ยอดฝีมือเช่นนี้ หากคุณหนูใหญ่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตนางจะไม่ลงมือ ทว่า…
— ปัง! —
เป็นอย่างที่คาดคิด ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิผู้นั้นลงมือกับเสี่ยวชี เคราะห์ดีที่มู่เฉียนซีเตือนเขาได้อย่างทันท่วงที การโจมตีของยอดฝีมือ เสี่ยวชีหลบหลีกได้ทัน
— ปัง! —
ทว่าเสี่ยวชียังคงได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดิม เจ้าหมอนี่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักแต่ก็ยอมแบกรับเอาไว้เอง เขารวบรวมแรงฮึดเตรียมตัวพร้อมโจมตีกลับ
มู่เฉียนซีเห็นท่าไม่ดี นางรีบกล่าว “เสี่ยวชี เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนี้เจ้าเป็นคนของใคร ยารักษาบาดแผลที่ข้าให้เจ้าไปกินมันไม่น่ากินรึ ?”
เสี่ยวชีอึ้งงันเล็กน้อย เมื่อก่อนตอนอยู่ที่หออสูรทมิฬ มิเคยมีผู้ใดสนใจความเป็นความตายของเขามาก่อน ไม่ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสาหัส ไม่ว่าเขาจะเจ็บปวดหรือไม่ก็ไร้ซึ่งคนแยแส ทว่านายท่านในเวลานี้กลับ… ห่วงใยเขา!
เสี่ยวชีกลืนยาลงไป เจ้าหนุ่มมู่ซีผู้นั้นเข้าใจในเรื่องของการปรุงยา แน่นอนว่าเขาจะต้องรู้จักชนิดและระดับของยาเป็นอย่างดี
สตรีชุดชมพู เมื่อเห็นยาที่เสี่ยวชีกลืนลงไป เขาก็กล่าวขึ้นด้วยความตกใจ “ยาระดับห้า! เจ้าช่างสิ้นเปลืองเสียจริง เอายาระดับห้ามาให้คนระดับล่างกิน”
ทางตอนกลางและตะวันออกของทวีปเซี่ยโจวนั้นเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งของคน ณ ดินแดนแห่งนี้ถือว่าแข็งแกร่งนัก ทว่ายาระดับห้าก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหยิบยกออกมาได้ตามใจชอบ
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น
สตรีชุดชมพูขมวดคิ้วมุ่น กล่าวอย่างหยิ่งยโสว่า “ข้าคิดว่าเจ้าก็รู้ดี ข้างกายข้ามีองครักษ์ระดับจักรพรรดิอยู่ มอบหม้อยาที่ข้าต้องการมาเสียดี ๆ แล้วคุกเข่าขอโทษข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ฝันไปเถอะ!”
“ฮือ ๆ ๆ ท่านปู่ทั้งสอง ท่านต้องแก้แค้นให้อี๋เอ๋อร์” ฉับพลันสีหน้านางเปลี่ยนไป นางร่ำไห้ออกมาพยายามทำท่าทางน่าสงสาร
เวลานี้ แรงกดดันของจักรพรรดิก็ได้บีบกดมาทางมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีนั้นรู้อย่างแน่นอนว่าผู้เฒ่าทั้งสองเตรียมพร้อมที่จะลงมือแล้ว ทว่าพวกเขาคิดจริงหรือว่าเป็นระดับจักรพรรดิแล้วจะเก่งกาจ ?
“อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า มาแล้ว!” เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งกระโจนออกมา แรงกดดันของจักรพรรดิพลันกลายเป็นความว่างเปล่า
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง!” ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ใครเลยจะคิดว่ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสองอยู่ที่นี่
ยังไม่ทันที่จะรอให้พวกนั้นลงมือ อู๋ตี้เริ่มเคลื่อนไหวไปก่อนแล้ว แน่นอนว่าเป้าหมายของมันนั้นคือผู้ที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องนี้
ร่างของมันนั้นได้เปลี่ยนกลายสถาพเป็นล่องหน กรงเล็บแมวของอู๋ตี้คมกริบเป็นอย่างมาก ใครก็ดูถูกไม่ได้!
— ปัง! —
ผู้เฒ่าทั้งสองรีบเข้าปัดป้อง แต่กรงเล็บแมวยังคงจมลงไปบนใบหน้าของสตรีชุดชมพูจนได้
“อ๊าก!” สตรีชุดชมพูไม่ได้กรีดร้องแต่อย่างใด กลับกัน เป็นอู๋ตี้ที่กรีดร้องออกมาก่อนนาง
“ให้ตาย! หญิงบ้าผู้นี้ใบหน้าอัปลักษณ์มากพออยู่แล้ว มาตอนนี้หน้าแหกยิ่งน่ากลัว เกรงว่าเมื่อตายเป็นผีลงนรกไป ก็คงจะทำให้ผีด้วยกันต้องตกใจกลัวเป็นแน่”
“อ๊าาา!” ครานี้เป็นเสียงของอวิ๋นอี๋ที่กรีดร้องออกมา เมื่อถูกทำร้ายเข้าที่ใบหน้าที่นางคิดว่าน่าภาคภูมินั้น นั่นก็มากพอแล้ว ยังจะมาถูกเจ้าเดรัจฉานตัวหนึ่งเยาะเย้ย
ดวงตาของนางแดงก่ำ นางบันดาลโทสะก่อนจะกล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “ฆ่ามัน ฆ่ามันซะ!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่โจมตีอีกครั้ง กระบี่มังกรเพลิงสั่นแรงประหนึ่งว่ามันกําลังโห่ร้อง
มู่เฉียนซีใช้กระบี่เล่มหนึ่งเข้าไป “มังกรเพลิงสังหาร!”
“เสี่ยวหงออกมา! อู๋ตี้เผชิญปัญญาหาบางอย่างในการต่อกรกับพวกนั้นเข้าแล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ ให้ข้าลงมือ พวกนั้นเสร็จหมดแน่!” เสี่ยวหงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเปลวเพลิงสีแดงก็พุ่งโหมกระหน่ำไม่หยุดยั้ง
ผู้เฒ่าระดับจักรพรรดิทั้งสองนั้นตื่นตานัก “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัว หนีเร็ว!”
เวลานี้กระบี่มังกรเพลิงเองก็กำลังเรียกร้องอย่างดุดัน มู่เฉียนซีจึงได้ชักกระบี่ฟันกวาดออกไปคราหนึ่ง
“กระบี่มังกรเพลิงสังหาร!” สถานการณ์เช่นนี้ไม่ดีต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งพวกเขาพกขวดน้ำมันติดตัวมาด้วยหนึ่งขวด ยิ่งเพิ่มความอันตรายทวีคูณขึ้น
— ตูม! ตูม! ตูม! —
เหล่าคนระดับจอมภูตและยอดฝีมือระดับราชานั้นทำได้เพียงเป็นเกราะป้องกันให้พวกเขาที่ด้านหน้า ส่วนยอดฝีมือระดับจักรพรรดิทั้งสองคน ได้ทำการอารักขาและนำพาคุณหนูใหญ่ของพวกเขาหลบหนีไปอย่างเร่งรีบ
— บึ้มมมม! —
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวลอยมา ร่างกายของอู๋ตี้พลันเปลี่ยนไป
แมวสีขาวตัวใหญ่ตัวนั้นดูเหมือนจะมีพลังที่น่ากลัว อู๋ตี้กล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้ากล้าต่อกรกับนายท่านของข้า ก็จงอย่าได้วิ่งหนีข้าในตอนนี้ซี่!”
อู๋ตี้ระเบิดพลังแห่งการทำลายล้างออกมา คนฝั่งศัตรูนั้นจนปัญญาจึงเปิดอาวุธวิญญาณระดับปฐพีเพื่อป้องกันการโจมตีของอู๋ตี้
— ปัง! —
อาวุธวิญญาณที่ไว้ใช้ป้องกันชิ้นนั้น นับว่าได้ปกป้องชีวิตของอวิ๋นอี๋เอาไว้ ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิก็ได้พานางหนีไปไกลเสียแล้ว
ด้วยสถานะของอวิ๋นอี๋ นางถูกโจมตีถึงสองครั้งแต่กลับทำได้เพียงวิ่งหนี ทั้ง ๆ ที่ฝั่งตรงข้ามมีเพียงแค่คนระดับจอมภูตเพียงผู้เดียว ช่างน่าละอายเสียจริง
คนพวกนี้หนีได้เร็วมาก ไม่นานนักก็ไม่เห็นเงาแล้ว
ดวงตาของมู่เฉียนซีแฝงประกายเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “อย่ามายั่วยุข้าอีกจะดีที่สุด จำไว้” หลังจากผ่านพายุนี้ไปได้ มู่เฉียนซีและเสี่ยวชีก็เดินทางผ่านเทือกเขาชีชงอีกครั้ง เส้นทางที่พวกเขาเลือกนั้นถือเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในเทือกเขาชีชง จึงไม่ได้เจอกับสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งมากนัก
พวกเขาข้ามผ่านดินแดนสองในสามส่วนของเทือกเขาชีชงและได้มาถึงเขตแดนของแคว้งชางแล้ว
— เปรี๊ยะ! —
เปลวไฟลุกโชนขึ้นในความมืด จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ทางพวกเขา
เมื่อพวกเขามาถึงที่ด้านหน้ามู่เฉียนซี ในตอนที่พวกเขาเห็นเด็กหนุ่มสองคน แววตาของเขาผู้นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง ทว่าเขาก็ยังคงเอ่ยปากขึ้น “หนุ่มน้อย ข้าคือเฟิงหลิงอวิ๋น เป็นผู้นำกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋น สหายร่วมกลุ่มของเรานั้นมีผู้ที่โดนพิษร้ายแรง ข้าไม่สามารถจากไปได้ ขอพวกเจ้าจงโปรดเร่งเดินทางออกจากเทือกเขาชีชงไปยังเมืองชางเฟิงเพื่อขอความช่วยเหลือจากนักปรุงยากลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นเถิด ข้าหลิงอวิ๋นจะตอบแทนเจ้าให้ถึงที่สุด”
มู่เฉียนซี “คืนนี้ข้าคิดไว้ว่าจะค้างคืนที่นี่ ข้าไม่อยากวิ่งตะลอน”
เฟิงหลิงอวิ๋น “ชีวิตเป็นเดิมพัน…”
“ชีวิตเป็นเดิมพันแล้วอย่างไร ? เกี่ยวอะไรกับเจ้ารึ ?”
เฟิงหลิงอวิ๋นมองไปที่ดวงตาสีเขียวสงบนิ่งคู่นั้นพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ทว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรยืดเยื้อหรือดื้อดึงอีก ตัวเขานั้นรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพวกเขาเหล่านี้ อย่างไรเสียระหว่างพวกเขานั้น ต่างฝ่ายต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกันอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่พวกเขาหันหลังกลับ เสียงที่เย็นชาก็ถูกส่งออกมา “โดนพิษรึ ? ถ้าหากมีค่าตอบแทนที่ทำให้ข้าพอใจได้ละก็ พาเขามาที่นี่ ข้าจะดูให้”
เฟิงหลิงอวิ๋นเบิกตากว้าง หันไปมองเด็กหนุ่มที่จดจ่ออยู่กับการย่างเนื้อก่อนจะหันไปกล่าวกับกับคนของตนด้วยเสียงต่ำว่า “พาตัวทั้งสามมาที่นี่ เร็วเข้า!”
เขาเองก็ไร้สิ้นหนทางจึงได้แต่ต้องลองดูอย่างมีหวัง เด็กหนุ่มนัยน์ตาเขียวผู้นี้สงบนิ่งและดูมีท่าทีเย็นชา คนเช่นเขาคงจะไม่เอ่ยเสนอความช่วยเหลือออกมาสั่ว ๆ อย่างไร้ซึ่งเหตุผลอย่างแน่นอน
คนของกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นที่ถูกพิษเหล่านี้มีผิวหนังที่มีสีดูคล้ำ ๆ และท่าทางอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่ามีอย่างอย่างผิดปกติ พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงแผ่วเบา “ดูเหมือนว่ากลุ่มนักผจญภัยของพวกเจ้าจะไปทำให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษที่โหดเหี้ยมโกรธเข้าเสียแล้ว จึงได้โดนเล่นงานกันมาเช่นนี้”
เฟิงหลิงอวิ๋นกล่าวเสียงต่ำ “รีบช่วยพวกเขาเถิด ขอแค่เพียงเจ้าสามารถถอนพิษให้แก่สหายของข้าได้ พวกเรากลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นจะมีหนี้บุญคุณกับเจ้าหนึ่งหนี้”
“หนึ่งหนี้ แต่พวกเจ้าไม่ได้มีเพียงคนเดียว”
“เจ้า…” เหล่าสหายคนอื่น ๆ ของกลุ่มเฟิงหลิงอวิ๋นเริ่มโมโหขึ้นบ้างแล้ว “ผู้นำกลุ่ม เจ้าเด็กนี่ฉวยโอกาสปล้นเราชัด ๆ!”
เฟิงหลิงอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “สามคนสามบุญคุณ หากนั่นไม่ขัดกับหลักการของกลุ่มนักผจญภัยของพวกเรา พวกเราสามารถทำเพื่อเจ้าได้”
“ตกลง!” มู่เฉียนซียิ้ม จากนั้นนางยกมือขึ้น พลันเข็มยาหลายเข็มถูกส่งออกไป
เหล่าคนจากกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นตะลึงลาน “อะไรกัน ?!”
“เจ้าจะช่วยหรือว่าจะฆ่ากันแน่ ?”
ในเข็มยานั้นมียาแก้พิษสารพัดชนิดของนางอยู่ หากไม่ใช่พิษที่แก้ยากมาก มันจะสามารถถอนพิษออกได้โดยง่าย และพิษที่คนของนักผจญภัยกหลิงอวิ๋นไปโดนมานั้นเป็นเพียงพิษธรรมดาทั่วไป สำหรับนางแล้ว สบายมาก!
จากนั้นไม่นานพวกเขาก็เห็นใบหน้าของเหล่าบรรดามิตรสหายทั้งสามค่อย ๆ กลับกลายมาเป็นใบหน้าที่ดูปกติดี
นี่คือการล้างพิษหรือ ? มันช่างประหลาดเสียยิ่งกว่าสิ่งใดที่พวกเขารู้จักมาในชีวิตนี้…
.