ภายในรั้ว เลือดสีแดงหยดย้อยลงจากเชือกดักมาร
แม้จะถูกกล่าวเป็นเชือก แต่แท้จริงเชือกดักมารเป็นโซ่โลหะที่คอยรัดอยู่ตามแขนขาของมอนสเตอร์อย่างแน่นหนา ภายในยังอัดแน่นไปด้วยอักษรรูนโบราณ กระจายไปทั่วเส้นสีดำหมึกของมัน
มอนสเตอร์ส่งเสียงครวญครางเป็นครั้งคราว มันดิ้นรน พยายามสะบัดเชือกดักมาร ด้วยการเคลื่อนไหวของมัน ส่งผลให้เชือกกระทบเข้ากับผนัง เกิดเป็นเสียงโลหะอันหนักทึบ
อีกด้านหนึ่งของเชือก เชื่อมกับผนังคุกใต้ดินอย่างแน่นหนา ปลายของมันทอดยาวลึกลงไปยังผืนดินเบื้องล่าง กู่ฉิงซานเริ่มสำรวจมอนสเตอร์
เขาพบว่า มันช่างคล้ายกันกับมนุษย์นัก
นี่คือความคิดแรกที่เข้ามาในใจของกู่ฉิงซาน
ทว่าพอได้ลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิด จะพบว่ามันไม่ใช่
เมื่อเทียบเปรียบกับมนุษย์แล้ว มอนสเตอร์ตัวนี้ไม่มีผิวหนัง
กล้ามเนื้อสีแดงเปลือยเปล่าอยู่ด้านนอก และในบางจุดก็โผล่ให้เห็นถึงกระดูกขาวโดยตรงเลยก็มี
ในปากของมัน เต็มไปด้วยซี่ฟันอันแหลมคม ลากยาวจรดใบหู
ทว่าไร้ซึ่งดวงตา
กู่ฉิงซานมองมอนสเตอร์ตนนี้ และจมลงสู่ห้วงความคิด
มอนสเตอร์ตัวนี้แตกต่างจากเนตรมารบรรพกาล ชัดเจนว่ามันมีรูปลักษณ์คล้ายกับเผ่าพันธุ์มนุษย์
“กี…”
มอนสเตอร์แผดเสียงร้องครวญคลั่งใส่กู่ฉิงซาน
ดาบเช่าหยินพลันกะพริบไหว
ศีรษะของมอนสเตอร์ถูกสะบั้นแยกจากลำตัวทันที
เสียงดังโวยวายเงียบลง
เชือกดักมารเมื่อตรวจพบว่ามอนสเตอร์ตายแล้ว มันก็แยกย้าย กระจัดกระจายออกจากร่างศพทันที
กู่ฉิงซานเดินข้ามรั้ว และเริ่มทำการแยกชิ้นส่วนของมอนสเตอร์
ดูเหมือนว่าในเลือดของมอนสเตอร์จะมีของเหลวบางชนิดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ดาบเช่าหยินที่สะบั้นหัวมันจึงรู้สึกระคายเคืองและส่งเสียงหึ่งๆ เล็กน้อย
กู่ฉิงซานได้ยินมันบ่น
ดังนั้น เขาจึงไม่คิดใช้ดาบยาวอีก แต่เริ่มต้นใช้เจตดาบในดวงตาแทน แปรเปลี่ยนเป็นปราณดาบคมกล้าในอากาศที่ว่างเปล่า และเริ่มเฉือนร่างศพของมอนสเตอร์ทีละชั้น ทีละชั้น
เห็นแค่เพียงปราณดาบเปิดช่องท้องออก ตัดตามแนวยาวเป็นเส้นตรง ผ่านขึ้นไปถึงทรวงอก
…ทรวงอกของมอนสเตอร์ เนียนและแบนราบ มีบ้างที่เกิดรอยยับย่นขึ้นตามผิวหนังเนื่องจากการหายใจออก และหายไปในทันที เมื่อหายใจเข้า
มันไม่มีอวัยวะภายในงั้นหรือนี่?
กู่ฉิงซานเกิดความงุนงงเล็กน้อย
ดวงตาของกู่ฉิงซานเบนลงมาบนนิ้วตนเอง
แล้วทันใดนั้นปลายนิ้วหัวแม่มือก็ถูกเฉือนออกนิดหน่อย
กู่ฉิงซานบีบเลือดของตัวเองออกมาหยดหนึ่ง แล้วดีดเข้าไปในทรวงอกของมอนสเตอร์
ทันใดนั้นเอง ทรวงอกของมอนสเตอร์ก็พลันขยับไหว มันเริ่มบิดตัว ยุบๆ พองๆ อย่าบ้าคลั่ง!
หากมิใช่เพราะว่าหัวของมอนสเตอร์ถูกฟันขาดไปแล้ว กู่ฉิงซานคงคิดว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่
“ดูเหมือนว่าในส่วนทรวงอกของมันกับส่วนช่องท้องจะเชื่อมต่อกัน หมายความว่าในทั้งส่วนนี้น่าจะเป็นกระเพาะอาหาร…แม้จะมีรูปลักษณ์คล้ายกัน แต่ภายในตัวของมอนสเตอร์กลับแตกต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง” กู่ฉิงซานพึมพำ
โดยไม่รู้ตัว กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา
พอโล่งอก กู่ฉิงซานก็จัดแจงร่างศพของมอนสเตอร์ให้เรียบร้อยและเป็นระเบียบ
เขาเดินกลับไปที่รั้วใกล้ๆ และเริ่มเปิดใช้งานค่ายกลที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ที่นั่น
ร่างศพของมอนสเตอร์ถูกส่งออกไปทันที
มอนสเตอร์ตัวแรกได้ถูกสังหารลงแล้ว
กู่ฉิงซานเดินไปยังรั้วถัดไป
ก็ยังคงเป็นมอนสเตอร์ที่ถูกตรึงอยู่ภายใน ทว่าคราวนี้ มอนสเตอร์กลับมิได้มีรูปลักษณ์ของมนุษย์อีกต่อไป ตามร่างกายของมัน เต็มไปด้วยหัวกะโหลกที่ผุดขึ้นมา
เอ่อ …
นี่เหล่าผู้ฝึกยุทธจะต้องกินไอ้ตัวแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ?
กู่ฉิงซานคิดในใจ ขณะเดียวกันก็สำรวจอีกฝ่าย
เงาดาบออกมาจากดวงตาของเขา ฟันลากยาวเป็นเส้น สะบัดหั่นมอนสเตอร์เป็นชิ้นๆ
แล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ถูกกระตุ้นใช้งานอีกที
ในพริบตาเดียว ร่างศพของมอนสเตอร์ก็หายไป
กู่ฉิงซานก้มลงมองหน้าต่างเทพสงคราม
และพบว่าแต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนว่าตามเกณฑ์ตัดสินของระบบเทพสงคราม กระทั่งความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ในชั้นหนึ่งก็ยังมิได้อ่อนแอกว่าเขา
ซึ่งคุกใต้ดิน โดยสิ้นเชิงแล้วมีถึงสิบแปดชั้น …
…มันจักเป็นมอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใดกันหนอ ที่อยู่ลึก ลึกลงไปในชั้นล่างๆ
กู่ฉิงซานมองไปทางภารกิจเทพสงคราม และพบว่าจำนวนตัวเลขเป็น สอง
นี่หมายความว่าต่อให้พวกมันจะถูกตรึง และอยู่ในสภาพสู้ไม่ได้ แต่ก็นับว่าเขาฆ่าได้สองตัวอยู่ดี
กู่ฉิงซานเดินไปยังรั้วที่สาม
…
เวลาผ่านพ้นไปกว่าครึ่งก้านธูป
มอนสเตอร์ในชั้นแรกห้าตัว ถูกล้างบางจนเรียบโดยกู่ฉิงซาน
เขายืนอยู่ตรงทางเข้าลึกลงไปในชั้นใต้ดินถัดไป
ปรากฏถึงค่ายกลอันยอดเยี่ยมถูกติดตั้งอยู่ที่นี่ และมันอนุญาตให้เฉพาะเพียงเผ่ามนุษย์ผ่านเข้าไปเท่านั้น ‘เผ่าพันธุ์อื่น’ ล้วนถูกปฏิเสธ
แม้ว่าจะยังมีเวลาเหลือล้นกว่าห้าวันเต็ม แต่ในความรู้สึกของเขา ยิ่งมีแต้มพลังวิญญาณในมือรวดเร็วเท่าใด ภารกิจมันก็ยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นเท่านั้น กู่ฉิงซานจึงไม่คิดเสียเวลาแม้เพียงน้อย เข้าไปในค่ายกลเพื่อมุ่งหน้าสู่ชั้นถัดไปโดยตรง
ในชั้นนี้ ก็ยังคงเป็นมอนสเตอร์ บางทีหากไม่มีเชือกดักมารตรึงเอาไว้ พวกมันคงจะแข็งแกร่งมาก ทว่าหากถูกเชือกตรึงไว้แล้วละก็…คงได้แต่ทำใจเฝ้ารอความตายเท่านั้น
กู่ฉิงซานสังหารมอนสเตอร์กว่ายี่สิบเอ็ดตัวอย่างขะมักเขม้น แต่ขณะเดียวกันก็คอยระแวดระวังตลอดเวลา
ลงต่อไปยังชั้นสาม…
มุ่งลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชั้น เก้ากู่ฉิงซานจึงค่อยหยุด
แม้ว่า ณ จุดนี้จะเป็นเพียงชั้นเก้า แต่มอนสเตอร์ที่นี่ มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กู่ฉิงซานเปิดใช้งานดาบในดวงตา ส่งปราณดาบหั่นลงบนร่างกายของมอนสเตอร์ แต่กลับพบว่ามันปรากฏให้เห็นแค่รอยถากๆ สีขาวเท่านั้น และรอยที่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ หากมันอยู่ในสภาพพละกำลังเต็มเปี่ยม เหตุการณ์คงกลับตาลปัตร กลายเป็นกู่ฉิงซานซะเองแล้วที่ถูกมันไล่ฆ่าเอาฝ่ายเดียว
กู่ฉิงซานมองมอนสเตอร์ที่ถูกมัดอยู่ และเร่งเปิดใช้งานสกิลหัวใจแห่งดาบสุดกำลัง
ทั้งคนทั้งร่างของมอนสเตอร์สั่นสะท้าน และแข็งค้างไป
นั่นเพราะสกิลหัวใจแห่งดาบ ได้ข้ามผ่านเนื้อหนัง และมุ่งเข้าโจมตีจิตวิญญาณของมันโดยตรง
ดาบเช่าหยินในมือถูกโบกสะบัด
แล้วหัวของมอนสเตอร์ที่ไร้ซึ่งจิตนึกคิดที่จักป้องกันตนก็ร่วงตกลง
และการผ่าศพก็ยังคงดำเนินต่อไป
แต้มพลังวิญญาณเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภารกิจยังคงดำเนินต่อจนกว่าจะลุล่วง
ชั้นที่ สิบ
ชั้นที่ สิบเอ็ด
ชั้นที่ สิบสอง
ยิ่งลึกลงมาเท่าไหร่ เสียงโวยวายก็ยิ่งสงบลงมากขึ้นเท่านั้น
จนในเวลานี้ ต่อให้มอนสเตอร์เห็นเขา พวกมันก็ไม่คิดส่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญอีกต่อไป
เมื่อมาถึงชั้นที่ สิบสามมอนสเตอร์บรรพกาลทั้งสามตนเพียงมองมาทางกู่ฉิงซานอย่างเฉยชา เฉกเช่นเดียวกันกับที่เขามองพวกมัน
สิ่งนี้ค่อนข้างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากในคุกใต้ดินชั้นก่อนๆ
ปรากฏถึงเลือดที่ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด กองอยู่กับพื้น เจิ่งนองเป็นแอ่งจนมีขนาดความสูงถึงช่วงหัวเข่าของมนุษย์
พื้นที่ในชั้นนี้มิได้กว้างขวางแต่อย่างใด ทว่าทุกผนังในแต่ละด้าน มันถูกสลักเต็มไปด้วยอักษรรูนโบราณ
ร่างของมอนสเตอร์ทั้งสาม ถูกมัดไว้ด้วยเชือกดักมารกว่า เจ็ดถึงแปดสาย ขณะเดียวกันก็ถูกตรึงไว้กับผนัง
และตลอดทั้งชั้นที่ สิบสามทุกๆ จุด มันถูกติดตั้งไว้ด้วยค่ายกลกักขังขนาดใหญ่!
มอนสเตอร์ทั้งสามตนนี้มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ทว่าพวกมันมีเขาแหลมอยู่บนหัว และไม่มีกล้ามเนื้อบนใบหน้า ฉะนั้นเลยเผยให้เห็นถึงกระดูกสีขาวโดยสิ้นเชิง
กู่ฉิงซานยืนอยู่กลางอากาศ
เขาโบกสะบัดดาบเช่าหยินด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนมี
เจ็ดถึงแปดรังสีดาบสาดแสงเย็นเยียบ ตัดเข้าใส่คอของหนึ่งในมอนสเตอร์ที่ถูกตรึงเอาไว้
เมื่อกระทบกับเป้าหมาย รังสีดาบก็กระจัดกระจายออกไป ทว่า ..
บนต้นคอของมอนสเตอร์ที่ถูกฟัน มันมิได้ถูกตัดขาด กระทั่งบาดแผลหรือร่องรอยใดๆก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเริ่มงัดออกด้วยสกิลฝ่าวารีเชี่ยว ตัดจันทรา เจ็ดดารา มังกรวิหกธารา วาดเงา กลืนกินหวนกลับ กระแสธารอันยิ่งใหญ่ ประทับดารา และล่าชีพ ทุ่มสุดตัว สุดกำลังโถมฟาดฟันเข้าใส่มอนสเตอร์
หนึ่งกระบวนท่านักดาบนิรันดร์และแปดเทคนิคลับแห่งดาบสับลงอย่างหนักหน่วงใส่มอนสเตอร์ จนคราวนี้สามารถทำให้มันส่งเสียงร้องออกมาได้สำเร็จ
“อา…”
ร่างของมอนสเตอร์สั่นเล็กน้อย
ในที่สุด กู่ฉิงซานก็สามารถสร้างร่องรอยสีขาวเล็กๆ จางๆ ที่แทบจะไม่สังเกตเห็นได้เป็นผลสำเร็จ
แต่เพียงพริบตาเดียว ร่องรอยสีขาวนั้นก็ได้สลายหายไปโดยสิ้นเชิง
กู่ฉิงซานส่ายหัว และยอมเก็บดาบกลับคืน
อาศัยเพียงความแข็งแกร่งในขอบเขตลมปราณจิต เหมือนว่าจะสามารถทำได้แค่ลงมาถึงชั้น สิบสามเท่านั้น
หากมอนสเตอร์ทั้งสามตนอยู่ในสภาพดี หากหลุดออกไปข้างนอก ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน เกรงว่าคงสามารถสั่นสะท้านไปทั้งผืนแผ่นดิน
เขาไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังเพียงใดกันนะ ถึงจะสามารถจับกุมตัวมอนสเตอร์ทั้งสามตนนี้ได้
แต่คาดว่าเซี่ยกู่หงส์น่าจะทำได้
กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ ระหว่างลอยในอากาศ เขาก็นั่งไขว่ห้าง และเริ่มทำสมาธิ
ในเวลานี้ เขารวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้เป็นปริมาณประมาณหนึ่งล้านแล้ว
หลังจากที่ใช้แต้มพลังวิญญาณไปเล็กน้อย กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึงเทคนิคฝึกยุทธในขอบเขตลมปราณจิต
เขาเริ่มตัดผ่านทันที
ในช่วงกลางของคุกใต้ดินชั้นที่สิบสามเขาลอยอยู่เหนือแอ่งเลือด และเริ่มตัดผ่านขอบเขตย่อยต่อหน้ามอนสเตอร์บรรพกาลทั้งสามซึ่งครอบครองพลังอันน่าหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้
เวลาไหลผ่านไป
หนึ่งก้านธูปผ่านพ้น กู่ฉิงซานลืมตาของเขาอีกครั้ง
เจ้าตัวสามารถยกระดับขึ้นเป็นขอบเขตลมปราณจิตขั้นกลางได้ในที่สุด
และเนื่องจากเขาสามารถสังหารมอนสเตอร์บรรพกาลได้มากกว่า หนึ่งร้อยตัว ดังนั้นภารกิจเทพสงครามจึงเสร็จสมบูรณ์
บนหน้าต่างเทพสงคราม บรรทัดแสงหิ่งห้อยกำลังเด้งแจ้งเตือนอยู่
“คุณได้บรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ เทคนิคสนับสนุนชีวิตสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน”
“ตอนนี้ คุณได้ทำการปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าในขั้น สี่ ‘ฝันร้าย’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ฝันร้าย หลังจากที่สัมผัสกับพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนของคุณ จิตสำนึกของศัตรูจะจมอยู่ในห้วงความฝันเป็นระยะเวลาสั้นๆ จะสูญเสียการควบคุมร่างกายเป็นเวลา ห้าวินาที สกิลนี้จึงสิ้นสุดลง”
“คำอธิบาย นี่คือเทคนิคสนับสนุนชีวิต เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยกระดับขึ้นจาก สูญสิ้นการควบคุม ไม่ยอมอ่อนข้อ ตัดขาดการเชื่อมต่อ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่ได้รับการยกเว้น!”
กู่ฉิงซานมองเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กตรงหน้า ปากอ้าถอนหายใจยาว
เขารู้สึกพึงพอใจอย่างถึงที่สุด
เพื่อที่จะบรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ อันที่จริง ตนสมควรต้องกระโจนออกไปเข่นฆ่าในสนามรบ
แต่ใครจะรู้ ว่าไม่นาน เขาดันสามารถจบมันลงได้ซะแล้ว
ต้องขอบคุณโรงเชือดจริงๆ ที่ช่วยให้เขาได้รับพลังทรงอำนาจถึงเพียงนี้มาไว้ในครอบครองได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการสังหาร ความรู้สึกภายในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับเต็มไปด้วยคำถาม
จากจุดเริ่มต้นในชั้นแรก กู่ฉิงซานรู้สึกว่า ที่นี่มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงที่จะใช้สำหรับการผนึก
ที่ผนึกก็เพราะฆ่าไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากการผนึก
อันที่จริง ในชั้นที่สิบสองกู่ฉิงซานเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้มาก่อน
ณ ชั้นที่สิงสองในช่วงที่มอนสเตอร์ทั้งห้าถูกโจมตี บนร่างกายของมันจะปรากฏร่องรอยสีขาวที่ดูบิดเบี้ยวขึ้นโดยอัตโนมัติ
และดาบเช่าหยินเองก็ไม่อาจเจาะเข้าไปในร่องรอยที่ว่านั่นได้
กู่ฉิงซานเลยต้องอาศัยพลังศักดิ์สิทธิ์แหกกฎของดาบขุนเขาเทวะ จึงสามารถสังหารมอนสเตอร์ทั้งห้าลงได้
ในตอนที่พวกมันตาย คล้ายกับว่าในสายตาของพวกมัน เผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกตนจะถูกฆ่าตาย
แต่ในคราวนี้ ภายในชั้นที่ สิบสามกระทั่งดาบขุนเขาเทวะก็ยังมิอาจเจาะเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์ได้ ผิวหนังของพวกมันมีอำนาจอันยิ่งใหญ่คอยปกป้องอยู่
มันคืออำนาจในการยับยั้งอันบริสุทธิ์ เป็นตัวแทนของอำนาจอันทรงพลานุภาพที่เหนือยิ่งกว่าความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน!
กู่ฉิงซานเองก็ตระหนักถึงจุดนี้ เขาจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะสังหารมอนสเตอร์
แต่ในไม่ช้า เขาก็ตระหนักได้ถึงอีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือ ตอนนี้เขาอยู่ชั้นสิบสามทว่าที่นี่มันมีทั้งหมดสิบแปดชั้น
เขานึกภาพไม่ออกเลย ว่ามอนสเตอร์บรรพกาลตนใดกัน ที่ถูกผนึกไว้ในชั้นที่สิบแปด
กู่ฉิงซานส่ายหัว และถอนหายใจ แต่ทันใดนั้นเองคำพูดหนึ่งก็ดังลอดเข้ามาในหูของเขา
“น่าสนใจจริงๆ สหายตัวน้อยผู้นี้สามารถฆ่าสังหารมาได้ตลอดทางเลย”
กู่ฉิงซานพลันแข็งค้าง
ทว่าเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถ ควบคุมสีหน้ามิให้เกิดความเปลี่ยนแปลง สองตาของเขายังคงหลับสนิท ราวกับไม่ได้ยินเสียงใด
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “พวกเรากินมัน มันก็กินพวกเรา นี่ก็ยุติธรรมดีแล้วนี่”
จากนั้นก็เป็นอีกเสียงหนึ่ง
“เพราะมันยังมิได้กินเจ้าต่างหาก ยามนี้เจ้าถึงได้รู้สึกว่ายุติธรรม”
บนผนัง สามมอนสเตอร์เริ่มเปล่งเสียงกระซิบสนทนากัน
พวกมันกำลังพูดภาษาบรรพกาล…
……………………