ฉู่สวินหยางพูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงก็แทบจะพูดออกมาเป็นคำๆ ไม่ได้
นางมองตาเขา ดวงตาของตนกลับฉาบไปด้วยละอองน้ำ “เป็นเพราะตกน้ำที่แม่น้ำพานหลงครั้งก่อนใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่” เหยียนหลิงจวินกล่าว ยกมือขึ้นลูบแก้มนาง “เป็นโรคเก่าของข้า ก่อนหน้านี้นานแล้วไม่ได้กำเริบจึงไม่ได้บอกกับเจ้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าอย่าคิดมากเกินไป”
เขาพูดอย่างช้าๆ และมั่นคง
ฉู่สวินหยางถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง พูดอย่างไม่ยินดีว่า “หลอกข้าอีกแล้ว”
“ใช่แล้ว” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ นิ้วมือลูบไปตามใบหน้านาง พูดอย่างใจลอยว่า “ข้าหลอกเจ้า ไม่ได้บอกกับเจ้าในเรื่องนี้ตลอดมา โกรธหรือไม่?”
ไม่ได้พบนางเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน แต่ความรู้สึกราวกับอยู่กันคนละโลก
แยกจากนางไม่พบหน้ากันในระยะนี้ ไม่พูดว่าเป็นความทุกข์จากการไม่ได้พบหน้า ทว่ากลับรู้สึกว่าโลกนี้เปลี่ยนไป รู้สึกว่าอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน
ปลายนิ้วของเขาเย็นเยียบ ลูบไล้บนใบหน้าของนาง เห็นแก้มของนางที่ผอมลงอย่างชัดเจน เขารู้สึกปวดใจยิ่งนัก
ฉู่สวินหยางนั้นไม่มีใจจะล้อเล่นกับเขา
ยามนี้รอบกายไม่มีผู้อื่น นางจึงเดินขึ้นมาก้าวหนึ่ง กางแขนออกทั้งสองข้างโอบรอบลำคอของเขา
เพราะไม่ได้เตรียมตัว เหยียนหลิงจวินถูกนางโถมเข้าใส่เช่นนี้จึงรีบยืนให้มั่นคง ยกมือขึ้นประคองหลังของนางเอาไว้
“หึ…” น้ำเสียงของเขาแหบต่ำทว่ากลับเต็มไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด เขาออกแรงกอดนางเอาไว้ ถามยิ้มๆ ว่า “คิดถึงข้าแล้วหรือไร?”
ฉู่สวินหยางไม่ตอบแต่เขย่งเท้าขึ้นใช้อ้อมกอดแห่งความจริงใจนั้นแสดงออกถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งที่สุดในเวลานี้
หากไม่ใช่เพราะแยกจากกัน ไฉนเลยจะรู้ว่าคิดถึง?
หากไม่ใช่เพราะแยกจากกัน ไฉนเลยจะรู้ว่าตนเองนั้นรอคอยการกลับมาพบกันอีกครั้งถึงเพียงนี้?
ยังกลับมาพบกันได้อีก ทั้งหมดนี้…
ล้วนเป็นเรื่องที่ดี
นางไม่พูดจา เหยียนหลิงจวินไม่ได้บีบบังคับนางเช่นกัน ได้แต่สูดกลิ่นหอมจางๆ จากร่างของนางจึงทำให้รู้สึกว่าตนเองได้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งแล้ว
คนทั้งสองยืนโอบกอดกัน แสงแดดส่องผ่านชั้นวางดอกไม้เถาวัลย์จึงตกลงมาสู่ร่างของคนทั้งสอง ป่าสนด้านในมีเสียงร้องของนกที่ลอยออกมาเป็นระยะๆ
แสงแดดยามบ่ายเช่นนี้ งดงามเสียจนทำให้คนรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง
เมื่อคิดถึงสุขภาพร่างกายของเหยียนหลิงจวิน ฉู่สวินหยางจึงไม่ได้ซบอยู่บนร่างของเขานานนัก นางคลายมือและถอยออกมาในเวลาไม่นานนัก ก้มหน้าจับนิ้วมือของเขากุมไว้ในอุ้งมือของตน พูดอย่างลังเลว่า “นี่ท่านเป็นอะไรกันแน่? เจ้าหุบเขาปีศาจไม่มีทางช่วยเลยหรือ?”
“โรคเรื้อรังจะรักษาง่ายดายได้อย่างไรกัน?” เหยียนหลิงจวินกล่าว ทว่ากลับมีท่าทีไม่แยแสใดใด ดึงนางนั่งลงบนที่นั่งใกล้ๆ กับชั้นวางดอกไม้เถาวัลย์
หลังจากนั่งลงแล้ว ฉู่สวินหยางจึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเขา
นางไม่พูดไม่จา ทว่าสีหน้าที่เป็นคำถามนั้นชัดเจนยิ่งนัก
หากบอกว่านี่เป็นโรคเก่าของเหยียนหลิงจวิน นางย่อมไม่เชื่อเป็นแน่
เหยียนหลิงจวินย่อมมรู้ความคิดในใจของนาง แต่กลับเจตนาทำตาดุ นิ้วมือประคองใบหน้าของนางแล้วกล่าวว่า “ค่อยๆ บำรุงร่างกาย เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงเพียงแต่เร่งรีบไม่ได้ ไม่ต้องกังวลใจนัก”
“ไม่น่าหนักใจจริงๆ ใช่หรือไม่?” ฉู่สวินหยางเม้มปากครู่หนึ่ง ถามยืนยัน
“ไม่เป็นไร” เหยียนหลิงจวินกล่าว “หากข้ารักษาให้หายไม่ได้ ต้องทำให้เจ้าลำบากไปด้วยหรอกหรือ?”
ฉู่สวินหยางเห็นเขายังมีแก่ใจจะหยอกล้อ ภายในใจนั้นจึงผ่อนคลายลงมา นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทางด้านหนานฮวาเพิ่งจะจบเรื่องวุ่นวายไป ท่านออกมาในยามนี้จะมีปัญหาหรือไม่?”
“จะมีปัญหาอะไรได้?” เหยียนหลิงจวินได้ยินแล้วพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมลง สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ในเมื่อหน้าต่างกระดาษบานนี้ทะลุแล้ว ข้าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสำคัญแล้ว พวกเขาสร้างความลำบากใจให้ข้าไม่ได้ อยากจะทำอะไรก็แล้วแต่พวกเขาเถอะ”
ในเมื่อฮ่องเต้หนานฮวาสืบหาร่องรอยของเขาล่วงหน้า และได้วางแผนลอบสังหาร นั่นย่อมพิสูจน์ได้ว่าในเรื่องครั้งนี้ไม่ได้คิดจะให้เขารอดชีวิต
เรื่องนี้ต่อหน้าไม่ต้องพูดจา สำหรับฐานะของเหยียนหลิงจวินนั้น…
ในเมื่อทุกคนต่างกระจ่างแจ้งดี ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดที่จะปิดบังฐานะต่อไป
“ครั้งนี้องค์รัชทายาทหนานฮวามาซีเยว่ในฐานะทูต…” ฉู่สวินหยางเอ่ยขึ้น
เหยียนหลิงจวินส่งเสียงฮึขึ้นจมูกอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ตามใจเขาเถอะ ข้าไม่กลัวว่าเขาจะรู้ อย่างไรก็เป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น ยังมีเวลาอีกสามสี่วันกว่าพวกเขาจะเดินทางถึงชายแดนถูกหรือไม่?”
“อืม” ฉู่สวินหยางพยักหน้า “ทางด้านท่านพี่ได้ข่าวที่แน่นอนมาว่าสามวัน เวลานี้พวกเขาน่าจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงกันแล้ว”
เหยียนหลิงจวินดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้นัก ฟังแล้วก็ช่างเถิด เพียงแต่มองฉู่สวินหยางยิ้มๆ “พวกเราเล่าจะกลับไปเมืองหลวงเมื่อไร?”
“สุขภาพของท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะสนใจเรื่องของพวกเขาอีกทำไมกัน?” ฉู่สวินหยางขมวดคิ้ว
“ใครบอกว่าข้าสนใจเรื่องของพวกเขา?” เหยียนหลิงจวินพูดยิ้มๆ ปลายนิ้วกดลงเบาๆ บนริมฝีปากสีแดงสดของนาง “โอกาสเช่นนี้หาได้ยากนัก แม้แต่คังจวิ้นอ๋องยังยอมลดราวาศอก ข้าเกรงว่าหากพลาดโอกาสอันดีงามนี้ไป ครอบครัวของเจ้าจะไม่ยอมรับอีก”
ฉู่สวินหยางตกตะลึง จากนั้นจึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา ย้อนถามว่า “คำพูดของบิดาดุจทองพันชั่ง ท่านอย่าพูดจาเหลวไหล และสภาพของท่านเช่นนี้หากไปพบเขายังจะถูกเขารังเกียจเอาได้”
เหยียนหลิงจวินยิ้มบางๆ อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นยื่นมือออกมาโอบกอดนาง
ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วมองเขา
เขาบีบคางของนางเอาไว้ไม่ได้ให้นางก้มหน้าลง ก็ก้มลงมาจุมพิตนาง
ริมฝีปากของเขาเยียบเย็นเช่นเดียวกับมือของเขา ฉู่สวินหยางรู้สึกตื่นเต้น คิดจะผลักเขาออกอย่างตระหนกอยู่บ้าง
ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่ปล่อย ขบเม้มริมฝีปากของนางเอาไว้ ลากผ่านไรฟันของนาง แสดงเจตนาชัดเจนที่จะไม่ปล่อยนาง
ฉู่สวินหยางกังวลถึงสุขภาพของเขา ทว่าเมื่อถูกเขายั่วเย้าอยู่เช่นนี้ ค่อยๆ รู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาหลายส่วน จึงตอบสนองด้วยการคล้องลำคอของเขาเอาไว้
มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังลอดออกมาจากลำคอของเหยียนหลิงจวินอย่างพึงพอใจ เขาฉวยโอกาสที่ฟันของนางแยกจากกันสอดลิ้นเขาไปพัวพัน
ฉู่สวินหยางคราง ความกังวลใจและการรอคอยอย่างยาวนาน ในที่สุดเมื่อได้รับรู้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายทำให้ทุกอย่างราวกับถูกปลดปล่อยออกไป สัมผัสนั้นอบอุ่นไปทั้งร่างกายและจิตใจ
………………………