ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 358 กลับขาวพิสุทธิ์อีกครั้ง

จอมศาสตราพลิกดารา

“ทั้งโลกล้วนเป็นศัตรู” อวี๋ฮว่าหลงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ทั้งโลกล้วนเป็นศัตรู?

จะพูดโม้ใหญ่โตไปหน่อยแล้วกระมัง

ดาวโลกเล็กๆ ใบเดียว พื้นที่ทั้งใบยังสู้แผ่นดินใหญ่เสินโจวไม่ได้ พลังวิญญาณแห้งขอด แผ่นดินถูกมนุษย์ขูดรีดไปจนจะหมด ทะเลก็แย่เหลือจะทน สิ่งมีชีวิตบนดาวโลกไม่รู้สูญพันธุ์ไปเท่าไรแล้ว มีสงครามแก่งแย่งต่างๆ แล้วยังมีการฆ่าสังหารทางศาสนา ผู้คนบนดาวโลกแทบจะเลี้ยงตัวเองไม่รอดแล้ว น่ากลัวว่าอีกไม่นานนักมนุษย์จะจบเห่ลงด้วยน้ำมือตนเอง ขั้วอำนาจนอกทางช้างเผือกเหล่านั้นคุ้มค่าที่จะมารังควาญชาวโลกหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้น ซินแสเฒ่ายังเคยบอกว่าโลกมนุษย์กำลังจะถูกทำลาย

ดาวดวงหนึ่งที่กำลังจะถูกทำลายทิ้งโดยไม่รู้เรื่องราว หลี่มู่มองไม่ออกเลยว่าจุดไหนคุ้มค่าให้ทั้งทางช้างเผือกดาราสมุทรต้องมาไล่ล่าเช่นนี้

หลี่มู่ต้องมาสู้สุดชีวิตเช่นนี้ ก็เป็นเพราะต้องการจะปกป้องคนที่ตนรักบนดาวโลกเท่านั้น

ความรู้สึกที่เขามีต่อโลก หลักๆ แล้วเพราะว่าเขาเป็นคนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนนั้น

“อีกหน่อย เจ้าจะเข้าใจเอง” อวี๋ฮว่าหลงเอ่ย “ดาวโลกไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เห็นภายนอก ยามที่พลังวิญญาณของมันเริ่มฟื้นฟู จะเปลี่ยนเป็นศูนย์กลางของทั้งทางช้างเผือก ปาฏิหาริย์และแดนเซียนที่แท้จริงจะปรากฏขึ้นบนดาวโลก ในทางช้างเผือกผืนนี้ ผู้เหี้ยมหาญเก่งกล้าสามารถนับไม่ถ้วนคิดจะไปเยือนดาวโลกกันทั้งสิ้น แต่กลับไม่สามารถผ่านค่ายกลสังหารของเขตสุสานดวงดาวได้…เอาละ ตอนนี่สิ่งที่ข้าควรพูดก็พูดจนหมดแล้ว เจ้ามีอะไรอยากพูดบ้างหรือไม่?”

หลี่มู่ยกแก้วสุราขึ้น ดื่มจนหมดรวดเดียว หัวเราะร่าตอบกลับว่า “ข้าไม่มีอะไรจะพูด”

อวี๋ฮว่าหลงจนคำพูด

คุยกันดีๆ มันจะตายหรือไรกัน?

“ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยเหลือราชวงศ์ต้าเยวี่ยได้” อวี๋ฮว่าหลงเอ่ย “เจ้าก็เป็นคนที่มาจากดาวโลก ในร่างของเรามีสายเลือดเหมือนกันไหลเวียนอยู่ ราชวงศ์ต้าเยวี่ยเป็นบ้านเกิดร่วมกันของพวกเรา”

หลี่มู่ไม่พูดอะไร แต่ในใจแอบคิด ‘นี่มันมากกว่าสายเลือดเหมือนกันไหลเวียนอยู่นะ เจ้าเป็นคนราชวงศ์ถัง ไม่แน่ว่าเจ้าอาจเป็นบรรพบุรุษของข้าก็ได้’

“ราชวงศ์ที่ล่มสลาย ถูกกลบฝังอยู่ในฝุ่นธุลีกว่าพันปี กลายเป็นอดีตไปแล้ว ทำไมต้องไปคิดถึงมันอีกเล่า?” หลี่มู่กล่าว “แผ่นดินใหญ่เสินโจวในตอนนี้วุ่นวายมากพอแล้ว ประชาชนใช้ชีวิตกันไม่ได้ ไฟสงครามคุกรุ่น ทำไมไม่แยกตนออกไปฝึกยุทธ์เพียงลำพัง ด้วยปัญญาและพรสวรรค์ของเจ้า ถึงขั้นครึ่งเทวะก่อนอายุสามสิบปี อาจจะไปถึงขั้นทะลวงสวรรค์ก็เป็นไปได้ แค่ก้าวออกจากฟ้าดินผืนนี้ไป เจ้าก็สามารถเข้าสู่วิถีเซียนตามอาจารย์หลี่ไท่ไป๋ได้แล้ว”

ในเนื้อแท้ของหลี่มู่ ไม่สนใจการแย่งชิงบัลลังก์ของราชวงศ์เช่นนี้เลย

เขามาจากชนบทเล็กๆ บนดาวโลก ใช้ชีวิตสงบเรียบง่าย เพียงแค่อยากจะปกป้องคนข้างกายเท่านั้น

อวี๋ฮว่าหลงมองหลี่มู่ ราวกับยากที่จะเชื่อว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของหลี่มู่จริงๆ

“เจ้ารู้ไหมว่าราชวงศ์ต้าเยวี่ยมีความหมายอย่างไรต่อโลก?” เขาจ้องมองหลี่มู่ สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเห็น

หลี่มู่ไม่พูดอะไร

อวี๋ฮว่าหลงเสริมต่อ “ที่นี่เป็นพิกัดหนึ่ง เป็นฐานที่มั่นสำคัญบนวิถีเซียนที่ปรัชญาเมธีเบิกทางเอาไว้ ขอแค่ราชวงศ์ต้าเยวี่ยยังอยู่ เหล่าคนยอดเยี่ยมและผู้มีพรสวรรค์บนโลกก็ยังมีหวังที่จะออกมาจากสุสานดาราเหมือนกับปรัชญาเมธีเหล่านั้น เพื่อค้นหาหนทางแห่งการกอบกู้ แต่เมื่อราชวงศ์ต้าเยวี่ยไม่มีแล้ว นั่นหมายถึงวิถีเซียนที่ปรัชญาเมธีบุกเบิกไว้ขาดลง ความหวังของโลกก็ขาดห้วงตามไปด้วย ชีวิตข้าถึงแม้จะไม่อาจเป็นเหมือนปรัชญาเมธีเหล่านั้น เบิกเส้นทางแห่งความปลอดภัยขึ้นมาสายหนึ่งได้ในสภาพอับจนที่ทั้งจักรวาลเวิ้งว้างคือศัตรู แต่อย่างน้อยก็ควรจะปกป้องฐานที่มั่นนี้ไว้แทนเหล่าปราชญ์โดยไม่เสียดายชีวิตไม่ใช่หรือ?”

หลี่มู่มองออก ขณะที่อวี๋ฮว่าหลงพูดเรื่องนี้ สีหน้าเด็ดเดี่ยวและน่านับถือของเขาไม่ใช่การแสดงหรือว่าเสแสร้งแต่อย่างใด

เขาอดยอมรับไม่ได้ คนอย่างอวี๋ฮว่าหลงเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นเลื่อมใส

คนอย่างพวกเขาล้วนเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์และความศรัทธา ซ้ำยังเป็นคนเลือดร้อนที่ยอมแลกทุกสิ่งอย่างไม่เสียดาย

แต่ทั้งหมดนี้ สำหรับนักเรียนที่เพิ่งจะจบชั้นมัธยมต้นอย่างหลี่มู่แล้วยังคงเป็นเรื่องที่กะทันหันและไกลตัวอยู่มาก

“เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไรหลังจากได้รับพื้นที่ชายแดนฉินตะวันตกผืนเล็กนี้แล้ว ข้าจึงจะชักธงของต้าเยวี่ยขึ้น? ทั้งที่เดิมทีข้าสามารถหลบซ่อนอยู่ใต้ดินได้…นั่นเพราะข้าต้องการให้แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ ให้พวกกบฏเหล่านั้น และเหล่าเทพปีศาจที่คอยจับจ้องแผ่นดินผืนนี้จากเหนือฟ้า ได้รู้ว่าปรัชญาเมธียังไม่ดับสูญ ต้าเยวี่ยยังคงอยู่” ขณะที่อวี๋ฮว่าหลงพูดถึงจุดนี้ก็เกิดฮึกเหิมขึ้นมา

ปรัชญาเมธีไม่ดับสูญ ต้าเยวี่ยยังคงอยู่!

อักษรพวกนี้ทำให้ความเร่าร้อนของหลี่มู่ปะทุขึ้นเป็นระลอก

เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ขอโทษด้วย ข้ายังต้องการเวลาไปขบคิดให้ดีเสียก่อน”

จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไปด้านนอกเรือน

หลี่มู่ไม่อาจให้คำตอบแน่นอนกับรัชทายาทต้าเยวี่ยได้ในทันที

เรื่องนี้ เขาจำเป็นต้องค่อยๆ ขบคิดให้ดี

อวี๋ฮว่าหลงมองหลี่มู่ ในดวงตาปรากฏแววไม่เข้าใจ

เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกหรือ?

“อาจารย์ของเจ้าคือใคร?” อวี๋ฮว่าหลงถามขึ้น “เขาน่าจะก้าวสู่วิถีเซียนแล้วเช่นกัน ถึงมายังที่นี่ได้ ข้าไปพบเขาสักครั้งได้หรือไม่?”

“ตอนที่มามีเพียงข้าคนเดียว ไม่มีอาจารย์อะไรนั่นหรอก” หลี่มู่โบกไม้โบกมือโดยไม่หันหน้ากลับมา

อวี๋ฮว่าหลงทนไม่ไหวลุกขึ้นยืน ถามเสียงดังว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าราชวงศ์หมิงสร้างขึ้นหลังจากที่ต้าถังล่มสลายไปใช่ไหม?”

เขาเป็นคนต้าถัง ครั้งนั้นติดตามหลี่ไป๋ก้าวเข้าสู่วิถีเซียน แต่ความคะนึงถึงบ้านเกิดยากจะตัดได้

ราชวงศ์ถังเป็นยุคที่ความรู้ความสามารถรุ่งเรืองที่สุด คนถังทุกคนมีความภาคภูมิใจของตนเอง

ทว่าต่อให้ราชวงศ์จะรุ่งเรืองสักเพียงไหน ก็หลีกเลี่ยงวันแห่งการล่มสลายไม่พ้น ใจของอวี๋ฮว่าหลงซับซ้อน

“ราชวงศ์ถังซ่งหยวนหมิงชิงล้วนมีการแบ่งช่วงทางประวัติศาสตร์ ข้ามาจากดาวโลกยุคปัจจุบัน แผ่นดินต้าถังในวันวานตอนนี้มีชื่อว่าจงกั๋ว (ประเทศจีน)” ขณะที่หลี่มู่ออกจากเรือน เขาหยุดฝีเท้าลงหน้าประตูลานบ้าน ส่งเสียงดังเข้ามา “ข้าไม่สนการช่วงชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ แต่วันหลังหากต้องการคนช่วยทะเลาะเบาะแว้ง สามารถมาหาข้าที่เขาขาวพิสุทธิ์ได้ ไม่ต้องใช้สิ่งแสดงตัวใดๆ เพียงส่งกวีบทหนึ่งของอาจารย์เจ้ามาก็พอ ไม่ว่าจะที่ไหนเวลาใดก็ตาม”

อวี๋ฮว่าหลงตะลึงงัน

นานพอดู เขาถึงนั่งลง ถอนหายใจยาวออกมา

ราชวงศ์ถังซ่งหยวนหมิงชิงหรือ หลังจากต้าถังยังต้องผ่านราชวงศ์อีกมากมาย หนำซ้ำยังกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว

แผ่นดินถังในอดีต ตอนนี้มีชื่อว่าจงกั๋ว?

จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดชั่ววูบกะทันหัน อยากจะกลับไปในวันนี้ตอนนี้ ไปดูบ้านเกิดเมืองนอนในวันวานว่าดินแดนนั้นยังทรงอำนาจเช่นเดิมหรือไม่?

เห็นแผ่นหลังของหลี่หมู่หายไป อวี๋ฮว่าหลงถอนหายใจยาว

การเฝ้ารอนานครึ่งปี ในที่สุดก็ได้ไท่ไป๋อ๋องแห่งฉินตะวันตกผู้นี้มา

แรกสุด ตอนที่กวีเหล่านั้นถูกเล่าส่งต่อมากันมา เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าหลี่มู่คนนี้จะต้องมาจากดาวโลกอย่างแน่นอน และยังสั่งคนให้ลอบสืบประวัติของหลี่มู่ แต่กลับพบว่าคนผู้นี้เป็นบุตรชายเจ้าเมืองฉางอันแห่งฉินตะวันตก ‘เซียนกระบี่ธุลีแดง’ หลี่กัง จึงรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังไม่รีบร้อนอยากพบหลี่มู่ จนต่อมา หลี่มู่ไปถึงขั้นปฐมเทวะสำเร็จ กำราบ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ลงได้ ทำให้เขามีความคิดที่อยากจะพบสักครั้ง

การพบกันในวันนี้ สำหรับอวี๋ฮว่าหลงแล้วมีทั้งได้และเสีย

การแสดงออกของหลี่มู่ จากที่เขาเห็นดูเลือดเย็นจนน่าผิดหวัง

แต่ประโยคท้ายสุดกลับแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว

คำสัญญาของปฐมเทวะคนหนึ่ง คุณค่ามากมายเหลือคณา

นี่น่าจะถือเป็นการแสดงท่าทีอย่างง่ายๆ ยินยอมยืนอยู่บนแนวรบเดียวกับต้าเยวี่ยแล้วกระมัง?

……

ขณะที่หลี่มู่เดินออกมาจากเขตเรือน เหล่าผู้บังคับบัญชา คนระดับสูง รวมไปถึงขุนนางในด่านเมืองมังกรมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูในตรอกแล้ว

เมื่อ ‘แปดกรพิพากษา’ จงเหว่ยเห็นหลี่มู่จึงรีบร้อนเข้ามาทำคารวะ เอ่ยขึ้นว่า “เหล่าขุนนางรอพบท่านอ๋องอยู่ขอรับ”

กลุ่มคนเข้ามาก้มศีรษะคารวะอย่างเนืองแน่น

หลี่มู่พยักหน้า “ไม่ต้องมากพิธี”

“ท่านอ๋อง ด่านเมืองมังกรถูกปิดล้อมเอาไว้กว่าครึ่งปีแล้ว ต่อไปจะทำเช่นไรดี?” ในอดีตจงเหว่ยเป็นขุนพลมีชื่อในด่านชายแดน เด็ดขาดเข้มงวด ทว่าช่วงนี้ถูกบีบเสียจนไร้อารมณ์และอับจนหนทางแล้วจริงๆ เมื่อเห็นหลี่มู่จึงเหมือนกับได้พบพระโพธิสัตว์กวนอิมมาโปรด

ทุกคนล้วนใช้สายตาแห่งความหวังจับจ้องมาที่หลี่มู่

นี่คืออ๋องแห่งจักรวรรดิเชียวนะ ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว น่าจะมีหนทางแก้ไขใดๆ บ้าง

“ด่านเมืองมังกรป้องกันไม่อยู่แล้ว ใครต้องการกลับไปยังส่วนในของฉินตะวันตกให้ตามข้าไป ทหารของต้าเยวี่ยจะไม่ทำอะไร ส่วนคนที่อยากอยู่ต่อสามารถใช้ชีวิตเช่นเดียวกับที่ผ่านมาได้ ข้าพบกับรัชทายาทต้าเยวี่ยแล้ว เขารับปากว่าจะไม่ปกครองอย่างทรราช ไม่ถือสาเอาผิดคนที่ปกป้องเมือง ทุกอย่างจะเหมือนเดิม” หลี่มู่คิดๆ แล้ว จึงให้คำตอบเช่นนี้ออกมา

เกียรติเล็กน้อยพวกนี้ อวี๋ฮว่าหลงให้แก่เขาได้

พวกของจงเหว่ยได้ยินก็มองหน้ากันเอง

ท้ายสุด พวกเขากลับไปหารือกัน และตระหนักได้ว่าด่านเมืองมังกรนี้คงป้องกันไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ

แต่สามารถถอนทัพไปได้อย่างปลอดภัยก็ไม่เลวแล้ว

เรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาตัดสินใจได้ จำเป็นต้องให้พวกคณะเสนาบดีตัดสิน ในสิบเมืองเก้าพื้นที่ของชายแดน ด่านเมืองมังกรยืนหยัดได้เพียงนี้ก็เป็นมหัศจรรย์มากแล้ว ต่อให้ถอนทัพกลับไปคงไม่ได้รับคำต่อว่าอะไร

……

สิบวันต่อมา หลี่มู่กลับมายังเมืองขาวพิสุทธิ์

ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นเชิงเขาขาวพิสุทธิ์ เงยหน้ามองออกไป ก็พลันแปลกตาเล็กน้อยกับทิวเขาที่ควรจะคุ้นเคยดี

ทิวเขาสลับสูงต่ำ เขียวขจีไปพันลี้ ระดับความงอกงามของต้นไม้ใบหญ้า ในระยะเวลาเพียงครึ่งปีราวกับโตมานับพันปีแล้ว ต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้ามากมาย มีกลิ่นอายเซียนพันวนอยู่ระหว่างต้น ดูลึกลับพร่าเลือน แตกต่างจากความงามอย่างชนบทของพื้นที่รอบนอกเขาขาวพิสุทธิ์ในวันวานโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งแดนเซียนบนโลกก็มิปาน….

“โฮ่ง ข้าชอบที่นี่” เจ้านายพลฮัสกี้ส่ายหางไปมา เอ่ยว่า “ข้าได้กลิ่นหมาป่าตัวเมียในภูเขา”

หลี่มู่เอ่ยไม่ออก

ว่ากันว่าหม้อไฟเนื้อหมารสชาติไม่เลวเลยทีเดียวนี่?

ไป๋ม่อโฉวไม่ถูกชะตากับสุนัขตัวนี้นานแล้ว นางแค่นเสียง “ต่ำช้า! ไร้ยางอาย! คนเลี้ยงเป็นอย่างไรสุนัขก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”

หลี่มู่ที่นอนอยู่ตรงกลางขี้เกียจจะไปสนใจสาวโรคจิตตนนี้

เหตุใดเวลาส่วนใหญ่ผีสาวโรคจิตนี่จึงสิงร่างของซ่างกวนอวี่ถิง แต่ไม่ใช่วิญญาณของตัวซ่างกวนอวี่ถิงเอง?

ตอนนี้เริ่มรู้สึกเหมือนนกเขาแย่งรังนกสาลิกาทีละนิดแล้ว

หลี่มู่ไม่สบายใจอย่างมาก

“ในที่สุดก็ถึงแล้ว”

หลี่มู่เดินเท้าตามเชิงเขาที่คุ้นเคยเข้าไปด้านใน

ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน พวกชิวอิ่นและจงเหว่ยแยกกับหลี่มู่ระหว่างทาง ชิวอิ่นตรงไปที่ทุ่งปิดภูผา ส่วนพวกทหารที่ถอนทัพจากด่านเมืองมังกรของจงเหว่ยตรงไปที่เมืองหลวง หลี่มู่พาซ่างกวนอวี่ถิง หยวนโห่ว เจ้าฮัสกี้ ต๋าจี่ และเทพธิดาสงครามกลับมายังเมืองขาวพิสุทธิ์ ตอนนี้ในที่สุดก็ถึงแล้ว เรื่องแรกที่จะทำเมื่อกลับถึงเมืองคือไปพบพี่สะใภ้หลิวจื่อหยวน จากนั้นส่งนางและลูกทั้งสองกลับไปหากัวอวี่ชิงบนที่ราบทุ่งหญ้า

สิบวันก่อน หลี่มู่เดิมทีตัดสินใจจะพาย่าหลานไช่ไช่กลับมาที่เมืองขาวพิสุทธิ์ด้วย

แต่สุดท้าย ย่าหลานไช่ไช่กลับเลือกที่จะอยู่ในด่านเมืองมังกรต่อไป

……………………………………….