ไป๋ม่อโฉวเดินไปตามถนนเมืองขาวพิสุทธิ์อย่างตื่นตาตื่นใจ
นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เก่าแก่บรรพกาล พลังฟ้าดินไม่เคยสัมผัสได้ง่ายขนาดนี้มาก่อน ราวกับยุคสมัยที่แสนจะเนิ่นนานก่อนหน้านี้ นี่ไม่ปกติชัดๆ นางมองหลี่มู่อย่างไม่พอใจ ชายน่ารังเกียจคนนี้สร้างบุญกุศลอะไรมาถึงได้ครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้?
และในความจริง หลี่มู่ค่อนข้างตกใจเช่นกัน
ภายใต้การหล่อเลี้ยงจากค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ผ่านไปเจ็ดแปดเดือน ความเข้มข้นของพลังฟ้าดินในเมืองขาวพิสุทธิ์ที่เป็นพื้นที่ใจกลางค่ายกลช่างชวนให้คนตะลึงนัก นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้เลขทบเท่าทวีมาบรรยายแล้ว และท่ามกลางพลังฟ้าดินเช่นนี้ กฎแห่งเต๋าก็เริ่มชัดเจนขึ้น ในการฝึกฝนของจอมยุทธ์จะมีประโยชน์เกินจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ พืชพันธุ์และสัตว์ต่างๆ ในเมืองขาวพิสุทธิ์ที่ดูดซับพลังฟ้าดินก็เริ่มเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ถึงขั้นกลายพันธุ์
หลี่มู่เห็นต้นไม้โบราณบางต้นออกดอก แตกหน่อผลิใบ พลังชีวิตเกิดขึ้นใหม่ ผลไม้ของต้นไม้ธรรมดาชุ่มฉ่ำ ลูกโตเสียจนน่าตกใจ ในเทือกสวนไร่นาของชาวเมืองที่หักร้างถางพงไว้หลังบ้าน ผลผลิตของพืชผักธัญพืชก็น่าอัศจรรย์ แตงกวาลูกหนึ่งก็พอให้สมาชิกในบ้านสี่คนกินอิ่มได้หนึ่งมื้อแล้ว สัตว์ปีกที่พบเห็นได้น้อยในเมืองและควรจะอยู่ในป่าลึกก็ออกมาบินวน แมวบ้านตัวใหญ่ขนาดเสือดาว ดวงตาเต็มไปด้วยสติปัญญา ส่วนฝูงนกกระจอกก็เปล่งแสงคล้ายคลุมด้วยเมฆอรุโณทัย บนถนนไกลๆ เด็กผู้ชายอายุราวหกเจ็ดขวบ มือถือหอกไม้ ขี่อยู่บนหลังหมูดำตัวใหญ่เท่าลูกม้า ควบทะยานมาเหมือนทหารตัวน้อย ยังไม่ทันได้ร้องอุทาน ก็เห็นเด็กผู้หญิงข้างหลังสามสี่คนขี่ไก่ตัวผู้ตัวเท่านกกระจอกเทศผ่านมา หัวเราะยิ้มแย้ม ราวกับเซียนตัวน้อยขี่หงส์มาก็ไม่ปาน…
บรรลุกันหมดแล้วหรือ
ก่อนที่จะปรับปรุงแก้ไขค่ายกล ‘จุดรวมมังกร’ หลี่มู่ก็คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้
หากเป็นแบบนี้ต่อไป เมืองอำเภอจะมิกลายเป็นแดนเซียนไปจริงๆ หรือ?
ชื่อเสียงบารมีของหลี่มู่ในเมืองสูงมาก เขาแค่ปรากฏตัวก็แทบจะมาต้อนรับกันทั้งสองข้างทาง ชาวเมืองต่างมอบผักผลไม้ต่างๆ ที่ปลูกเองให้ แม้แต่เด็กน้อยก็ยังร้องเพลงกล่อมเด็กสรรเสริญหลี่มู่ที่ไม่รู้ว่าใครสอน…
หยวนโห่วเห็นผักผลไม้หลากหลายก็อยากกินจนน้ำลายไหล
“รับเอาไว้เถอะ” หลี่มู่ตอบ
ชาวเมืองไม่กลัววานรภูเขาขนทองตัวโตตัวนี้ ยัดผักผลไม้ไปในอ้อมแขนของหยวนโห่ว
ตอนนี้สัตว์มากมายในเมืองกลายพันธุ์ตัวใหญ่โต โลกกว้างใหญ่เรื่องอะไรก็มีทั้งนั้น ขนาดแม่ไก่ตัวใหญ่เท่านกกระจอกเทศยังมีเลย ดังนั้นลิงตัวใหญ่หนึ่งจั้งมีอะไรน่ากลัวกัน อีกทั้งลิงขนทองตัวนี้แบกกระบอง เดินตามหลังใต้เท้าขุนนางเมือง หน้าตาประจบประแจง ดูไปแล้วโง่งม คงเป็นเจ้าทึ่มที่ใต้เท้าขุนนางเมืองไปช่วยออกมาจากคณะละครลิงที่ไหนกระมัง?
เจ้าฮัสกี้แลบลิ้นห้อยออกมาอย่างติดนิสัย สีหน้าท่าทางโง่งมยิ่งกว่าหยวนโห่ว “โฮ่ง ข้าค่อนข้างจะชอบที่นี่แล้ว”
จากการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นของขุนนางและชาวเมือง ไม่ต้องพูดอะไรมาก คนที่มาที่นี่ครั้งแรกอย่างเทพธิดาสงครามหรือไป๋ม่อโฉวต่างตกตะลึง
เทพธิดาสงครามเหมือนเห็นภาพเหล่าคนเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้าเคารพบูชาต้าเจ๋อเปี๋ยในตอนนั้น มิน่าเล่าต้าเจ๋อเปี๋ยจึงได้สาบานเป็นพี่น้องกับเขา นางรู้สึกว่าในกายของเด็กหนุ่มฉินตะวันตกคนนี้มีเสน่ห์บางอย่างที่ยากจะใช้คำพูดบรรยาย บนโลกใบนี้คนอื่นไม่มี กระทั่งต้าเจ๋อเปี๋ยก็ไม่มี เป็นบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์
ไป๋ม่อโฉวกลับเบ้ปากอย่างดูถูกยิ่ง “ฮึ อายุแค่นี้ก็รู้จักซื้อใจคน…เห็นมามากแล้ว ก็แค่พวกลวงโลกให้ได้ชื่อเสียงมา”
อย่างไรเสียหลี่มู่ก็ขัดหูขัดตานางอยู่แล้ว เห็นครั้งแรก ไม่สิ ได้ยินถิงเอ๋อร์พูดถึงหลี่มู่ครั้งแรกก็ต่อต้านสุดๆ พอได้เห็นหน้าก็ยิ่งต่อต้านเข้าไปใหญ่
โลกใบนี้บุรุษไม่ใช่พวกดีอะไร ต้องดูถิงเอ๋อร์ให้ดี สตรีดีที่สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้ จะปล่อยให้ผู้ชายตัวเหม็นมาฉกฉวยโอกาสไม่ได้เด็ดขาด
อีกทั้งยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไป๋ม่อโฉวหงุดหงิดคือ นางรู้สึกเลาๆ ว่าเทพธิดาสงครามที่มาจากที่ราบทุ่งหญ้าก็ดูท่าจะรู้สึกอะไรกับหลี่มู่อยู่นิดๆ เช่นกัน
นี่มันบ้าบอชัดๆ
ครั้งแรกที่ได้เห็นเทพธิดาสงครามกัวชิงเยียน ดวงตาก็ไป๋ม่อโฉวก็ลุกวาว
สาวงามที่สง่าเพริศแพร้วขนาดนี้ ช่างมีเอกลักษณ์โดดเด่นนัก โดยเฉพาะบุคลิกองอาจสง่างามแบบนั้น ยิ่งหาได้ยากยิ่ง ต่อให้เป็นไป๋ม่อโฉวที่เคยได้พบสาวงามขึ้นชื่อในห้วงดาราสมุทรมาไม่รู้เท่าไหร่ในชีวิตอันเนิ่นนาน ก็ยังถูกบุคลิกของสตรีที่ราบทุ่งหญ้าคนนี้ดึงดูดอย่างห้ามไม่ได้ นี่เป็นสตรีที่ดีไม่แพ้ถิงเอ๋อร์เลย อยากกอดเอาไว้ในอกลูบๆ คลำๆ เสียหน่อยแทบทนไม่ไหว
โดยเฉพาะท่าทีเย็นชากับผู้ชายคนอื่นของนาง ยิ่งทำให้ไป๋ม่อโฉวชื่นชม
ทว่าทำไมเทพธิดาแห่งสงครามกลับต้องทำดีกับหลี่มู่คนงี่เง่าผู้นี้ด้วย
ไป๋ม่อโฉวคิดๆ แล้วก็แทบจะกระอักเลือด
ทว่าเรื่องที่ทำให้นางต้องกระอักเลือดยิ่งกว่าอยู่หลังจากนี้
เมื่อเข้ามาในเรือนดาบ เห็นสวีหว่านเอ๋อร์ ลู่เซิ่งหนาน และสาวงามรวมสิบกว่าคนแย้มยิ้มคิกคักพุ่งตรงมาล้อมหลี่มู่เอาไว้ ทุกคนท่าทางกระตือรือร้นและเคารพบูชา ใจของไป๋ม่อโฉวใกล้จะแหลกละเอียดแล้วเต็มที ผู้หญิงสิบกว่าคนนี้ แต่ละคนเป็นหญิงงามหายากที่พร้อมด้วยรูปโฉมและปัญญา ทั้งยังมีบุคลิกเป็นเอกลักษณ์ ร่างกายมีท่วงทำนองแห่งเต๋าอยู่รางๆ เห็นชัดว่าเป็นคุณสมบัติกายฝึกฝนเต๋าที่โดดเด่นยิ่ง…โอ๊ย! ทำไมข้างกายผู้ชายสกปรกคนนี้ถึงได้มีสาวงามโดดเด่นหยาดเยิ้มมากมายขนาดนี้นะ
หลี่มู่เจ้าคนบัดซบจะต้องเป็นคนลวงโลกไร้ยางอายแน่นอน หลอกผู้หญิงมากมายขนาดนี้มาไว้ข้างกาย
ไป๋ม่อโฉววิเคราะห์อย่างมั่นใจ
ภายหลังนางก็เห็นหมอยาจ้าวอวี่อีก
สาวงามอีกแล้ว
หมอยาผู้หญิง?
หายากมาก บุคลิกเป็นหนึ่ง…อืม มีกลิ่นอายเต๋าฟ้าประทานด้วย
นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมสตรีที่นี่ถึงได้มีกลิ่นอายเต๋ากันหมดทุกคน?
สิ่งที่ทำให้ไป๋ม่อโฉวยิ่งกระอักเลือดคือ ถึงแม้หมอยาสาวคนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่มู่จะพยายามทำให้ตนดูเฉยเมย ไร้อารมณ์ รายงานการรักษาผู้ป่วยบางคนและการฝึกอบรมโรงหมอเล็กใหญ่กับเหล่าหมอในเมืองเหมือนทำกิจวัตรประจำวัน แต่แท้จริงลึกลงไปในดวงตาของนาง ไป๋ม่อโฉวมองเห็นความลิงโลดในใจอย่างเด็กสาววัยแรกแย้มยามพบคนที่ตนแอบรัก
ความเขินอายจางๆ ที่เก็บซ่อนไว้ในใจอย่างระมัดระวัง ท่าทางเฝ้ารอและความอ้างว้างยามลอบสังเกตเงียบๆ ว่าอีกฝ่ายมีทีท่าอะไรพิเศษกับตนหรือไม่…ไป๋ม่อโฉวมองออกทันที หมอยาสาวคนนี้แย่แล้ว ตกหลุมรักต่อหลี่มู่ลึกนัก
หนำซ้ำนางยังมองออกว่า นิสัยอย่างหมอยาสาวหากมีความรักเกรงว่าจะทุ่มสุดตัว…
เจ้าคนชั่วช้าคนนี้ทำร้ายสาวน้อยไปมากน้อยเท่าใดกันนี่
ไป๋ม่อโฉวคิดในใจ ควรหาโอกาสจัดการเจ้าคนชั่วช้าไร้ยางอายที่สร้างชื่อลวงโลกคนนี้ทิ้งดีหรือไม่
เช่นนั้นแล้ว ฮี่ๆ สาวน้อยหยาดเยิ้มมากปัญญาที่มีกลิ่นอายเต๋าฟ้าประทานเหล่านี้จะมิเป็นของข้าหมดหรือ?
ไป๋ม่อโฉวคิดถึงตรงนี้ ดวงตาก็วาววาบ
จวบจนเห็นหลิวจื่อหยวน ได้ยินคำเอ่ยที่หลี่มู่เรียก นางถึงได้โล่งใจ
ยังดี ไม่ใช่ผู้หญิงที่นี่จะชื่นชอบเจ้าบ้าหน้าด้านนี่ไปเสียทุกคน
แต่ว่าพี่สะใภ้ของเจ้านี่ช่างงามจริงๆ ทั้งอ่อนหวานและฉลาดหลักแหลม มีความงามอย่างผู้ใหญ่ที่สาวน้อยไม่มี หากได้มากอดแนบอกละก็…จิ๊ๆๆ รสชาติคงจะซาบซ่านมากแน่
ไป๋ม่อโฉวคิดในใจ จู่ๆ ดวงตาก็ลุกวาว
ไม่ถูกสิ ตอนนี้ตัวเองใช้ร่างของซ่างกวนอวี่ถิงอยู่นี่ กล่าวตามหลักแล้วก็เป็นคนคุ้นเคยกับพี่สะใภ้สาวงามผู้นี้ ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคยกัน เช่นนั้นจะไปกอดไปทำอะไรก็ได้ แล้วก็ฉวยโอกาส…ฮี่ๆๆ
ในใจนางมีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมา
ก็ได้ยินหลี่มู่พูดขึ้นข้างๆ เสียงดัง “พี่สะใภ้ มีเรื่องหนึ่งท่านต้องจำให้ขึ้นใจ ในร่างของถิงเอ๋อร์ตอนนี้มีปีศาจเฒ่าสิงอยู่ ค่อนข้างโรคจิต สามารถสำแดงวิชามาร บังคับยึดร่างของคนอื่น ดังนั้นช่วงนี้ท่านอยู่ห่างๆ นางเอาไว้…รอให้จัดเตรียมเรื่องในที่ว่าการเรียบร้อย พวกเราจะออกเดินทางไปส่งท่าน หลานสาว และหลานชายยังที่ราบทุ่งหญ้า เพื่อพบกับพี่ใหญ่”
หลิวจื่อหยวนส่งสายตาเห็นอกเห็นใจและเป็นห่วงมาให้ซ่างกวนอวี่ถิงทันที แต่ก็รับคำแนะนำของหลี่มู่ รักษาระยะห่างกับนาง
ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น พวกสวีหว่านเอ๋อร์และสาวงามคนอื่นๆ รวมถึงหมอยาสาวจ้าวหลิงก็รักษาระยะห่างกับนางโดยไม่รู้ตัว
ไป๋ม่อโฉวกระอักเลือด แทบอดไม่ไหวจะพุ่งไปกัดหลี่มู่ให้ตาย
หนึ่งวันนี้ หากจะบอกว่ามีชายคนหนึ่งในเรือนดาบที่ไป๋ม่อโฉวไม่ได้ต่อต้านอะไร นั่นก็คือชิงเฟิง นี่ไม่ใช่เพราะนางเลือกปฏิบัติกับเด็กรับใช้บัณฑิตน้อย ประเด็นคือเด็กรับใช้บัณฑิตปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ขนยังขึ้นไม่ครบเลย ไม่นับว่าเป็นผู้ชาย
หลายวันต่อมา หลี่มู่จัดการเรื่องบางอย่างในเมืองอำเภอตลอด และปรับปรุงแก้ไขค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์อีกครั้ง
นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติ
ทุกครั้งหลังจากพลังฝึกหรือขอบเขตพลังของหลี่มู่ยกระดับ สิ่งแรกที่เขาจะทำคือใช้ระดับพลังหรือพลังฝึกใหม่มายกระดับ ฝึกฝน และจัดวางค่ายกลจุดต่างๆ นับพันจุดของค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’
โดยเฉพาะครั้งนี้ ก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์ ฝึกฝนพลังหัวใจ หลังจากควบคุมไฟแท้เต๋าแห่งจักรพรรดิเพลิงแดนใต้ จะสามารถใช้พลังแห่งฟ้าดิน ใช้ไฟแท้ฝึกฝน ทำให้รากฐานค่ายกลเต๋ามั่นคงยิ่งขึ้น โคจรได้คล่องขึ้น พลานุภาพทวีคูณ ต่อให้เทวะมาเองก็เกรงว่ายากจะทำลาย หากบอกว่าก่อนหน้านี้หลี่มู่ที่อยู่ในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ไม่ต้องหวาดกลัวครึ่งเทวะหรือปฐมเทวะ เช่นนั้นอยู่ในเขาขาวพิสุทธิ์วันนี้ หลี่มู่กระทั่งว่าต่อกรกับเทวะได้
ในตอนที่หลี่มู่จัดการทุกอย่างในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เรียบร้อย เตรียมตัวเก็บของออกเดินทางไปส่งหลิวจื่อหยวนยังที่ราบทุ่งหญ้า ก็มีจดหมายจากทุ่งปิดภูผาร่อนมาอยู่หน้าหลี่มู่ ทำให้แผนของเขายุ่งเหยิงโดยสมบูรณ์
นี่เป็นจดหมายที่มีรอยเลือด
รอยเลือดของจอมยุทธ์ดาบชิวอิ่น
ชิวอิ่นเกิดเรื่องแล้ว
……………………………………………………