ร่างของเจียงหลีถูกสะบัดขึ้นกลางอากาศ โชคดีที่หนานอู๋เฮิ่นคว้าข้อมือข้างหนึ่งของนางเอาไว้ทันท่วงที
แต่ทว่าเรือสมุทรกลับโคลงเคลงอย่างรุนแรง แม้กระทั่งหนานอู๋เฮิ่นเองยังประคองร่างให้มั่นคงยังลำบาก แล้วจะให้เขาจับเจียงหลีให้มั่นได้อีกหรือ
ข้อมือข้างขวาของเจียงหลีสั่นไหว จากนั้นจูเสียก็ปรากฏออกมากลายเป็นแส้ยาวสีม่วงอยู่ภายในเงื้อมมือของนาง เมื่อนางเหวี่ยงแส้ไปข้างหลัง แส้เส้นยาวก็เกี่ยวพันเข้ากับเสากระโดงเรือ
เมื่อเห็นว่าเจียงหลีมั่นคงดีแล้วหนานอู๋เฮิ่นจึงปล่อยมือและมือทั้งสองข้างกลายเป็นกรงเล็บคมยึดด้านข้างของเรือและเดินไปที่ห้องโดยสารทีละก้าว “รีบปล่อยพลังวิญญาณออกมาเร็วเข้า เพิ่มน้ำหนักของตัวเรือ พยายามทำให้มันคงที่”
เจียงหลีเม้มริมฝีปากและพยักหน้า ยากักที่จะเห็นสีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้าสวยยั่วเย้า
บนเรือลำนี้มีเพียงพวกเขาสองคน การเดินทางปกติจะอาศัยเข็มทิศนำทางและยังมีหินวิญญาณที่ใช้แล่นได้ด้วยตนเองอีกด้วย แล้วสถานการณ์ในตอนนี้เรือเดินสมุทรถูกคลื่นใหญ่ซัดเสียจนออกจากเส้นทางเดินเรือ แน่นอนว่าต้องเป็นหนานอู๋เฮิ่นที่ถือหางเสือให้เรือกลับเข้ามาในเส้นทางดังเดิมด้วยตัวเอง
เจียงหลีตกลงไปบนดาดฟ้าของเรือ แสงสีทองพร่างพราวไปทั่วทั้งร่างของนาง ราวกับดาวตกลงไปในทะเลก็มิปานที่ส่องสกาวเด่นชัดบนผืนทะเล
นางสวมเกราะเสวียนกังเอาไว้บนร่าง พลังวิญญาณกระจายไปทั่วทั้งเรือเพื่อเพิ่มน้ำหนักของตัวเรือ แต่ทว่าก็ยังไม่พออยู่ดี คลื่นใหญ่ฉับพลันยังคงทำให้เรือพัดโหมกระพืออย่างง่ายดาย
“เคล็ดวิชาอวี้ซาน!” เจียงหลีกระซิบเสียงต่ำ
นางใช้เคล็ดวิชาอวี้ซานบนเรือเดินสมุทรซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวเรือ
จึงทำให้เรือมีความมั่นคงขึ้นมาเล็กน้อย
และในขณะนั้นเองฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ราวกับฟ้ารั่ว น้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุดตกลงมาจากรอยแยก
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักบนดาดฟ้าทำให้เกิดเสียง “เปาะแปะ” และมันตกใส่เจียงหลีราวกับว่าโดนก้อนหินขว้างปาอย่างแรงก็มิปาน
“หลียาโถว เกาะให้มั่น!” หนานอู๋เฮิ่นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมหางเสือบนเรือ เขาเร่งความเร็วและต้องการผ่านพื้นที่พายุฝนนี้โดยเร็วที่สุด
เขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนสภาพน่าเวทนา
พายุฝนโหมกระหน่ำและคลื่นลูกใหญ่ซาดซัดเข้ามาในเรือยิ่งทำให้เขาเปียกไปทั่วสรรพางค์กาย
“น้ำมา…” เจียงหลีตะโกน นางกางนิ้วทั้งห้าออกราวกับสุ่มจับน้ำทะเลที่เข้ามาในเรือ ฝนที่ตกลงบนเรือรวมตัวกันอยู่ภายในมือของนาง
เมื่อน้ำรวมตัวกันเป็นก้อนกลมในมือของนางแล้วจึงกระซิบเสียงเบา “น้ำไป…!”
มวลน้ำนั้นพุ่งออกมาจากมือของนาง ทันใดนั้นก็กลายเป็นมวลน้ำก้อนใหญ่มหาศาลที่ปกคลุมไปทั่วเรือทั้งลำเพื่อบดบังการโจมตีจากคลื่นลูกใหญ่อย่างรุนแรง
เคล็ดวิชานี้ วิชาค่ายกลหายากนี้เป็นหนึ่งในรางวัลที่เจียงหลีได้รับมาจากผีเฒ่าหลิงจงผู้นั้น มันมีชื่อเรียกว่าเฉียนคุนเปี้ยนหรือเปลี่ยนจักรวาล
เฉียนคุนเปี้ยนไม่ใช่เคล็ดวิชาควบคุมน้ำแต่เป็นวิธีการหนึ่งที่ยืมประโยชน์จากพลังอื่นเพื่อใช้เป็นพลังของตนเอง
…
ฟ้ามืดครึ้มเหนือผืนทะเลกว้างใหญ่ พายุฝนบ้าระห่ำ ฟ้าร้องฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างและคลื่นลูกมหึมา
เรือลำหนึ่งกำลังโยกไหวท่ามกลางพายุฝนและลูกคลื่นใหญ่ ประเดี๋ยวก็ถูกน้ำทะเลกลืนกิน ประเดี๋ยวก็ถูกคลื่นพัดขึ้นมา สองคนที่อยู่บนเรือ คนหนึ่งควบคุมเส้นทางเดินเรือ ส่วนอีกคนหนึ่งควบคุมตัวเรืออย่างสุดกำลัง พยายามต่อสู้กับพลังแห่งฟ้าดินอย่างหนัก เพื่อให้พ้นจากวิกฤตความสินหวังนี้
คืนนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญ หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็อาจจะกลายเป็นศพจมทะเลก็เป็นได้
ในที่สุดเมื่อสีของของฟ้าเริ่มสว่าง พายุฝนเบาบาง และคลื่นที่พัดกระหน่ำบางทีอาจจะเหนื่อยแล้วจึงได้เริ่มสงบลง
เจียงหลีนั่งลงบนดาดฟ้าอย่างสง่าผ่าเผย ร่างเปียกชุ่มทั่วสรรพางค์กายจนเสื้อผ้าแนบเนื้อลำตัว นางรู้ดีว่าสภาพของตัวเองยามนี้ทุเรศแต่ไหน แต่ก็ไม่มีแรงที่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมแล้วล่ะ
นางนั่งพิงเสากระโดงเรือแล้วส่ายหน้าพลางหัวเราะ “เหนื่อยยิ่งกว่าความเป็นความตายของคนจริงๆ อีกนะ”
ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยเพียงไหนแต่ก็ถือว่าโชคดีที่ผ่านพ้นมันมาได้
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ท้องฟ้าสีซีด ท้องฟ้ายังคงขมุกขมัวไม่แจ่มใสเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยฝนก็หยุดตกแล้ว ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามและไม่เห็นสายฟ้าแลบอีก…
ฉิบหาย!
ดวงตาของหลีกระชับขึ้นอย่างรวดเร็วและจากนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้าง ทันใดนั้นร่างกายของนางก็พรวดพราดออกจากดาดฟ้าและรีบออกจากเรือ
“ท่านอาจารย์หนาน รีบโดดลงจากเรือเร็วเข้า!” ตอนที่เจียงหลีกระโดดลงมาจากดาดฟ้าแต่ก็ยังมิลืมเอ่ยเตือนหนานอู๋เฮิ่น
ทันทีที่หนานอู๋เฮิ่นออกมาจากห้องโดยสารเรือก็เห็นภาพที่เจียงหลีกระโดดลงจากเรือ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงไม่ใช่สิ่งนี้แต่กลับเป็นสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ฟาดลงมาพุ่งเป้าฟาดลงมาที่เรือของพวกเขา
ในสายฟ้านั้นมีพลังที่น่ากลัวและพลังแห่งการทำลายล้าง
“ฉิบหายล่ะ!” หนานอู๋เฮิ่นทำได้เพียงสบถคำหยาบคายแล้วกระโดดออกจากเรือ
เมื่อเขาลงน้ำก็ได้ยินเสียงดังก้องจากพื้นผิวมหาสมุทร เรือของพวกเขาถูกฟ้าผ่าจนเรือแตกกระจุยกระจายตกลงสู่ทะเล
“หลียาโถวววว!” หนานอู๋เฮิ่นผุดขึ้นมาจากน้ำและลูบน้ำออกจากใบหน้า จากนั้นจึงว่ายไปตรงที่เจียงหลีกระโดดน้ำลงมาแล้วตะโกนเรียกเสียงดัง
แต่ทว่าสิ่งที่ตอบกลับเขามากลับเป็นคลื่นสูงลูกใหญ่ร้อยจั้ง
คลื่นลูกใหญ่แยกเขาและเจียงหลีออกจากกันและซัดเขาอย่างรุนแรง หนานอู๋เฮิ่นผวาอยากจะหลบหนีคลื่นลูกนี้แต่ก็ยังมิมายซัดเขาจนหมดสลบและหมดสติไป
…
เจียงหลีไม่รู้ว่าตนเองลอยอยู่กลางทะเลมานานเท่าใดแล้ว
บางทีอาจโชคดี ตอนที่นางถูกคลื่นใหญ่ซัดจนสลบไปนางเกาะไม้กระดานเรือเอาไว้ได้ รอจนกระทั่งนางฟื้นขึ้นมา ในสายตาพร่ามัวก็เห็นเกาะเล็กๆ เลือนรางอยู่ตรงหน้าของนาง
ด้วยเจตจำนงในการเอาชีวิตรอดจึงทำให้นางใช้มือทั้งสองพายน้ำเข้าไปใกล้เกาะเล็กๆ นั่น
ในที่สุดนางก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพาตัวเองไปถึงเกาะได้ คลื่นลมสงบพานางและไม้กระดานไปเกยตื้นบนหาดทราย
ท่านอาจารย์หนานล่ะ ความคิดสุดท้ายแวบเข้ามาในหัวของเจียงหลี จากนั้นสติของนางก็วูบดับไปในที่สุด
…
กว่าเจียงหลีจะฟื้นสติขึ้นมาอีกครั้งท้องฟ้าก็มืดค่ำลงอีกแล้ว นางยังคงนอนแผ่บนชายหาดและรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งร่าง แขนขาหนักอึ้งราวกับจมอยู่ในน้ำตะกั่ว
เจียงหลีเสียแรงไปตั้งมากมายกว่าจะปีนขึ้นมาจากหาดทรายได้โดยไม่สนใจปัดทรายออกจากใบหน้าและเสื้อผ้าสักนิด จากนั้นนางจึงเริ่มออกค้นหาหนานอู๋เฮิ่น
ลากร่างที่อ่อนล้าหิวโหยและเดินไปตามชายหาด นางไม่พบร่างของหนานอู๋เฮิ่น นางสามารถยืนยันความเป็นไปได้สองประการเท่านั้น
ประการแรก หนานอู๋เอิ่นอาจถูกน้ำทะเลซัดไปที่อื่น ไม่ได้มาพร้อมกันกับนาง
ประการที่สอง…
เจียงหลีสะบัดหัวไล่ความคิด “เป็นไม่ได้ ดูหน้าท่านอาจารย์หนานสิ ไม่ใช่คนอายุสั้นสักหน่อย เขาจะต้องสามารถพลิกความโชคร้ายให้กลายเป็นดีได้”
ในเมื่อหาหนานอู๋เฮิ่นไม่พบ เจียงหลีจึงทำได้เพียงเข้าไปในเกาะด้วยตัวเอง
เกาะนี้ดูเหมือนจะไร้ผู้คนอาศัย บนเกาะนี้มีเพียงป่าทึบ นอกจากนี้ยังมีภูเขาและถ้ำรูปร่างแปลกประหลาดอีกด้วย
ในไม่ช้าเจียงหลีก็พบผลไม้แปลกๆ และกลืนมันลงไปโดยไม่กลัวตาย อย่างไรก็ตามแม้ว่านางจะถูกวางยาพิษจนตาย นางก็สามารถใช้นกอมตะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง
โดนวางยาก็ยังดีกว่าอดตาย!
เมื่ออิ่มท้อง เจียงหลีก็รู้สึกตัวเองกระปี้กระเป่าขึ้นมา
ขณะนั้นเองในที่สุดนางก็รู้สึกถึงสภาพทุเรศเกรอะกรังของตัวเองจนได้ เสื้อผ้าที่เปียกน้ำทะเลมาก่อนป่านนี้แม้จะแห้งแล้วแต่ก็ยังยับย่น นางรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัวไปหมด
เจียงหลีทนไม่ไหวจริงๆ จึงเดินตามเสียงน้ำในป่าจนไปเจอน้ำตกที่ตกลงมากลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ถึงอย่างไรก็นี้ก็ไร้ผู้คน เจียงหลีจึงกระโดดลงแอ่งน้ำอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด นางถอดผ้าผ่อนอาบน้ำและซักผ้าพร้อมกัน
น้ำในสระใสชำระล้างสิ่งสกปรกบนร่างกายของนางจนหมดจด ผิวของนางเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ เจียงหลีสนุกกับการสัมผัสน้ำใสใช้มือวักน้ำรินรดแขนของตัวเอง
ล้ำธารใต้แสงจันทร์ คนงามดังหยก
ทันใดนั้นเจียงหลีก็หน้าเปลี่ยนสี คว้าเสื้อคลุมที่ลอยอยู่ข้างๆนางโยนมันไปที่พุ่มไม้ริมฝั่ง ในเวลาเดียวกันนางกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ศิษย์สำนักไหนมาแอบดูข้าอาบน้ำ!”
เพี๊ยะ!
เสื้อผ้าอันหนักอึ้งตกลงไปบนโพรงหญ้าจากนั้นลื่นตกลงจากร่างบางร่าง
เมื่อนางเห็นเจ้าก้อนขนยาวในหญ้า เจียงหลีก็ตกตะลึง มีบางอย่างที่มีขนยาว เมื่อเห็นเงาร่างที่อวบอิ่มและน่าหลงใหลในสระน้ำ…ก็ชะงักค้าง…
…………………………….