เรือเหาะบินลงมาจากฟากฟ้า หยุดลงเบื้องหน้าทางเข้าโรงเชือด
ประตูเรือเหาะถูกเปิด พร้อมกันกับร่างทั้งสามที่เดินออกมา
เป็นพ่อครัวจากค่ายที่ยี่สิบสามได้แก่ อาวุโสซาง ลุงลู่ และจางเสี่ยวหยุน
“เห็นนั่นไหมจางเสี่ยวหยุน นั่นคือที่ที่เจ้าจะต้องไปทำงานอยู่เป็นเวลาห้าวัน ถึงจะสามารถกลับออกมาได้” ลุงลู่กล่าว
อาวุโสซางกับลุงลู่ย่นจมูก ขมวดคิ้วมองไปทางโรงเชือด
ในอากาศฟุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด และกลิ่นอายนี้มันไม่สามารถใช้พลังวิญญาณแยกออกได้ ดังนั้นชวนให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด
นอกจากนี้ มันยังเป็นสถานที่ที่มอนสเตอร์ตกตายลงเป็นจำนวนมาก เลยส่งอิทธิพลโดยตรงต่อธาตุทั้งห้า และแก่นวิญญาณ ให้เกิดความปั่นป่วน ส่งผลให้ผู้ฝึกยุทธที่คุ้นเคยกับการเชื่อมต่อกับพลังงานจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกรู้สึกวิงเวียน ยากจะปรับตัว
“เสี่ยวหยุน เจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่?” อาวุโสซางถามด้วยความห่วงใย
กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าในตอนนั้นเอง ณ สถานที่ห่างไกลจากภายในโรงเชือด เสียงกรีดร้องน่าหวาดกลัวได้ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
อ๊าก
เลือดกระเซ็นขึ้นไปในอากาศ ละอองเลือดลอยฟุ้งไปทั่ว ตามด้วยเสียงสนทนาสับสนวุ่นวายดังขึ้น
“ฟันตื้นเกินไป แบบนี้ฆ่ามันไม่ได้”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีตอนนี้ ตัวมันสั่นตลอดเวลาเลย ข้ามิอาจหยุดมันได้!”
“ฟันอีก! สับมัน! อย่าหยุดมือ!”
“อ้า มันกัดข้า!”
“ว่ากระไร! เจ้าถูกกัดหรือ? เร็วเข้า! เร่งไปตามตัวผู้ฝึกยุทธบังคับกฎมา มีคนถูกกัด!”
กระแสแสงพวยพุ่งจากบริเวณนั้น และหายไปยังทิศทางหนึ่ง
ทว่าละอองเลือดก็ยังสาดกระเซ็นออกมาอีกครั้งจากในบริเวณดังกล่าว มันย้อมตลอดทั้งพื้นที่ใกล้เคียงให้กลายเป็นสีแดงฉาน
เสียงที่ฟังดูเย็นชาดังขึ้น
“ศพของมอนสเตอร์ทิ้งเอาไว้ที่นี่ ส่วนศพคนพาออกไปได้”
“พวกเจ้าที่เหลือ จงทำงานต่อ”
แล้วเสียงก็หายไป
โรงเชือดกลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
ทว่ากลิ่นอายของเลือดในอากาศ ดูเหมือนจะหนา และหนักขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ลุงลู่ยืนอยู่นอกโรงเชือด อดไม่ได้ที่จะหดตัวถอยกลับไป ทั้งคนทั้งร่างสั่นระริก
เขาพยายามดึงแขนอาวุโสซาง ฝืนยิ้มออกมา “เสี่ยวหยุนมันไม่มีคำถามอะไรหรอก มันยังเด็กนัก เด็กๆ น่ะแข็งแรง เหมาะกับงานแบบนี้อยู่แล้ว พวกเราเองก็รีบกลับกันเถอะ”
อาวุโสซางยังไม่สบายใจ เขาหันไปมองกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว “จางเสี่ยวหยุน ขอแค่ห้าวัน จงอดทนให้ได้ แล้วข้าจะมารับเจ้ากลับไปยังค่าย…”
แต่แล้วเสียงของเขาก็ขาดห้วงไป ทั้งคนทั้งร่างแข็งค้าง
เพราะในสายตา เห็นแค่เพียงจางเสี่ยวหยุนยืนอยู่ในสถานที่เดิม กำลังสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
“อา…กลิ่นเลือดแบบนี้…มันชวนให้คิดถึงจริงๆ…”
สองตาของเขาหรี่แคบลง สีหน้าแสดงออกถึงความสนอกสนใจ ทำทีราวกับว่าตนกำลังยืนอยู่หน้าตลาดสดที่มีชีวิตชีวา โหยหาวัตถุดิบด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จางเสี่ยวหยุนก้าวไปข้างหน้าและกล่าว “มันเป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย ข้าจะไปแล้วนะ อ๋า? อาวุโสซาง ลุงลู่ เหตุใดพวกท่านถึงยังไม่กลับกันอีก?”
“…” อาวุโสซาง
“…” ลุงลู่
“พวกท่านโปรดมั่นใจ ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ห้าวันหลังจากนี้ข้าจะต้องรอดกลับไปหาพวกท่านอย่างแน่นอน” จางเสี่ยวหยุนยิ้มให้กับคนทั้งสอง
ลุงลู่อดไม่ได้ที่จะโค้งตัวลง และพยายามทำน้ำเสียงอ่อนแรง คล้ายคนแก่ที่มิอาจต่อสู้กับมอนสเตอร์ได้ “เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว และจะมาพบกับเจ้าในอีกห้าวันถัดไป”
“ขอรับ อีกไม่นานประเดี๋ยวก็ได้เจอกัน”
กู่ฉิงซานโบกมือลา ก้าวออกมาข้างหน้า ตรงสู่ทางเข้าโรงเชือด ยื่นตราประจำตัวให้ผู้ฝึกยุทธตรวจสอบ และหายเข้าไป
อาวุโสซางกับลุงลู่มองดูแผ่นหลังเขาจนหายลับ ก็ยังคงเงียบ ไม่พูดไม่จา
สักพักหนึ่งเลย อาวุโสซางจึงค่อยเอ่ยปาก “ตาแก่ลู่ ฟังข้าให้ดี กับชายหนุ่มผู้นี้เจ้ามิอาจเข้าไปวุ่นวายกับเขาได้อีก ในอนาคต คนหนุ่มทั้งหมดก็จะต้องจากไปอยู่แล้ว ทว่าหากเจ้ามีเรื่องมีราวก่อนที่ชายหนุ่มคนนี้จะจากไป ข้าคงมิอาจช่วยอะไรเจ้าได้”
ลุงลู่มิได้กล่าวคำใด เพียงพยักหน้าอีกครั้ง และอีกครั้ง
…
กู่ฉิงซานเดินเข้าไปในโรงเชือด และถูกพาตัวเข้ามาในสำนักงานของผู้ฝึกยุทธ
มันเป็นสำนักงานของผู้ฝึกยุทธสกุลหลี่ ด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร น้ำเสียงก็เย็นชา ทุกคนรอบตัวเขาจึงพากันเรียกคนคนนี้ว่า ผู้ดูแลหลี่
เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานยังเด็กอยู่ ผู้ดูแลหลี่ก็ยังรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ และถามคำถามเขาไปสองสามคำ
ในระหว่างสนทนา กู่ฉิงซานก็ได้รู้ว่าเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ ที่บอกให้ลากศพออกไป มันเป็นเสียงของผู้ดูแลหลี่ นั่นเอง
ดูเหมือนว่าในโรงเชือดแห่งนี้ ผู้ดูแลหลี่จะเป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุด
“จางเสี่ยวหยุนใช่ไหม ข้ามีอะไรบางอย่างจะเอ่ยกับเจ้าให้มันชัดเจน”
“ท่านผู้ดูแลเชิญชี้แนะ”
“เอาล่ะ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หากเจ้าจ่ายให้ข้า เจ้าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้ง่ายขึ้นในช่วงห้าวันหลังจากนี้”
กู่ฉิงซานตกใจเล็กน้อย “เรียนถามท่านผู้ใหญ่ ‘ง่าย’ ที่ว่านี่หมายความว่า…”
ผู้ดูแลหลี่ร้อนใจเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่ดูท่าทีก็เป็นคนฉลาด ไฉนเวลาสื่อสารถึงได้ยากเย็นนัก?
เขากล่าวด้วยความอดทนว่า “ยกตัวอย่างเช่น จำนวนมอนสเตอร์ที่ต้องสังหารลดลง มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ตราบใดที่เจ้ามอบศิลาวิญญาณให้ข้ามากพอ ข้าสามารถทำได้แม้กระทั่งให้เจ้ามิต้องสัมผัสตัวของมอนสเตอร์ในตลอดทั้งห้าวัน พอครบเวลา เจ้าก็สามารถกลับไปได้”
กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก สุดท้ายยิ้มออกมา “ท่านผู้ใหญ่ หากเป็นในกรณีนี้ ข้าคงไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ท่านหรอก”
สิ้นเสียง ภายในห้องพลันเงียบงัน
ผู้ดูแลหลี่ขมวดคิ้ว แต่ก็ยิ้มแล้วทอดถอนหายใจทันใด “เฮ้อ…เจ้ายังเด็กนัก ในหัวคงเต็มไปด้วยจินตนาการเพ้อฝันว่าจักสามารถรอดชีวิตไปได้ง่ายๆ สินะ เอาเถิด เจ้าลงไปรอข้างล่างให้คนมารับตัวเถอะ”
“ขอรับ”
กู่ฉิงซานประสานกำปั้นและถอยออกมาจากห้อง
เฝ้ารออยู่ข้างนอกเพียงไม่นาน ผู้ฝึกยุทธสองคนก็เดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา
“จางเสี่ยวหยุนใช่หรือไม่?”
“เป็นข้า”
“มากับพวกเรา”
“รับทราบ”
แล้วทั้งคู่ก็พากู่ฉิงซานผ่านรั้วเปื้อนเลือดและโรงเชือด หลังจากเดินไปสักพักก็มาถึงคุกใต้ดิน
สองผู้ฝึกยุทธเปิดประตูเหล็กที่ทั้งหนาและหนัก และใช้ตราประจำตัวอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อปลดชุดค่ายกลป้องกัน
แสงสีแดงพลันสว่างวาบ เสียดแทงขึ้นมาจากใต้ดิน
เป็นแสงสีแดงเลือด ที่มีอำนาจแปลกประหลาด มันสามารถคงสภาพหลงเหลืออยู่ในอากาศได้ แม้จะผ่านไปนานแล้วก็ตามที
สีหน้าของสองผู้ฝึกยุทธกลายเป็นเคร่งเครียด
“เอาล่ะ จางเสี่ยวหยุน เจ้าลงไปได้” หนึ่งในนั้นกล่าว
“เบื้องล่างนี้ คือสถานที่ทำงานของเจ้า และเจ้าจะสามารถออกมาได้ในอีกห้าวันให้หลัง” อีกคนกล่าว
“ตกลง”
กู่ฉิงซานเดินลงไปตามขั้นบันได
ปั้ง!
เบื้องหลังเขา ประตูเหล็กถูกดึงกลับมา ปิดสนิท
จากนั้น ชั้นค่ายกลป้องกันก็ถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง
คุกใต้ดินถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอีกครา
สองผู้ฝึกยุทธที่ยืนอยู่หน้าทางเข้า ผ่อนลมหายใจโดยพร้อมเพรียง คล้ายกับนัดกันมาล่วงหน้า
“คงตายไปอีกหนึ่งแล้ว” ผู้ฝึกยุทธกล่าว
“ไม่ต้องสนใจหรอก เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็รับทราบถึงอันตรายของการแล่เนื้อมอนสเตอร์ดี ดังนั้น หากมีตายเพิ่มขึ้นอีกสักคน คงไม่ได้เป็นการดึงดูดความสนใจอะไร” อีกผู้ฝึกยุทธกล่าว
“เจ้าหนุ่มนั่นก็โง่เหลือเกิน ดันปฏิเสธความหวังดีของท่านผู้ดูแล ไม่เคารพท่าน ไม่ยินยอมมอบศิลาวิญญาณให้ ท่านผู้ดูแลเลยส่งเขาลงไปยังคุกใต้ดินซึ่งเป็นสถานที่อันตรายที่สุด”
“แม้ว่าจะไม่เคารพ แต่อย่างน้อยมิสมควรเกิดความขัดแย้งกับผู้ที่เหนือกว่า ถ้าทำเช่นนั้น เขาก็จะได้พักผ่อนหลังจากการสังหารมอนสเตอร์แค่วันละสิบตัว”
“ลืมมันเถิด เด็กคนนั้นถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน ต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ทุกตัว มอนสเตอร์ที่กระทั่งบางตนพวกเราก็ยังไม่อาจสังหารลงได้ โชคชะตาของเขาคงจบสิ้นลงแล้ว”
ว่าจบ ทั้งสองก็ถอนหายใจยาวกันอีกที และเดินจากไป
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานเดินลงมาตามทาง เขาอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เจ้าตัวกำลังหลับตา และใช้สัมผัสรับรู้อย่างสงบ
ที่นี่ไม่ได้ห้ามให้ผู้ฝึกยุทธใช้จิตสัมผัสเทวะ ดังนั้น จิตสัมผัสเทวะจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำในสถานที่แห่งนี้
ในการรับรู้ทางจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน คุกใต้ดินมีทั้งสิ้น สิบแปดชั้น ยิ่งลึกลงไป ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ
ฉานนู่โผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา และคอยรับหน้าที่ลอยอยู่เบื้องหน้า
“นายน้อย คนคนนั้นคิดร้ายกับท่าน” เธอกล่าวอย่างอารมณ์เสีย
“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะดูท่าว่าเขาเองก็คงไม่มีหลักจริยธรรมอยู่แล้ว ต่อให้พวกเราทำทีเป็นเคารพหรือมอบศิลาวิญญาณให้ ผลก็คงไม่ต่างกันมากนัก” กู่ฉิงซานกล่าว
“จากนี้ไป พวกเราจะต้องสังหารมอนสเตอร์กันจริงๆ ใช่หรือไม่?” ฉานนู่เอ่ยถาม
“ใช่ เพราะเดิมทีนั่นก็เป็นจุดประสงค์ของข้าอยู่แล้ว”
กู่ฉิงซานก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
ภายในอุโมงค์ทางเดิน มันทั้งมืดและแคบ แทบจะไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากรั้วกั้นทั้งสองฟากฝั่ง
กู่ฉิงซานเดินไปที่รั้วแรก และมองเข้าไปภายใน
และแล้ว มอนสเตอร์บรรพกาล ‘เหยื่อ’ ตนแรกก็ปรากฏสู่สายตาของเขา!
………………….