[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 426 : อาการป่วยทางจิต!
กงเสี่ยวลู่พยายามที่จะทำสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนปกติ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงหยุนโอบไหล่เธอไว้เมื่อครู่
ลิฟท์ค่อยๆเคลื่อนขึ้นข้างบน และภายในพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆในลิฟท์ กงเสี่ยวลู่จึงกล้าที่จะมองหน้าหลิงหยุนเต็มตา หลังจากมองเขาได้ครู่หนึ่งเธอก็พูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน.. เธอดูเปลี่ยนไป!”
“งั้นเหรอ.. เปลี่ยนไปยังไงครับ?” หลิงหยุนยิ้มมุมปากก่อนจะถามขึ้น
กงเสี่ยวลู่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เธอดูกล้าขึ้นมาก แล้วก็ดูร้ายขึ้นด้วย แม้แต่ครูเธอยังกล้า.. กอด..”
ความจริงแล้วกงเสี่ยวลู่เองเองตั้งใจที่จะพูดออกไปว่าหลิงหยุนกล้าที่จะโอบไหล่เธอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอจึงได้เปลี่ยนจากคำว่า ‘โอบ’ เป็นคำว่า ‘กอด’ แทน
เพราะโอบกับกอดนั้น.. ความหมายแตกต่างกันอย่างมาก
แต่หลิงหยุนกลับตอบเสียงเบาๆว่า “ถ้าครูชอบ ผมกอดอีกก็ได้นะครับ!”
กงเสี่ยวลู่เริ่มหายใจติดขัด และร่างเล็กๆของเธอก็เริ่มอึดอัดพร้อมกับหน้าร้อนผ่าว และพูดออกไปว่า “เธอกล้าเหรอ..”
ทันใดนั้น.. กงเสี่ยวลู่ก็รู้สึกว่าเอวของเธอถูกรัดแน่น และปรากฏว่าเป็นมือใหญ่ๆของหลิงหยุนที่โอบเอวเธอไว้นั่นเอง
“ครูครับ.. แบบเมื่อครู่เรียกว่าโอบ ส่วนแบบนี้ถึงจะเรียกว่ากอด..” หลิงหยุนพพูดกับกงเสี่ยวลู่เสียงเบา
กงเสี่ยวลู่หายใจเร็วขึ้น และเริ่มรู้สึกเกร็งมากขึ้นกว่าเดิม แต่ครั้งนี้เธอกลับไม่ปฏิเสธ เพราะภายในจิตใจลึกๆเธอรู้สึกปลอดภัย..
‘ไม่มีอะไรหรอก.. อีกอย่างในลิฟท์ก็ไม่มีใครเห็น..’
กงเสี่ยวลู่ปลอบใจตัวเอง เธอหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม และร่างบอบบางก็สั่นเล็กน้อยด้วยความกระวนกระวายใจ
แต่จู่ๆกงเสี่ยวลู่ก็สั่งหลิงหยุนว่า “นี่เธอ.. เอามือออกได้แล้ว อย่าให้คนอื่นเห็น ไม่อย่างนั้นครูจะโกรธเธอแน่..”
หลิงหยุนก้มศรีษะเข้าไปใกล้ใบหูของกงเสี่ยวลู่พร้อมกับกระซิบว่า “ครูครับ.. ครูคงลืมไปแล้วว่าห้องครูอยู่ชั้นห้า”
เสียงของหลิงหยุนดังทะลุเข้าไปในรูหูของกงเสี่ยวลู่ เพียงเท่านั้นความรู้สึกเจ็บปวดบางอย่างก็ปะทุขึ้นมาในจิตใจของเธอ และรีบผลักร่างของหลิงหยุนออกทันที!
กงเสี่ยวลู่นับว่าเป็นผู้หญิงที่ใจแข็งมาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าหลิงหยุนกลับทำให้เธอเกิดความรู้สึกที่ยากจะต้านทานได้ ในใจของเธอจึงได้แต่ร่ำร้องว่า
‘เป็นไปไม่ได้! ไม่เหมาะไม่ควร..!’
“โอ๊ะ.. หลิงหยุนเธอเป็นอะไรไม๊? ครู.. ครูไม่ได้ตั้งใจจะผลักเธอ..”
นั่นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาติญาณของกงเสี่ยวลู่ เธอเคยถูกทำร้ายมาก่อน ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทีของหลิงหยุนเธอก็จึงเกิดอาการตื่นตระหนก และตอบสนองกลับในทันที
ประตูลิฟท์ค่อยๆเปิดออก..
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทำท่าเป็นเจ้าหน้าที่โรงแรม ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับโค้งตัวผายมือให้กงเสี่ยวลู่เป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน
กงเสี่ยวลู่เดินออกจากลิฟท์ไปด้วยความรู้สึกผิด และเสียใจ..
หลิงหยุนเดินตามเข้าไปในห้อง และถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาอย่างไร้มารยาท และนั่งมองกงเสี่ยวลู่ที่กำลังเปลี่ยนรองเท้า
ท่อนขาเรียวยาวของกงเสี่ยวลู่นั้นสวยงาม หน้าอกก็ตั้งตรง ก้นก็กลมกลึงสมส่วน และท่าทางที่โน้มตัวลงเปลี่ยนรองเท้านั้นก็ช่างเป็นท่วงท่าที่น่าชม..
“ครูครับ.. ครูเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แต่ทำไมถึงไม่ยอมมีแฟน?” หลิงหยุนแสร้งทำเป็นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เป็นเด็กห้ามยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่!”
กงเสี่ยวลู่เปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อย และหลังจากที่รวมรวมสติได้ ก็หันไปดุหลิงหยุน..
“จะดื่มอะไร?”กงเสี่ยวลู่หันไปถาม และหลิงหยุนก็ตอบกลับมายิ้มๆ “ผมหิวข้าวมากกว่า ครูทำอะไรให้ผมทานหน่อยได้ไม๊?”
หลิงหยุนใช้เวลาอยู่กับหลินเมิ่งหานทั้งคืน เช้ามาก็รีบกลับไปรับหนิงหลิงยู่ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขาเลย
“อะไรกัน? นี่เธอยังไม่ได้ทานข้าวเช้ามาเลยเหรอ? หรือตั้งใจจะลดน้ำหนัก?” กงเสี่ยวลู่ถามพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้น แต่หลิงหยุนกลับเพียงแค่ยิ้มตอบ แต่ไม่พูดอะไร
“แล้วเธออยากกินอะไรล่ะ? เดี๋ยวครูจะทำให้ทาน..” กงเสี่ยวลู่เดินเข้าไปในห้องครัว
“อะไรก็ได้ครับที่เร็วๆ?” หลิงหยุนทำตัวตามสบายราวกับเป็นบ้านของตัวเอง
เขาต้องการปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องการคุยกับกงเสี่ยวลู่
“ถ้างั้นเดี๋ยวครูทำอะไรง่ายๆให้เธอทานก็แล้วกัน? เธอจะกินบะหมี่ใส่ไข่ หรือว่าใส่หมูดีล่ะ?” กงเสี่ยวลู่ตะโกนถามออกมาจากในครัว
“บะหมี่ใส่ไข่ครับ.. ขอสองใบเลย..” หลิงหยุนตอบกลับอย่างทะเล้น
“…..”
กงเสี่ยวลู่ยืนหน้าแดงอยู่ในครัวพร้อมกับพึมพำว่า “น่าเกลียด..” และกำลังหั่นต้นหอมอยู่จนเกือบจะหั่นเอานิ้วโดนนิ้วของตัวเองเข้า
ทั้งคู่อายุห่างกันถึงสิบปี และยังเป็นครูกับลูกศิษย์อีกด้วย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กงเสี่ยวลู่ได้ลืมอายุของตัวเองไปเสียสนิท
หลิงหยุนได้ยินเสียงหม้อ เสียงทัพพีกระทบกันโช้งเช้ง เขาจึงรีบลุกจากโซฟาไปที่ห้องครัว และยื่นหน้าเข้าไปมองกงเสี่ยวลู่ที่กำลังทำบะหมี่ให้เขาอย่างมีความสุข
“โอ้โห.. หอมจังครับ” กลิ่นต้นหอมที่ผัดอยู่ในกระทะโชยออกมาอย่างหอมหวน
“จะใส่ซอสถั่วเหลืองเพิ่มไม๊?” กงเสี่ยวลู่ร้องถามโดยไม่ได้หันกลับไปมอง
แต่จู่ๆ มือใหญ่ๆของหลิงหยุนก็เอื้อมไปโอบเอวของกงเสี่ยวลู่ ทำให้เธอหวาดกลัวมากจนต้องร้องตะโกนออกไปว่า “อย่าเข้ามาวุ่นวายในนี้..”
หลิงหยุนรีบปล่อยมือจากเอวของกงเสี่ยวลู่พร้อมกับกระซิบข้างหูว่า “ซอสถั่วเหลืองจะใส่ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีเต้าหู้ใส่ลงไปด้วย ผมอยากกินเต้าหู้..”
อาการของกงเสี่ยวลู่เมื่อครู่ไม่แตกต่างจากที่อยู่ในลิฟท์แม้แต่น้อย เธอเริ่มรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง และจิตใต้สำนึกของเธอก็สั่งให้ฟาดทัพพีในมือลงไปบนตัวหลิงหยุน!
ทัพพีที่ยังมีน้ำมันร้อนติดอยู่ฟาดลงไปบนไหล่ข้างซ้ายของหลิงหยุนทันที แต่เขาไม่หลบและยืนมองกงเสี่ยวลู่นิ่ง
เมื่อกงเสี่ยวลู่เห็นว่าหลิงหยุนไม่หลบ เธอจึงตั้งใจที่จะหยุดแต่ก็สายไปเสียแล้ว ทัพพีร้อนๆฟาดโดนไหล่ข้างซ้ายของหลิงหยุนอย่างจัง และน้ำมันก็กระเด็นเลอะเทอะ
“ว้าย..” กงเสี่ยวลู่กรีดร้องด้วยความตกใจ ในขณะที่หลิงหยุนแย่งทัพพีจากมือของเธอไป พร้อมกับพูดยิ้มๆว่า
“ครูครับ.. รสชาติอร่อยดี เพิ่มน้ำอีกหน่อยดีไม๊ครับ?”
กงเสี่ยวลู่มองไหล่ซ้ายของหลิงหยุนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันอย่างรู้สึกเสียใจ และทำอะไรไม่ถูก
“มันร้อนนะ.. เธอเจ็บมากไม๊?” กงเสียงลุ่ถามขึ้นอย่างร้อนใจ
“ผมไม่เป็นไรครับ?”
ด้วยดารกะดายันระดับสิบสอง ความร้อนเพียงแค่นี้ทำอะไรหลิงหยุนไมได้หรอก แต่เสื้อผ้าของเขานี่สิเปื้อนไปหมด
หลังจากการทดสอบทั้งสองครั้ง ในที่สุดหลิงหยุนก็มั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนเอง กงเสี่ยวลู่จะต้องเคยได้รับความเจ็บปวดทางจิตใจอย่างแสนสาหัสมาก่อน และน่าจะมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงด้วย
ตอนนี้เธอกำลังมีอาการป่วยทางจิต.. ขั้นรุนแรงด้วยเสียด้วย!
‘ไม่ผิดจากที่คิดไว้..’ หลิงหยุนแอบคิดในใจเงียบๆ และเขาก็มีวิธีรับมือแล้ว
อาการบาดเจ็บภายในและภายนอกของร่างกาย เขาก็ยังสามารถรักษาให้หายได้ แต่นี่เป็นอาการป่วยทางจิตใจ.. ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายความสามารถของเขาไปอีกแบบ
“ไม่เป็นไรจริงเหรอ.. ใหนขอครูดูหน่อยซิ! แต่เสื้อผ้าก็เปื้อนหมดเลย”
กงเสี่ยวลู่นึกตำหนิตัวเองมากกว่า เธอไม่สนใจอะไรอีก และรีบยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อของหลิงหยุนออก
“โชคดีนะที่ไม่ได้ลวก ดูแล้วก็ไม่มีแผลอะไร?” กงเสี่ยวลู่พูดขึ้น
“เจ็บนิดหน่อย..” หลิงหยุนพึมพำเบาๆ
“ทำไมไม่รู้จักหลบ.. จริงๆเลย?” กงเสี่ยวลู่กัดริมฝีปากจ้องหลิงหยุนด้วยความโมโห
“ผมแค่กอดครู โทษถึงถูกตีเลยเหรอครับ..?”
กงเสี่ยวลู่ได้ยินก็สั่นไปทั้งตัว แต่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เธอโอบครูตั้งหลายครั้ง ครูก็ไม่เคยตีเธอเลย แต่เธอต้องไม่..”
หลิงหยุนถามต่อทันที.. “ต้องไม่อะไรครับ?”
“ต้องไม่มากระซิบใกล้ๆหูของครู ครูจะลืมตัวแล้วก็ทำร้ายเธอ..” กงเสี่ยวลู่สั่นไปทั้งตัวเมื่อพูดประโยคนี้ออกมา
หลิงหยุนเพียงคนเดียวที่สามารถโอบเธอได้ต่อหน้าผู้คน สามารถกอดเอวเธอในลิฟท์ หากเป็นคนอื่นกงเสี่ยวลู่คงจะตบหน้าไปแล้ว!
แต่เพียงแค่นั้นก็นับว่าเกินขีดจำกัดของกงเสี่ยวลู่แล้ว หากหลิงหยุนยังเข้าไปใกล้เธอมากกว่านั้นด้วยการกระซิบข้างหู กงเสี่ยวลู่ก็จะลืมตัวและมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับไปทันที โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัว และควบคุมไม่ได้
หลิงหยุนต้องการจะถามต่อว่าเพราะอะไร? แต่น้ำในหม้อก็เดือดเสียก่อน เขาจึงได้แต่ร้องบอกกงเสี่ยวลู่ไปว่า “ครูครับ น้ำเดือดแล้ว”
“เธอ.. เธอมาที่นี่เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้กับครูไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงได้จงใจแตะเนื้อต้องตัวครูแบบนั้นล่ะ..”
ใบหน้าของกงเสี่ยวลู่แดง ภายใต้ความอับอาย เธอได้แต่คิดในใจว่าเธอไม่ต้องการอดทนอีกแล้ว..
แต่หลิงหยุนกลับบยื่นมืออกไปคว้าเอวของกงเสี่ยวลู่มาโอบไว้อีกครั้ง แล้วพูดติดตลกไปว่า “ผมไม่ได้จะแต๊ะอั๋งครูนะครับบ แต่ผมแค่รู้สึกว่าเอวของครูหนาไปหน่อย กำลังคิดว่าจะช่วยครูลดน้ำหนักได้ยังไงดี!”
ความจริงแล้วถึงแม้กงเสี่ยวลู่จะอายุยี่สิบแปดปีแล้ว แต่เอวของเธอก็เล็กมาก หน้าท้องก็แบนเรียบ และแทบไม่มีไขมันส่วนเกินเลยด้วยซ้ำ