เสวียนอี่เอียงคอมองพิจารณาเขาตั้งแต่บนจรดล่าง เขาไม่กล่าวอะไร เพียงยิ้มแล้วมองสบตานางเท่านั้น เห็นนางจงใจมองมือขวาของเขาหลายครั้งเข้า รอยยิ้มเขาก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
“หลายปีมานี้ศิษย์พี่เซ่าอี๋สบายดีหรือไม่” นางกะพริบตาปริบ “เผ่ามารที่โลกเบื้องล่างทำอะไรตามอำเภอใจ ศิษย์พี่ต้องระวังให้มาก อย่าบาดเจ็บเด็ดขาด”
เซ่าอี๋กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “เดิมข้าก็ยังดีอยู่ แต่พอมาถูกปลาดุกอุยน้อยอย่างเจ้าพูดตามมารยาทเช่นนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้ว”
เขามองชุดหรูหรางดงามบนร่างเสวียนอี่อย่างใจไม่อยู่กับตัวแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่ามาเรียนวิชาต่อสู้วิชากระบี่บำเพ็ญตบะหรือ ทำไมยังแต่งตัวอย่างนี้อีก ชุดนักรบของเจ้าเล่า”
เสวียนอี่ลูบแขนเสื้อ “ก็ข้าชอบใส่ชุดอย่างนี้”
เซ่าอี๋หัวเราะออกมา ยกแขนไปปัดใบไม้บนบ่า “ไม่รู้นักรบคนไหนยอมตามใจเจ้า มา ให้ข้าดูหน่อยว่าหลายปีมานี้เจ้าบำเพ็ญตบะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เขาลงมือเร็วปานสายฟ้าแลบ จับบ่านางทันใด เสวียนอี่หดตัวทันทีโดยไม่รู้ตัว แต่กลับได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ “ปฏิกิริยาช้าเกินไปแล้ว”
นางรู้สึกมีแรงมหาศาลสายหนึ่งที่นางต่อต้านไม่ได้กำลังลากนางไป นางยืนไม่มั่นคงศีรษะกระแทกกับแผงอกของเขา ทั้งยังถูกวงแขนแกร่งราวกับคีมเหล็กรัดไว้แน่นอีก ราวกับฟ้าดินพลิกกลับ หลังของนางกระแทกกับต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงอย่างแรง พริบตาเดียวใบไม้ก็ร่วงกราวลงมา คางของนางถูกเชยขึ้นสูง เซ่าอี๋มองมาที่นางด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“นี่เรียกว่าบำเพ็ญตบะฝึกวิชาต่อสู้ฝึกกระบี่อะไรกัน ไม่ได้มีฝีมือเลยแม้แต่น้อย” เขายิ้มแล้วจับคางนางเขย่าไปมา “ตอนนี้ได้ลิ้มรสชาติที่แต่ก่อนเจ้ารังแกข้าแล้วหรือยัง”
เสวียนอี่ดิ้นรน แขนที่กระหวัดรัดเอวนางของเขายิ่งกระชับแน่นขึ้น ร่างทั้งร่างกดทับมาที่นาง มันหนักมากราวกับเขาไท่ซานมิปาน
เซ่าอี๋กล่าวเสียงเบา “นักรบที่ยอมตามใจเจ้าผู้นั้นคงจะเป็นฝูชางสินะ เจ้านี่นะ ยังตามพัวพันเขาอีกหรือ”
เสวียนอี่ทำราวกับไม่ได้ยิน นางหดศีรษะไปด้านหลัง สายตามองไปยังมือขวาของเขาที่จับคางนางอยู่ บนผ้าพันแผลนั่นมีเลือดซึมออกมาจางๆ และยังมีไอขุ่นมัวลอยเวียนวนอยู่บนนั้นด้วย
นางรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเขา เขาไม่ได้ตัดสัมพันธ์ขนหัวใจหงส์ นางบาดเจ็บเขาก็จะรับรู้ได้ ในทางตรงกันข้ามก็เช่นเดียวกัน ไม่น่าเขาถึงได้หนักอย่างนี้ นางดิ้นไม่หลุดเลย
เขาพลันออกแรงที่มือ คางของเสวียนอี่แทบจะถูกเขาบีบจนแตกแล้ว หลังศีรษะกดลงแนบติดกับต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิง และถูกบังคับให้เงยหน้ามองไปที่เขา
เซ่าอี๋พิจารณามองหน้าผากอิ่มเอิบงดงามของนางอย่างละเอียด แววตามองไล่ลงไปตามสันจมูกและริมฝีปากอิ่มชุ่มชื่น เฮ้อ ตอนนี้นางหน้าตาดีถึงเพียงนี้ ยังงดงามกว่าฟูหลัวเล็กน้อยอีกด้วย นับดูแล้วความโอหังอวดดีของนางแต่ก่อนก็สมเหตุสมผลดี อารมณ์เสียดายของเขาเริ่มกลับมาอีกครั้ง พร้อมจะก่อปัญหาขึ้นมาอยู่บ้าง
“ปลาดุกอุยน้อย” เสียงของเซ่าอี๋เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ “ท่าทางเช่นนี้ของเจ้าช่างเข้ากับรสนิยมข้านัก เจ้าเคยแลกเปลี่ยนหยินหยางกับฝูชางมาก่อนแล้วหรือยัง หากเคยแล้ว อยากจะลองกับข้าดูสักหน่อยหรือไม่”
เสวียนอี่พลันเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ อ้าปาก”
เขาชะงักไปน้อยๆ “อะ…”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ หิมะจู๋อินที่เยือกเย็นและขมปร่าก็ถูกยัดเข้ามาในปากเขา มันขมเสียจนคิ้วเขาขมวดเป็นปม ผ่านไปนานเขาจึงกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “…เจ้าทำอย่างนี้กับผู้มีพระคุณของเจ้าหรือ”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “สองหมื่นกว่าปีแล้ว ศิษย์พี่เซ่าอี๋ก็ยังใช้แค่วิธีเหล่านี้หรือ หากว่าท่านตัดสัมพันธ์ขนหัวใจหงส์นั่นถึงจะเรียกว่าผู้มีพระคุณ ปล่อยข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะกรีดแผลท่าน”
เซ่าอี๋เลียริมฝีปากขมปร่า เขากลับไม่ได้โมโห หากแต่หัวเราะเบาๆ “ทำไมไม่ใช้เวทสลัดหลุดออกไปเล่า หรือว่าหลายปีมานี้เจ้าก็ยังเอาแต่นอนตื่นสายอีก เจ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ ควะจะหมั่นบำเพ็ญตบะเข้าจะได้แข็งแกร่งขึ้น โอกาสที่จะมีชีวิตต่อไปก็จะมากขึ้นอีกหน่อย”
เซ่าอี๋กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าไม่อยากจะต้องสู้จนทำให้ตัวเองต้องไปนอนบนเตียงอีกครึ่งปี”
เซ่าอี๋ใช้หน้าผากโขกศีรษะนางเบาๆ “เจ้ากับองค์ชายน้อยเหมือนกันเลย ต่างไม่อยากให้ข้าเห็นความสามารถที่แท้จริง”
ทันใดนั้นนางพลันเป่าลมออกไป มีดน้ำแข็งเล็กบางแต่แหลมคมหลายเล่มก็กรีดลงบนแผลบนมือขวาของเขา เซ่าอี๋เจ็บจนร้องสูดปากออกมา เขาปล่อยคางนางแล้วถอยหลังไปหลายชุ่น ขมวดคิ้วมองมาที่นางอย่างจนใจ
เลือดสดๆ ซึมออกมานอกผ้าพันแผลทันที แล้วหยดลงไปบนเสื้อคคลุมยาวสีเขียวหยกของเขา เซ่าอี๋ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าอดทนได้ แต่ว่ามือขวาของเจ้าไม่เจ็บหรือ ข้ายังเจ็บแทนเจ้าเลย”
“เจ็บบ้างก็ทำให้สติแจ่มใสดี”
ปลาดุกอุยน้อยที่อำมหิต กระทั่งกับตัวนางเองยังโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้
มือข้างขวาแทบจะถูกกรีดจนเละแล้ว ในที่สุดเขาก็ปล่อยนางช้าๆ เขาฉีกผ้าพันแผลออกและกลั้นใจดูบาดแผลที่น่าอนาถนั่นพลางส่ายหัว “เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ ”
เสวียนอี่เอามือขวาหดเข้าไปในแขนเสื้อ ความเจ็บปวดทำให้สีหน้านางเข้มขึ้น “ชีวิตข้าอยู่ในกำมือของท่าน ใครน่ากลัวกันแน่ ท่านจงใจบาดเจ็บกลับมาที่แดนเทพ หรือว่าเพื่อมาดูข้าบำเพ็ญตบะ”
เซ่าอี๋เอนกายพิงกับต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงแล้วกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ปลาดุกอุยน้อย เวลามีไม่มากแล้ว เจ้าในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอ ทางที่ดีเจ้าต้องพยายามทุ่มเทสุดชีวิต หากว่าให้ศิษย์น้องฝูชางตามใจเจ้าต่อไปอีก ครั้งหน้าข้าจะมาขัดเกลาเจ้าเอง ข้าไม่ได้พูดง่ายอย่างศิษย์น้องฝูชางหรอกนะ”
เสวียนอี่จ้องเขา “เวลาอะไรไม่มากแล้ว”
เซ่าอี๋มองนางกลับอย่างยั่วเย้า “ข้าชอบกลิ่นอายของต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงมาก ยังไม่อยากจากไปหรอก แต่ว่าข้าไม่อยากจะยืดเยื้อกับเจ้าอย่างนี้ต่ออีกแล้ว หากว่าเจ้ายังไม่ไป ข้าคงได้แต่ต้องคุยเรื่องแลกเปลี่ยนหยินหยางกับเจ้าแล้ว”
เสวียนอี่สูดลมหายใจ นางอยากจะจับเขาแช่แข็งไว้เอาหิมะยัดเข้าปากเขาแล้วเค้นถามจริงๆ แต่ว่าที่นี่คือตำหนักอวี้หวา และเรือนหลักก็ยังมีเทพผ่านไปมามากมาย ไม่เหมาะสมนัก
“ยังไม่ไป?” เซ่าอี๋ถอนหายใจ “มา พวกเรามาคุยเรื่องแลกเปลี่ยนหยินหยางกัน แต่ก่อนข้าชอบถอดชุดของเทพธิดาก่อน แต่หากเป็นเจ้า ข้าจะถอดของข้าก่อน…”
“ข้ากลับอยากจะถลกหนังท่านมากกว่า” เสวียนอี่ตัดบทเขาอย่างเยือกเย็น
เขาอดทนแล้วปรายตามองนางพร้อมกล่าวต่อว่า “แล้วค่อยให้เจ้าคุกเข่าลงตรงหน้าข้า…”
“แล้วค่อยเลาะฟันท่านออกมาทีละซี่ๆ ”
เซ่าอี๋หุบปากทันใด เขาหรี่ตาลงจ้องนาง นางก็มองสบตาเขาอย่างไม่กลัวเกรงและสงบนิ่งเช่นกัน
“ตอนนี้จู่ๆ ข้าก็พบว่า” เขาค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ “เป็นคนป่าเถื่อนก็น่าจะไม่เลวทีเดียว”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ท่านทำข้าตกใจหมดแล้ว ศิษย์พี่เซ่าอี๋”
เซ่าอี๋มองนางอยู่นาน สุดท้ายกลับหัวเราะออกมา กำลังจะกล่าวอะไรกลับได้ยินว่านอกป่าอู๋ถงพฤกษาเพลิงมีเสียงหนึ่งกำลังเรียกเขาอยู่ “ท่านเทพ เตรียมการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เสวียนอี่หันไปดู แล้วพบว่าไม่ไกลมีเทพขุนนางสองคนยืนอยู่ พวกเขาทั้งสองสวมชุดปักลายนกเสวียน[1]สีทองทั้งชุด พวกเขาคือเทพนักรบขุนนางของตระกูลชิงหยาง พวกเขาดูเย็นชายิ่งนัก เห็นนางแล้วยังไม่ทำความเคารพอีก
เซ่าอี๋หมุนตัวกลับไปแล้วกล่าวว่า “ได้ ข้าต้องไปก่อนแล้ว ปลาดุกอุยน้อย หวังว่าลงไปโลกเบื้องล่างครั้งหน้าจะได้เจอเจ้า”
โลกเบื้องล่าง? หมายถึงอะไร
เสวียนอี่มีใจจะถามต่อ แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีความหมาย เขาพานักรบขุนนางมาด้วย เงียบไปนานก็คิดสาเหตุไม่ออกจึงเลิกคิดถึงมัน นางเหยียบใบอู๋ถงเดินออกไปจากป่าอู๋ถงพฤกษาเพลิงช้าๆ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวพลันเห็นว่าด้านนอกมีเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งยืนอยู่นอกเรือน นั่นคือจื่อซี นางรีบเรียกไว้ทันที “ศิษย์พี่หญิง! ท่านมาเยี่ยมศิษย์พี่กู่ถิงหรือ”
จื่อซีพลันหมุนตัวกลับมา ใบหน้าของนางขาวซีด การบาดเจ็บของกู่ถิงกลับส่งผลกับนางขนาดนี้ เสวียนอี่ไม่รู้ควรพูดอะไรออกมา แต่กลับพบว่านางจ้องมาที่ตนก่อน ดวงตานางถึงได้ค่อยๆ อ่อนโยนลง สุดท้ายกลับกลายเป็นหยาดน้ำตาไหลรินลงมามากมาย
เสวียนอี่ไม่เคยรู้ว่าจะต้องปลอบโยนเทพธิดาที่ร้องไห้เช่นไร นางยืนอยู่นานกลับทำได้เพียงยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนให้เท่านั้น
จื่อซีไม่ได้รับมา นางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะไปดูศิษย์น้องกู่ถิงสักหน่อย”
ถึงเสวียนอี่จะเพิ่งออกมาจากเรือนหลัก แต่คราวนี้จื่อซีมาด้วย ครั้นเห็นนางมีท่าทีราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง นางก็เข้าไปกอดแขนนางไว้แล้วกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
จื่อซีแข็งค้างไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า นางเดินเข้าไปในเรือนหลักพร้อมกันกับนางเงียบๆ ทันใดนั้นก็กล่าวออกมาเสียงเบาว่า “เสวียนอี่ เจ้า…ตอนนี้เจ้าไม่ใช่เด็กอีกแล้ว…เจ้าควรจะ…”
“อะไรหรือ” เสวียนอี่ฟังไม่ชัด
“ไม่ ไม่มีอะไร” จื่อซีส่ายหัวแล้วก้าวเข้าไปในตำหนัก
…
[1]นกเสวียน : นกวิเศษในตำนานจีนโบราณ รูปลักษณ์คล้ายกับนกนางแอ่น