเสียแล้ว

 

 

ฝนฤดูใบไม้ร่วงยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ภายในเรือนไป๋จย่าว่างเปล่า เทพีรับใช้ก็ไม่รู้ว่าไปเล่นที่ไหน กระทั่งโคมไฟยังไม่จุด เทพีรับใช้นี่ต้องอบรมสักหน่อยแล้วจริงๆ แต่ว่านางเองก็คร้านจะอบรม อย่างไรเสียก็ไม่ใช่บ้านนาง

 

 

เสวียนอี่จุดไฟแล้วเอาหนังสือออกมาอ่าน ทันใดนั้นฝ่ามือขวาพลันรู้สึกราวกับถูกคมมีดกรีด เจ็บปวดมาก นางรีบแบมือออกดู แต่ทว่าบนนั้นกลับไม่มีแม้แต่บาดแผล

 

 

อาการเจ็บยังคงอยู่ นางพลิกฝ่ามือไปมาตรวจดูแล้วขมวดคิ้วขึ้นมา นับตั้งแต่เกล็ดมังกรของนางขึ้นเต็มแล้ว อาการเจ็บราวกับถูกอะไรกรีดก็ไม่มีอีก แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

 

 

กู่ถิงนอนอยู่บนตั่งนุ่มสามวัน พลังชีวิตยังคงอ่อนมาก ราวกับสามารถขาดลงได้ทุกเมื่อ แต่ว่าเขาก็ยังสามารถฝืนทนมาได้

 

 

เหยียนสยาแทบจะเฝ้าอยู่ในตำหนักตลอดสิบสองชั่วยาม ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ ประเดี๋ยวก็เช็ดหน้าเช็ดมือให้เขา ภาพอย่างนี้กระทั่งไท่เหยาที่มาเป็นบางโอกาสยังรู้สึกผิดปกติ ทนไม่ไหวแอบถามเสวียนอี่ว่า “ศิษย์น้องเหยียนสยาเป็นอะไรหรือ”

 

 

เสวียนอี่สั่นศีรษะอย่างไม่รู้เรื่องราว ดูแล้วเหือนเหยียนสยาจะตัดสินใจแล้วว่าจะหาเรื่องฟูหลัวให้ถึงที่สุด ตอนอยู่ที่ตำหนักหมิงซิ่งพวกนางทั้งสองแย่งเซ่าอี๋กัน พอมาเป็นนักรบยังมาชิงกู่ถิงกันอีก ช่างเป็นองค์หญิงน้อยที่รันทดเสียจริง

 

 

ไท่เหยาหันกลับไปมองกู่ถิงที่นอนอยู่บนตั่งนุ่มแล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมจื่อซีถึงได้ไม่มา ช่วงนี้หน่วยซินโหย่วน่าจะไม่ได้ลงไปโลกเบื้องล่างนี่”

 

 

แต่ก่อนนางกับกู่ถิงสนิทกันที่สุด กู่ถิงบาดเจ็บหนัก อาจารย์ยังมา แล้วนางจะไม่มาได้หรือ

 

 

“ศิษย์พี่หญิงจื่อซียื่นเรื่องย้ายไปที่หน่วยอู้เฉินแล้ว อาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้”

 

 

หน่วยอู้เฉิน? นั่นเป็นหน่วยที่ที่ลำบากมากที่สุด เกรงว่าหากทะเลหลีเฮิ่นยังไม่ฟื้นฟูกลับมา ก็คงกลับมาโลกเบื้องบนนี้ไม่ได้แน่ นางยื่นเรื่องขอไปเองหรือ ไท่เหยานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขามักคิดอะไรได้ปรุโปร่ง พลันคิดออกได้ทันทีว่า หากเขาจำไม่ผิด เซ่าอี๋น่าจะอยู่ที่หน่วยอู้เฉิน? นับตั้งแต่ที่เขาลาออกไป จื่อซีมีท่าทีเป็นทุกข์อยู่ตลอด เขาคิดว่าเป็นเพราะเสวียนอี่ไม่อยู่ ที่แท้…

 

 

เขาส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้

 

 

ใกล้ยามอู่ ไท่เหยาก็รีบกลับไปตำหนักเหวินหวา ก่อนกลับพบว่าเสวียนอี่ยังคงสวมชุดกระโปรงยาว และใส่รองเท้าไม้ ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหญิง ถึงจะจัดการให้ศิษย์น้องฝูชางเป็นคนมาฝึกกระบี่ให้เจ้า แต่ก็อย่าขี้เกียจไป เขายอมตามใจเจ้าอย่างนี้ไม่ดีนัก”

 

 

ทั้งๆ ที่ถ้านางไม่ฝึกกระบี่เขาก็ไม่ให้กินข้าวแท้ๆ ไฉนถึงได้กลายเป็นตามใจนางไปเสียได้ ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขาก็ยังยุ่งกับเรื่องของตัวเองอยู่ด้วย ทำไมกลายเป็นว่านางเกียจคร้านอีกแล้วเล่า

 

 

ชื่อเสียงของตระกูลหวาซวีดีเกินไป เขาทำอะไรทุกคนก็คิดแต่ว่ามีเหตุผลสมควรแล้ว ทำไมโลกมันถึงได้ไร้เหตุผลเยี่ยงนี้

 

 

เสวียนอี่ลูบตามต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงกลับไปที่เรือนไป๋จย่า เวลานี้คือปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว ใบไม้สีทองและเขียวสลับตัดกันกลับเผยให้เห็นสีเข้มฉูดฉาดสดใสขึ้นเรื่อยๆ ไอบริสุทธิ์มหาศาลราวกับหมอกหนาทึบที่มิได้สลายไป

 

 

วันนี้มือข้างขวาของนางไม่ได้เจ็บอย่างนั้นแล้ว สองวันก่อนเรียกได้ว่าทรมานมาก ครั้งที่แล้วถูกปีศาจปลาดุกทำร้ายเข้าที่ขาขวายังไม่เจ็บถึงขนาดนี้ มันรู้สึกราวกับเอาเกลือโรยลงไปบนบาดแผลแล้วฉีกมันตลอดเวลา ตอนกลางคืนก็หลับได้ไม่ค่อยดีนัก

 

 

ความเจ็บปวดแปลกประหลาดนี้ ต้นเหตุมาจากที่ไหน คิดว่าคงมีอยู่คนเดียว

 

 

ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบายปะทะเข้ากับใบหน้า ใบไม้เขียวสลับทองก็ร่วงลงมาราวกับห่าฝน เสวียนอี่ปรายตามองไปเรื่อย พลันเห็นเทพในชุดคลุมยาวสีเขียวอ่อนกำลังพิงอยู่ใต้ต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิง อัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากงดงามบาดตา นางสูดลมหายใจเข้าทันที บังเอิญแท้ กำลังคิดอยู่ตัวต้นเหตุก็มาพอดี ไฉนโลกนี้ถึงมีเรื่องบังเอิญอย่างนี้ได้ นางไม่เคยเชื่อมาก่อนเลย

 

 

เขากอดอกไม่รู้เหม่ออะไร กระทั่งนางเดินเข้าไปใกล้ก็ยังไม่รู้สึกตัว หาได้ยากนัก

 

 

รองเท้าไม้เหยียบไปบนใบอู๋ถงพฤกษาเพลิงจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบชัดเจน เซ่าอี๋ได้สติทันที ดวงตาเรียวดุจหงส์จ้องมาที่ดวงตาราบเรียบของเสวียนอี่ เขาหรี่ตาลงชั่วครู่ จากนั้นจึงยิ้มออกมาน้อยๆ

 

 

“ปลาดุกอุยน้อย เจ้าโตแล้ว”